ถาม-ตอบทุกหมวดหมู่
แสดง 1 - 20 จาก 1010
หน้า
- ที่ดินที่เคยผ่านการปลูกยูคาและต้นยางมาแล้ว ปลูกอ้อยก็ไม่ขึ้น สามารถปลูกต้อนถั่วเหลืองได้ไหมนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 29 เมษายน 2568ตอบ คุณ Pitchy พิชามญชุ์ ปลูกถั่วเหลืองพอได้ แต่ต้องปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดินก่อนปลูก แนะนำให้ส่งดินไปตรวจวิเคราะห์ก่อนทำการปลูกค่ะ (สามารถดูวิธีเก็บตัวอย่างดิน เพื่อตรวจวิเคราะห์ ได้ตามภาพประกอบด้านล่าง และสามารถส่งตรวจได้ที่ สถานีพัฒนาที่ดินในจังหวัดของท่านได้ค่ะ ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ดินได้ที่ https://osd101.ldd.go.th/data_guide.php เนื่องจากที่ดินที่เคยปลูกยูคาลิปตัสและยางพารามาก่อน แล้วพบว่าปลูกอ้อยไม่ขึ้นนั้น มีโอกาสสูงที่สภาพดินจะมีปัญหา เช่น ดินเสื่อมโทรมมาก (ธาตุอาหารต่ำ, อินทรียวัตถุน้อย) ดินเป็นกรดจัด (pH ต่ำกว่า 5.5) โครงสร้างดินแน่นทึบ รากพืชชอนไชได้ไม่ดี หรืออาจมีสารพิษตกค้าง เช่น สารฟีนอลจากรากยูคาลิปตัส (แต่ผลกระทบตรงนี้มักลดลงได้ภายใน 1–2 ปีหลังถอนต้น) อาจต้องเสริมปุ๋ยฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ในการปลูกช่วงแรก เพราะดินที่เสื่อมจากยูคาลิปตัสและยางพารามักขาดธาตุเหล่านี้ และต้องเลือกพันธุ์ถั่วเหลืองที่ทนสภาพแห้งแล้งหรือดินค่อนข้างเสื่อม เช่นพันธุ์ที่มีระบบรากแข็งแรง
อ่านต่อ - ก่อนหน้านั้นปลูกยูคาลิปตัสและต้นยางพาราไปแล้วทำให้ปลูกอ้อยไม่ขึ้น ควรบำรุงดินยังไงก่อนคะ สามารถปลูกพืชสวนเพื่อบำรุงดินให้มีรายได้ไปด้วยได้ไหม เช่น ต้นกล้วย แล้วหลังจากนั้นจะปลูกต้อนโกโก้เพิ่มด้วยค่ะ อยากสอบถามวิธีการบำรุงดีและระยะเวลาเพื่อวางแผนการปลูกต่อไปค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 29 เมษายน 2568ตอบ คุณ Pitchy พิชามญชุ์ ที่ดินที่เคยปลูกยูคาลิปตัสและยางพารามาก่อน แล้วพบว่าปลูกอ้อยไม่ขึ้นนั้น มีโอกาสสูงที่สภาพดินจะมีปัญหา เช่น ดินเสื่อมโทรม (ธาตุอาหารต่ำ, อินทรียวัตถุน้อย) ดินเป็นกรดจัด (pH ต่ำกว่า 5.5) โครงสร้างดินแน่นทึบ รากพืชชอนไชได้ไม่ดี หรืออาจมีสารพิษตกค้าง เช่น สารฟีนอลจากรากยูคาลิปตัส (แต่ผลกระทบตรงนี้มักลดลงได้ภายใน 1–2 ปีหลังถอนต้น) อาจต้องเสริมปุ๋ยฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ในการปลูกช่วงแรก เพราะดินที่เสื่อมจากยูคาลิปตัสและยางพารามักขาดธาตุเหล่านี้ แนะนำใหส่งดินตรวจวิเคราะห์ก่อนทำการปลูก และใช้ผลการตรวจวิเคราะห์มาเป็นแนวทางในการปรับปรุงอีกทีค่ะ แนวทางการฟื้นฟูดิน + วางแผนปลูกพืช 1. การฟื้นฟูดิน (ระยะ 6-12 เดือนแรก) ขั้นตอนหลัก ๆ คือ 1. เก็บตัวอย่างดิน ส่งวิเคราะห์ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่/พืชสวน/เกษตรอำเภอ (ค่า pH, อินทรียวัตถุ, ธาตุอาหารหลัก-รอง) และปรับปรุงตามคำแนะนำตามผลการตรวจดิน 2. ปรับปรุงค่าความเป็นกรดด่างของดิน ถ้า pH < 5.5 → ใส่ ปูนขาว หรือ ปูนโดโลไมท์ (อัตราโดยประมาณ 300–500 กก./ไร่ หรือดูตามผลตรวจดิน) ใส่รอบแรกก่อนพรวนดิน แล้วรดน้ำหรือปล่อยฝนตกช่วยละลาย 3. เพิ่มอินทรียวัตถุ โดยใส่ปุ๋ยคอกหมัก (ขี้วัว ขี้ไก่แกลบ ปุ๋ยหมักใบไม้) อัตรา 2–4 ตัน/ไร่ หรือปลูกพืชปุ๋ยสด (เช่น ปอเทือง, ถั่วพร้า, ถั่วพุ่ม) แล้วไถกลบช่วงออกดอก 4. พรวนดินลึก 30-50 ซม. เพื่อแตกโครงสร้างดินที่แน่นทึบจากรากยูคาลิปตัส/ยางพาราเดิม 5. ควบคุมวัชพืช และดูแลให้อินทรียวัตถุสลายตัวอย่างสมบูรณ์ ปลูกกล้วยเพื่อบำรุงดิน (และมีรายได้เสริม) พันธุ์กล้วยที่แนะนำ กล้วยน้ำว้า ทนแล้ง ทนดินเสื่อม รายได้ดี กล้วยหอมทอง ถ้ามีน้ำพอ รายได้สูงกว่า แต่ต้องดูแลมากกว่า วิธีปลูกกล้วยฟื้นดิน 1. ขุดหลุมกว้าง 50×50×50 ซม. 2. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 3-5 กก. + ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 50 กรัม 3. ปลูกระยะห่าง 3×3 เมตร (ได้ 177 ต้น/ไร่) 4. ปรับดินรอบโคนให้กักเก็บความชื้นดี 5. ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์รอบโคนทุก 3 เดือน 6. เก็บเกี่ยวกล้วยขายประมาณเดือนที่ 9–12 วางแผนปลูกโกโก้หลังจากกล้วย โกโก้ เป็นพืชที่ต้องการร่มเงาอ่อน ๆ ในช่วงต้น (เหมาะมากกับการปลูกร่วมใต้กล้วย) ต้องการดินร่วนชุ่มชื้น มีอินทรียวัตถุสูง pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 5.5–6.5 แนวทาง - เริ่มปลูกกล้าต้นโกโก้ หลังจากกล้วยอายุประมาณ 6 เดือน (ให้กล้วยมีพุ่มใหญ่ก่อน เพื่อช่วยบังแดด) - ปลูกโกโก้ระหว่างแถวกล้วย หรือปลูกแซมเป็นแถวในแปลงกล้วย - เมื่อโกโก้อายุ 2–3 ปี พอกล้าแข็งแรงแล้ว ค่อยทยอยโค่นกล้วยบางส่วนเพื่อเปิดแสงให้โกโก้ - การฟื้นฟูดิน ใช้ชีวภัณฑ์ เช่น พด.1, พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินช่วยได้ ในระยะยาวควรปลูกพืชคลุมดินเสริม เช่น หญ้าแฝก หรือถั่วพร้า เพื่อลดการพังทลายของหน้าดิน
อ่านต่อ - สวัสดีค่ะ ตอนนี้เป็น นศ. สนใจที่อยากปลูกมะละกอขายเนื่องจากที่บ้านพื้นที่สวนยังเหลือใช้อยู่ อยากให้แนะนำพันธุ์มะละกอ และตลาดในการจัดจำหน่าย โซนภาคอีสานค่ะ (สวนอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์)นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 21 เมษายน 2568🔸 พันธุ์สำหรับตลาดส้มตำ (ผลดิบ) ได้แก่ พันธุ์ครั่ง แขกดำศรีสะเกษ และแขกนวล 🔸 พันธุ์สำหรับตลาดผลสุก (บริโภคสด / ส่งห้าง / แปรรูป) ได้แก่ พันธุ์ฮอลแลนด์ ปากช่อง 1 ปากช่อง 2 และขอนแก่น 80 ** สามารถดูจุดเด่นของมะละกอแต่ละสายพันธุ์ได้จากภาพประกอบด้านล่าง 📈 ตลาดและช่องทางจัดจำหน่าย 1. ตลาดท้องถิ่น - ตลาดสดใน อ.เมืองบุรีรัมย์ และอำเภอรอบนอก ขายตรงให้พ่อค้าแม่ค้าในชุมชน 2. โรงงานแปรรูป / พ่อค้ารับซื้อ เช่น โรงงานแปรรูปส้มตำใน จ.ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี แนะนำให้เข้าร่วมกลุ่ม Facebook เช่น ตลาดเกษตรภาคอีสาน ขายผลไม้ภาคอีสาน เพื่อหาช่องทางติดต่อ 3. ขายผ่านออนไลน์ - สร้างแบรนด์สวนของตัวเอง โดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, TikTok, LINE OA, Shopee, Lazada 4. ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น ตลาดไท, ตลาดสี่มุมเมือง (ปทุมธานี), ตลาดศรีเมือง (ราชบุรี) 5. ตลาด Modern Trade (ห้างค้าปลีกสมัยใหม่) - ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต: Big C, Lotus's, Makro, Tops, MaxValu, Gourmet Market รวมถึงร้านสุขภาพ/ออร์แกนิก : Lemon Farm, Golden Place, ร้านขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (ต้องมี GAP (Good Agricultural Practices) หรือใบรับรองมาตรฐานอื่น ๆ เช่น Organic Thailand หากจะขายในกลุ่มสุขภาพ)
อ่านต่อ - น้ำปูนขาวสามาถกำจัดเชื้อราที่ทำให้รากเน่า และมีผลต่อจุลินทรีย์ ดีไหมครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 21 เมษายน 2568น้ำปูนขาว (แคลเซียมไฮดรอกไซด์) สามารถใช้ในการควบคุมเชื้อราบางชนิดที่ทำให้เกิดโรครากเน่าได้ เช่น ฟิวซาเรียม หรือไฟทอฟธอราได้ในระดับหนึ่ง เพราะน้ำปูนขาวมีคุณสมบัติเป็นด่างสูงซึ่งไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อราเหล่านี้ แต่ต้องระวังผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในดิน เพราะความเป็นด่างสูงอาจฆ่าจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น แบคทีเรียตรึงไนโตรเจน หรือไมคอร์ไรซาได้ และถ้าใช้ปริมาณสูงอาจทำให้ดินเป็นด่างมากจนเกินไป จะส่งผลให้พืชดูดซึมธาตุบางชนิดไม่ได้ แนะนำให้ใช้เฉพาะจุดที่มีปัญหา และใช้ในอัตราที่เหมาะสม ปัญหารากเน่าในพืชแนะนำให้ใช้วิธีแก้ไขที่เฉพาะเจาะจงจะดีกว่าค่ะ
อ่านต่อ - ถ้าใช้น้ำส้มควันไม้ราดลงดิน เพื่อฆ่าเชื้อรา รากเน่า แล้วน้ำส้มควันไม้ฆ่าจุลินทรีย์ /เชื้อราดี ในดินไหมครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 3 เมษายน 2568อาจไปมีผลกระทบกับจุลินทรีย์ชนิดอื่นในดินได้ค่ะ เพราะน้ำส้มควันไม้มีคุณสมบัติที่เป็นกรด (ค่า pH ประมาณ 1.5 - 3.7) ใช้ฉีดพ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ไส้เดือนฝอย และศัตรูพืชในดินได้ (การใช้น้ำส้มควันไม้เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแมลงในดินนั้น มีโทษต่อพืชที่ปลูก ควรทำก่อนการเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน) ปกติการใช้น้ำส้มควันไม้เพื่อรักษาอาการรากเน่าจากเชื้อรา จะใช้น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร ผสมน้ำ 100 ลิตร ราดที่โคนต้นเพื่อรักษาโรคราและโรครากเน่า ทั้งนี้ น้ำส้มควันไม้อาจมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อราไม่ 100% เพราะน้ำส้มควันไม้ที่จะไปยับยั้งเชื้อราได้ชั่วคราวเท่านั้น แนะนำให้ลองใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา, เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ฯลฯ ที่สามารถกำจัดเชื้อราโรคพืชได้หลายชนิดแทน
อ่านต่อ - ต้นพริกเป็นโรคอะไรครับ มีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไรนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 28 มีนาคม 2568สังเกตจากภาพที่ส่งมาคล้ายอาการโรคใบด่างจุดวงแหวน ที่มีเพลี้ยไฟเป็นพาหะ นะคะ และช่วงนี้อากาศร้อนแห้งแล้งเป็นช่วงที่ระบาดได้ง่าย ส่วนแนวทางป้องกัน ทำได้ดังนี้ 1. ใช้พันธุ์ต้านทานโรค 2. ไม่นำเมล็ดพริกจากต้นที่เป็นโรคมาเพาะขยายพันธุ์ 3. ควรเพาะกล้าพริกในมุ้งกันแมลง และคัดเลือกกล้าพริกที่แข็งแรงและไม่เป็นโรคมาปลูก 4. หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบพริกที่แสดงอาการของโรคให้ถอนและนำไปทำลาย หรือฝังดินนอกแปลงทันที 5. หมั่นกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูก เพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อไวรัสและแมลงพาหะ เช่น สาบแร้งสาบกา กะเม็ง หญ้ายาง และกระทกรก 6. ไม่ปลูกพืชหมุนเวียนที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อไวรัส เช่น มะเขือต่าง ๆ ยาสูบ แตงกวา ฟักทอง บวบเหลี่ยม และมะระจีน 7. เชื้อไวรัสสาเหตุโรคพืชยังไม่มีสารป้องกันกำจัดโดยตรง แต่ป้องกันการระบาดของโรคได้โดยพ่นสารกำจัดเพลี้ยไฟพริก ซึ่งเป็นพาหะนำโรคนี้ ได้แก่ สารสไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร 8. หมั่นสำรวจเพลี้ยไฟบริเวณใต้ใบหรือตามส่วนอ่อนๆของพืช ถ้าพบเพลี้ยไฟ 5 ตัวขึ้นไป/ยอด ควรพ่นสารกำจัด 9. ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้ พืชอ่อนแอ และเพลี้ยไฟพริกจะระบาดอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อ - ช่วงนี้มะม่วงที่บ้านออกเยอะมาก ทานไม่ทัน อยากได้สูตรทำน้ำมะม่วง และไอศกรีมมะม่วง ไม่ทราบว่ามีข้อมูลหรือเอกสารแนะนำมั้ยคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 27 มีนาคม 2568สามารถหาข้อมูลวิธีทำได้จาก หนังสือผลิตภัณฑ์มะม่วง (หน้า 41-49) คลิกที่ข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างค่ะ
อ่านต่อ - ผมอยากวางแผนทำเกษตรช่วงหลังเกษียณ ไม่ทราบว่าพอมีข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อก่อนวัยเกษียณบ้างมั้ยครับ อยากทราบรายละเอียดและเงื่อนไข พยายามหาข้อมูล แต่ก็ไม่พบครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 27 มีนาคม 2568ตอบคุณ หนุ่มเตรียมเกษียณ เท่าที่หาข้อมูลจะมี สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังนี้ 👔 คุณสมบัติผู้กู้ 1) เป็นบุคลากรภาครัฐ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐหรือเป็นพนักงานองค์กรเอกชน เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นต้น ที่มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน และนำรายได้เข้าบัญชีเงินฝากเพื่อหักชำระหนี้เป็นรายเดือน 2) มีแผนประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม ก่อนและหลังเกษียณอายุและเริ่มดำเนินโครงการตามแผนภายใน 3 เดือนนับถัดจากวันรับเงินกู้ 3) มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 59 ปี 4) เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงและมีศักยภาพในการประกอบอาชีพ 5) มีแผนชำระหนี้เงินกู้ก่อนเกษียณอายุจากเงินเดือนหรือรายได้ประจำเป็นรายเดือนและแผนชำระหนี้เงินกู้หลังจากเกษียณอายุจากรายได้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม 💰 อัตราดอกเบี้ย - ปีที่ 1-5 คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR - 2 % - ปีที่ 6 เป็นต้นไป คิดดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR = 6.725% ต่อปี ตามประกาศธนาคารฯ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568) อัตราดอกเบี้ยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคารฯ ** กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน 20 ปี นับแต่วันกู้ อนุมัติเงินกู้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2572
อ่านต่อ - พอทราบไหมครับ ต้นอะไร มีประโยชน์ไหมครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 3 มีนาคม 2568ภาพที่ส่งมาไม่ค่อยชัด แต่ลักษณะคล้ายต้นตีนเป็ดน้ำหรือตีนเป็ดทะเลนะคะ อย่างไรให้สังเกตตอนโตอีกทีค่ะ
อ่านต่อ - ดีครับ โรคใบยางร่วงทั้งปี มีวิธีแก้ไขได้อย่างไรครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568ตอบ คุณ จริญ เวช** แนวทางป้องกันโรคใบร่วงยางพารา สามารถทำได้ดังนี 1. วิธีป้องกันที่ดีวิธีหนึ่ง คือ ใช้พันธุ์ต้านทานต่อโรคปลูกในแหล่งที่มีโรคนี้ระบาดเป็นประจำ พันธุ์ที่ต้านทานโรคได้ดีคือ พันธุ์ GT1 และ BPM 24 ไม่ควรปลูกยางพันธุ์ที่อ่อนแอ เช่น RRIM 600 ในกรณีที่ปลูกพันธุ์อื่นที่อ่อนแอต่อโรคไปแล้วก็อาจใช้พันธุ์ต้านทานติดตาเปลี่ยนยอดได้ 2. ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเป็นพืชแซมยาง ได้แก่ ส้ม ทุเรียน พริกไทย ปาล์มน้ ามัน โกโก้ 3. กำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นในสวนยาง 4. ในยางพาราที่มีอายุไม่เกิน 2 ปี ให้ใช้สารเคมี Fosetyl-AI เช่น อาลีเอท 80% WP หรือสารเคมี Metalaxyl เช่น เอพรอน 35% SD อัตรา 40 กรัมต่อน้ า 20 ลิตร พ่นพุ่มใบทุก 7 วัน เมื่อเริ่มพบการระบาด 5. ในยางที่เปิดกรีดแล้ว ให้ใช้สารเคมี Metalaxyl หรือ Fosetyl-AI ทาที่หน้ากรีดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคเส้นดำ เนื่องจากเกิดจากเชื้อราชนิดเดียวกัน 6. ต้นยางใหญ่ที่เป็นโรคอย่างรุนแรงจนใบร่วงหมดต้น ให้หยุดกรีด และใส่ปุ๋ยบำรุงต้นให้สมบูรณ์ เท่าที่สังเกตจากรูปที่ส่งมา อาการค่อนข้างลุกลาม แนะนำให้ลองปรึกษาทาง คลินิกสุขภาพพืช มก.กพส. ได้ที่ https://www.facebook.com/plantclinic/?locale=th_TH
อ่านต่อ - ขอสอบถามครับ อันนี้คือโรคอะไรนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568น่าจะเป็นอาการของโรคผลเน่าค่ะ แนะนำให้ใช้สารอะซอกซีสโตรบิน (25% W/V SC) อัตรา 5 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ในการควบคุมโรคผลเน่า ทั้งนี้สามารถใช้สลับกับโปรคลอราซ (45% W/V EC) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และแมนโคเซบ (80% WP) อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยผสมน้ำพ่นให้ทั่วต้นและที่ช่อผลก่อนห่อด้วยถุงพลาสติก นอกจากนี้ควรไว้ผลชมพู่ต่อช่อไม่เกิน 3-4 ผลต่อการห่อ 1 ถุง เพื่อไม่ให้ผลชมพู่ขยายใหญ่เบียนกันจะเกิดบาดแผล
อ่านต่อ - กะเพราและโหระพาที่ปลูกไว้มีอาการยอดหงิกและเริ่มมีอาการเหี่ยวและค่อยๆ แห้ง เกิดจากอะไรคะ แล้วควรแก้ไขอย่างไร ตอนนี้ได้แต่ตัดยอดทิ้ง แต่พอแตกยอดใหม่ก็ยังมีอาการอีกค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2568น่าจะโดนแมลงหวี่ขาวยาสูบ (Tobacco whitefly) เข้าทำลาย โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทําให้ใบหงิกงอและเหี่ยวแห้ง ต้นแคระแกรน นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนําเชื้อไวรัสทําให้เกิดโรคด่างเหลือง พบระบาดมากในฤดูแล้ง การป้องกัน ทำได้โดย...หมั่นสํารวจแปลงปลูก โดยเดินสํารวจแบบสลับฟันปลา สัปดาห์ละครั้ง ส่วนการกำจัดให้ติดกับดักกาวเหนียวสีเหลือง อัตรา 80 กับดัก/ไร่ เพื่อดักจับตัวเต็มวัย ถ้าพบตัวเต็มวัยแมลงหวี่ขาวยาสูบมากกว่า 3 ตัว/ใบ ให้พ่นอิมิดาโคลพริด (โปรวาโด 70 % WG) อัตรา 12 กรัม/น้ํา 20 ลิตร หรือไทอะมีโทแซม (แอคทารา 25 WG) อัตรา12 กรัม/น้ํา 20 ลิตร (PHI=5 วัน) หรือไดโนทีฟูแรน (สตาร์เกิล 10 % WP) อัตรา 20 กรัม/น้ํา 20 ลิตร หรือปิโตรเลียมออยล์(เอสเค 99 83.9% EC) อัตรา 150 มิลลิลิตร/น้ํา 20 ลิตร หรือบูโพรเฟซิน (นาปาม 25 % WP หรือแอปพลอด 25 % WP) อัตรา 10 กรัม/น้ํา 20 ลิตร (PHI=5 วัน) หรือไวท์ออยล์(ไวท์ออยล์ 67 % EC) อัตรา 150 มิลลิลิตร/น้ํา 20ลิตร เพื่อป้องกันการสร้างความต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชของแมลงหวี่ขาว ไม่ควรใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันเกิน 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ศัตรูธรรมชาติ ทั้งตัวห้ำและตัวเบียน เช่น แตนเบียน Encrasia sp. (F. Aphelinidae) แมลงช้างปีกใส Chrysopa basalis Walker และ Chrysopa sp.( F. Chrysopidae) ด้วงเต่า (Coccinellidae) บางชนิด และแมงมุมสกุลไลคอซา (Lycoza sp.) และออกซีออฟิส (Oxyopes sp.) ในการป้องกันกำจัดได้เช่นกัน
อ่านต่อ - ขอวิธีกำจัดหนอนแก้วบุกต้นชวนชมหน่อยครับ พบกัดกินใบชวนชมกุดแทบหมดต้นแล้วครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2568การกำจัดหนอนแก้วในชวนชมอย่างรวดเร็วและได้ผลทันที 1. การใช้สารคาร์บาริล (Carbaryl) ในอัตราที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อทราบอัตราการใช้ที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะใช้อัตราประมาณ 1-2 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นให้ทั่วต้นชวนชมจะช่วยกำจัดหนอนแก้วได้อย่างรวดเร็ว ควรพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงการระเหยของสารเคมีในช่วงที่แดดจัด 2. การใช้วิธีธรรมชาติ ผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำในอัตรา 1:100 แล้วพ่นลงบนตัวหนอนและใบชวนชม วิธีนี้จะช่วยกำจัดหนอนได้ทันที 3. การใช้วิธีกล หมั่นตรวจสอบและเก็บหนอนเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็น วิธีนี้จะช่วยลดจำนวนหนอนได้ 4. การใช้เชื้อแบคทีเรียบาซิลัส ทูริงเยนซิส (บีที) (Bacillus thuringiensis) ควบคุมหนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ในอัตราที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์ ควรพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น เพราะในช่วงนี้อากาศเย็นและความชื้นสูง ทำให้สารคงอยู่บนใบพืชได้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และควรพ่นเมื่อพบหนอนในระยะที่ยังเล็ก (ระยะตัวอ่อน) เพราะหนอนในระยะนี้จะกินใบพืชมาก และมีความไวต่อสารมากกว่าหนอนในระยะที่โตแล้ว หลีกเลี่ยงการฉีดพ่น BT ในช่วงที่ฝนตกหรือก่อนฝนตก เพราะฝนอาจชะล้างสาร BT ออกจากใบพืช ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
อ่านต่อ - เราปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ที่ภาคใต้ แล้วมีปัญหาว่าช่วงนี้แสงน้อยและฝนตกบ่อยจนกล้าผักยืด ควรแก้ไขอย่างไรได้บ้างคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2568การแก้ไขปัญหากล้าผักไฮโดรโพนิกส์ที่ยืดเนื่องจากแสงน้อยสามารถทำได้หลายวิธี 1. เพิ่มแสงสว่าง ใช้หลอดไฟ LED ที่มีสเปกตรัมแสงที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืช เช่น หลอดไฟที่มีแสงสีฟ้าและสีแดง ควรเปิดไฟให้พืชได้รับแสงอย่างน้อย 12-16 ชั่วโมงต่อวัน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลอดไฟอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำเกินไป เพื่อให้แสงกระจายทั่วถึงทุกต้น 2. ปรับระยะห่างระหว่างต้น ลดความหนาแน่นของการปลูก หากปลูกผักแน่นเกินไปควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นให้มากขึ้น เพื่อให้แต่ละต้นได้รับแสงอย่างเพียงพอ 3. การจัดการสารอาหาร ปรับสูตรปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนต่ำลงและเพิ่มปริมาณโพแทสเซียม เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ 4. การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ควบคุมอุณหภูมิ รักษาอุณหภูมิในโรงเรือนให้อยู่ระหว่าง 20-25°C เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ควบคุมความชื้น รักษาความชื้นในโรงเรือนให้อยู่ระหว่าง 50-70% เพื่อป้องกันการเกิดโรคและส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนี้ การปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ในพื้นที่ที่ฝนตกบ่อยอย่างภาคใต้ อาจต้องดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ดี และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากความชื้นสูงและฝนตกหนัก ดังต่อไปนี้ 1. การป้องกันน้ำฝน - ใช้หลังคาคลุม ติดตั้งหลังคาโปร่งแสงหรือพลาสติกคลุมโรงเรือนเพื่อป้องกันน้ำฝนตกลงในระบบไฮโดรโพนิกส์โดยตรง - หากไม่มีโรงเรือน สามารถใช้ผ้าใบกันฝนคลุมแปลงปลูกในช่วงที่ฝนตกหนัก 2. การควบคุมความชื้น - ติดตั้งพัดลมหรือระบบระบายอากาศในโรงเรือนเพื่อควบคุมความชื้นและป้องกันการเกิดโรคพืช - วางสารดูดความชื้นในโรงเรือนเพื่อช่วยลดความชื้นในอากาศ 3. การจัดการน้ำ - ตรวจสอบระบบน้ำให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วซึมและน้ำไม่ท่วมแปลงปลูก
อ่านต่อ - ต้องการบำบัดน้ำในบ่อที่ขุดไว้ในสวน มีวิธีจัดการอย่างไรบ้างคะ ปัญหาคือ * น้ำในบ่อขุ่นมาก * น้ำเริ่มมีตะไคร่น้ำ * ช่วงหน้าฝนมีไข่หอยเชอรี่ด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2568แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำขุ่น ตะไคร่น้ำ และไข่หอยเชอรี่ในบ่อ 1. วิธีแก้ปัญหาน้ำขุ่น ✅ ทำให้น้ำใสขึ้นโดยใช้ปูนขาว - หว่านปูนขาว 20-25 กก. ต่อบ่อขนาด 1 ไร่ - ปูนขาวช่วยปรับค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำให้เป็นกลางหรือเป็นด่างเล็กน้อย ทำให้สภาพแวดล้อมในบ่อเหมาะกับสิ่งมีชีวิต - ลดปัญหาน้ำเสียและปรับสมดุลของน้ำ ✅ เลือกใช้ปูนชนิดที่เหมาะสมกับสีน้ำ - น้ำสีเขียวเข้ม → ใช้ปูนมาร์ล เพราะช่วยลดการเติบโตของแพลงก์ตอน - น้ำสีอ่อน → ใช้ปูนโดโลไมท์ (MgCa(CO₃)₂) ได้ เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อการเติบโตของแพลงก์ตอน - วิธีใช้ ละลายปูนในน้ำและกวนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนหว่านให้ทั่วบ่อ (ทำช่วงกลางคืนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด) ✅ ใช้สารส้มตกตะกอน - ใช้สารส้ม 20-50 กรัมต่อน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร (m³) สำหรับบ่อขนาด 1 งาน (100 ตร.ม. ลึก 1.5 ม.) ควรใส่ สารส้ม 3-7.5 กิโลกรัม - ละลายในน้ำก่อนแล้วสาดลงบ่อ ✅ ใช้ EM และกากน้ำตาล - ผสม EM 1 ลิตร กับกากน้ำตาล 1 ลิตร ต่อน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร (สำหรับบ่อขนาด 1 งาน 100 ตร.ม. ลึก 1.5 ม. ใช้ EM 1.5 ลิตร และกากน้ำตาล 1.5 ลิตร) - ช่วยเร่งการตกตะกอนของสารแขวนลอยและควบคุมจุลินทรีย์ในน้ำ ✅ เลือกเลี้ยงปลาที่ไม่ขุดคุ้ยดิน - แนะนำให้เลี้ยงปลานิลหรือปลาตะเพียน เพราะช่วยกินตะไคร่น้ำและไม่ทำให้น้ำขุ่น - หลีกเลี่ยงปลาดุก เพราะมีพฤติกรรมขุดคุ้ยพื้นบ่อ ทำให้น้ำขุ่นตลอดเวลา 2. วิธีลดตะไคร่น้ำ ✅ ใช้จุลินทรีย์บำบัดน้ำ - EM (Effective Microorganisms) ช่วยควบคุมตะไคร่และลดของเสีย - PSB (Purple Sulfur Bacteria) ช่วยลดสารอาหารที่ตะไคร่ใช้เจริญเติบโต ✅ ปรับสมดุลน้ำด้วยกากน้ำตาล - ผสมกากน้ำตาล 1 ลิตร ต่อน้ำ 10 ลิตร แล้วเทลงบ่อ - ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่แข่งขันกับตะไคร่ ✅ เพิ่มออกซิเจนในน้ำ - ใช้เครื่องตีน้ำหรือเครื่องเติมอากาศ - ลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตะไคร่ใช้ในการสังเคราะห์แสง ทำให้ตะไคร่เติบโตช้าลง ✅ เปลี่ยนน้ำบางส่วนเพื่อลดสารอาหารสะสม - เปลี่ยนน้ำ 10-20% ทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อลดปริมาณสารอาหารที่ส่งเสริมการเติบโตของตะไคร่ 3. วิธีควบคุมและกำจัดไข่หอยเชอรี่ ✅ ป้องกันหอยเชอรี่ตั้งแต่สูบน้ำเข้า-ออกบ่อ - ใช้ตาข่ายตาถี่กั้นก่อนสูบน้ำเข้า-ออก เพื่อลดจำนวนหอยที่เข้ามาในบ่อ - หมั่นกำจัดหอยที่ติดมากับสวะ ✅ ใช้ไม้ไผ่ล่อให้หอยมาไข่ - ปักไม้ไผ่รอบ ๆ บ่อให้หอยเชอรี่มาวางไข่ แล้วเก็บไปทำลายทิ้ง ✅ เก็บตัวหอยและไข่หอยเป็นประจำ - หมั่นเก็บไข่และตัวหอยสัปดาห์ละครั้ง โดยใช้ใบมะละกอล่อให้หอยมารวมกันเพื่อให้เก็บง่ายขึ้น การใช้หลายวิธีร่วมกันจะช่วยให้น้ำในบ่อใสขึ้น ลดตะไคร่น้ำ และควบคุมหอยเชอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ 😊
อ่านต่อ - สวัสดี หญ้าโดนฉี่สุนัข จะทำยังไงให้หญ้าไม่ตายบ้างคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 31 มกราคม 2568ถ้าเห็นให้รีบราดน้ำเจือจางก็จะช่วยได้ แต่ถ้าราดน้ำไม่ทันหญ้าก็จะค่อย ๆ เหี่ยวตาย ถ้าอาการไม่หนักมากก็จะแตกยอดแตกใบใหม่ แต่ถ้าหญ้าแห้งตายให้รื้อออกและปลูกใหม่ โดยแซะเฉพาะจุดที่แห้ง แล้วปลูกลงไปทดแทนค่ะ
อ่านต่อ - ต้นแก้วเจ้าจอมใบเหลืองประมาณ 1-2 เดือนได้แล้วครับ เป็นไม้ขุดล้อม พอดีผมซื้อมาขาย ต้นไม้อยู่ภาคใต้ด้วยครับ ฝนตกบ่อยมากช่วงนี้ ตอนแลกเค้าห่อถุงสีดำ แล้มผมแกะมาห่อทำตุ้มใหม่โดยการใส่ขุยมะพร้าว แล้วห่อสแลนครับ อายุตุ้ม 8-9 เดือนได้แล้วครับ ปกติรดน้ำทุกวันครับ ให้ปุ๋ย 15-15-15 เดือนละ 1 ครั้งครับ ฉีดปุ๋ยทางใบ 37-0-0 และ ยาป้องกันแมลง เดือนละ 1 ครั้งครับ ใบเหลือง ไม่แน่ใจเป็นเพราะอะไรครับ แต่บางต้นเค้าก็ไม่ได้แสดงอาการเลยน่ะครับ ใบเขียวปกติเลยครับ แต่ต้นนี้เค้าวางตรงที่โดนแดด ใบเหลือง แต่อีกต้นวางใต้ต้นไม้ ใบไม่เหลืองเลยครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 31 มกราคม 2568ตอบ คุณธนากร ต้นไม้ใบเหลืองมีหลายสาเหตุ แต่จากข้อมมูลที่แจ้งมา น่าจะเพราะน้ำมากเกินไปจากฝนตกต่อเนื่อง และรากอาจได้รับการกระทบกระเทือนจากการเปลี่ยนตุ้ม การเพิ่มขนาดตุ้มถ้าไม่ทันระวังรากจะกระทบกระเทือนได้ง่าย แนะนำให้ย้ายมาเข้าร่ม อาจใช้สารเร่งราก เช่น B1 รดตามอัตราแนะนำอาจช่วยให้ฟื้นตัว และสังเกตอาการพืชดูก่อน
อ่านต่อ - สอบถามเรื่องหนอนที่เจาะลำต้นทุเรียนคือหนอนอะไร มีวิธีป้องกันและกำจัดอย่างไร ลักษณะการเข้าทำลาย หนอนจะเจาะรูเล็กๆ เข้าจากด้านโคนต้นสูงจากพื้นประมาณ10 ซม. แล้วกัดกินเนื้อไม้ทะลุขึ้นไปที่ทิศทางปลายยอด เมื่อกัดกินถึงความสูงประมาณกลางลำต้นจะทำให้ทุเรียนใบเหี่ยวทั้งต้นและแห้งตายภายใน 2-3 วัน รอบการพ่นสารกำจัดแมลงประมาณ 7-10 วัน ใช้ยาบวกเพื่อกำจัด หนอน+แมลง อัตราตามฉลาก (สารกลุ่ม 1,2,3,4,6,13, ไวท์ออยล์) เช่น 1+4, 2+13 วนไปนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 10 มกราคม 2568หนอนเจาะเมล็ด หนอนเจาะผลทุเรียนค่ะ แนะนำวิธีป้องกันกำจัด 1. ไม่ควรขนย้ายเมล็ดทุเรียนจากที่อื่นเข้ามาปลูก ถ้ามีความจำเป็นควรคัดเลือกเมล็ดอย่างระมัดระวัง หรือแช่เมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น มาลาไทออน 83% EC อัตรา 40 มิลลิลิตร หรือคาร์บาริล 85% WP อัตรา 50 กรัม โดยเลือกสารชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำ 20 ลิตร 2. ห่อผลระยะยาวโดยใช้ถุงพลาสติกสีขาวขุ่นขนาด 40 x 75 เซนติเมตร เจาะก้นถุงเพื่อระบายน้ำ สามารถป้องกันไม่ให้ตัวเต็มวัยมาวางไข่ได้ โดยเริ่มห่อผลตั้งแต่ผลทุเรียนมีอายุ 6 สัปดาห์เป็นต้นไปจนถึงเก็บเกี่ยว 3. การป้องกันกำจัดด้วยวิธีผสมผสาน โดยพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% CS อัตรา 20 มิลลิลิตร หรือคาร์บาริล 85% WP อัตรา 50 กรัม โดยเลือกสารชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำ 20 ลิตร พ่นห่างกันครั้งละ 1 สัปดาห์ เริ่มเมื่อผลอายุ 6 สัปดาห์ และห่อด้วยถุงพลาสติกขาวขุ่น ขนาด 40 x75 เซนติเมตร เจาะก้นถุงเพื่อระบายน้ำ เมื่อผลอายุ 10 สัปดาห์ 4. การใช้กับดักแสงไฟโดยใช้หลอด Black light เพื่อล่อตัวเต็มวัยหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนมาทำลาย 5. การป้องกันกำจัดโดยใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เมื่อพบตัวเต็มวัยเริ่มระบาดให้ใช้สารคาร์บาริล 85% WP อัตรา 50 มิลลิลิตร หรือเดลทาเมทริน 3% EC อัตรา 15 มิลลิลิตร หรือแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% CS อัตรา 20 มิลลิลิตร หรือเบตา-ไซฟลูทริน 2.5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร โดยเลือกสารชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำ 20 ลิตร ห่างกันครั้งละ 1 สัปดาห์
อ่านต่อ - อันนี้คืออาการอะไรหรอคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 2 มกราคม 2568อาการคล้ายต้นผักสลัดได้รับแสงไม่เพียงพอในช่วงเพาะกล้า จนลำต้นยืดและอ่อนแอ และเริ่ม ๆ มีอาการใบจุดค่ะ
อ่านต่อ - อันนี้ใช่อาการใบจุดมั้ยคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 2 มกราคม 2568น่าจะเริ่มๆ เป็นนะคะ แต่อย่างไรให้ลองสังเกตอาการเปรียบเทียบกับข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างนะคะ
อ่านต่อ
แสดง 1 - 20 จาก 1010
หน้า