ถาม-ตอบทุกหมวดหมู่

แสดง 1 - 20 จาก 1019
หน้า
  • ถาม-ตอบ
    การแปรรูปวัสดุเหลือใช้เกษตร
    การแปรรูปอาหาร
    มังคุดที่ราคาตกอยู่ในขณะนี้ สามารถนำไปแปรรูปทำอะไรได้บ้าง
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 24 มิถุนายน 2568
    จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร ปัจจุบันมีผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมังคุดเพื่อจัดการผลผลิต ถนอมอาหาร และเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ดังนี้ - น้ำมังคุด เช่น วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์เพ็ญทิวา จ.จันทบุรี โทร. 08 4123 0082 - ซอสมังคุด/น้ำพริกเผามังคุด เช่น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรปลายคลอง จ.จันทบุรี โทร. 0 90285 8964 - มังคุดกวน เช่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาชีพสตรีศรีขันเงิน จ.ชุมพร โทร. 0 7752 0137 - แยมมังคุด เช่น วิสาหกิจชุมชนแปรรูปไม้ผลต้นน้ำตาปี จ.นครศรีธรรมราช โทร. 08 1979 6110 - สเปรย์ฆ่าเชื้อสารสกัดจากมังคุด และสารสกัดเปลือกมังคุดสำหรับเวชสำอาง เช่น วิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่มังคุดตำบลคมบาง จ.จันทบุรี โทร. 09 8552 3118 - และผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโนโลยีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในการผลิต เช่น มังคุดแช่แข็งอบแห้ง น้ำส้มสายชู มังคุดไซเดอร์ มังคุดกระป๋อง ยาทำความสะอาดแผล สบู่ เจลรักษาสิว หน้ากากอนามัย เจลล้างหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์จากสิ่งเหลืิอทิ้ง เช่น แป้งโรยเท้า สเปรย์ดับกลิ่นเท้า แผ่นรองรองเท้า สติ๊กเกอร์แปะรองเท้า เครื่องเรือน ของใช้ ของที่ระลึก วัสดุทดแทนไม้ ปุ๋ยหมัก โดยสามารถอ่านข้อมูลและรายละเอียดการทำ ได้จากเอกสารเผยแพร่ ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี กรมวิชาการเกษตร เรื่อง ผลิตภัณฑ์จากสิ่งเหลืิอทิ้งมังคุด ที่ข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 24 มิถุนายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    การผลิตพืช
    สอบถามครับ เกี่ยวกับกล้วยน้ำว้า 3 สายพันธุ์ 1.มะลิอ่อง 2.ปากช่อง 50 3.กาบขาวสุพรรณ อยากทราบว่า ค่าเฉลี่ยความสูงของกล้วย 3 สายพันธุ์ดังกล่าว อยู่ที่เท่าใดครับ จะนำข้อมูลที่ได้นี้ไปเป็นเกณฑ์การทดลองปลูกกล้วยต่อไปครับ ขอบคุณครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 24 มิถุนายน 2568
    มะลิอ่อง ค่าเฉลี่ยความสูง 3-3.8 เมตร ปากช่อง 50 ค่าเฉลี่ยความสูง 3-5 เมตร กาบขาวสุพรรณ ค่าเฉลี่ยความสูงไม่เกิน 3 เมตร
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 21 มิถุนายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    ปรับปรุงพันธุ์พืช
    สอบถามเรื่องการเก็บเมล็ดกระเจี๊ยบแดงสายพันธุ์ซูดาน อยากทราบว่าทำไมถึงสามารถเก็บเมล็ดทำพันธุ์ได้ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ขอบคุณครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 9 มิถุนายน 2568
    เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงพันธุ์ซูดานเป็นพันธุ์ผสมเปิด ไม่ใช่พันธุ์ลูกผสม จึงสามารถเก็บเมล็ดจากฝักแก่ไปปลูกในฤดูกาลถัดไปได้ โดยไม่เสื่อมคุณภาพมากนัก และกระเจี๊ยบแดงส่วนใหญ่มีกลไกการผสมเกสรแบบผสมตัวเอง ทำให้เมล็ดที่ได้จากต้นแม่มีลักษณะใกล้เคียงเดิม มีลักษณะทางพันธุกรรมคงตัว โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง ลักษณะที่ดีจะได้รับการถ่ายทอดอย่างสม่ำเสมอ ข้อดีคือ ประหยัดต้นทุน ไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนร้อน ทนแล้ง คัดเลือกพันธุ์เองได้ สามารถเลือกต้นที่แข็งแรง ดอกใหญ่ เมล็ดดก เพื่อเก็บไว้ทำพันธุ์เองได้ ลดการพึ่งพาบริษัทเมล็ดพันธุ์ ข้อเสียและข้อควรระวัง คือ พันธุกรรมอาจแปรปรวน หากมีการผสมข้ามกับพันธุ์อื่น หรือแมลงนำเกสรไปผสมข้ามสายพันธุ์ คุณภาพเมล็ดอาจเสื่อมถ้าเก็บไม่ถูกวิธี (เช่น ความชื้นสูง เชื้อรา) ต้องมีความรู้ในการคัดเลือกต้นแม่พันธุ์ และการเก็บรักษาเมล็ด ส่วนในด้านคุณสมบัติอื่น ๆ ข้อดี คือ กลีบเลี้ยงใหญ่ สีแดงสด ให้ผลผลิตดี เหมาะสำหรับการแปรรูป เช่น น้ำกระเจี๊ยบ, ชา กลิ่นหอม รสเปรี้ยวเด่น เป็นที่ต้องการของตลาดสมุนไพรและกลุ่มผู้บริโภค มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีสารแอนโทไซยานิน วิตามินซี โพลีฟีนอล ฯลฯ ทนแล้ง ปลูกได้ดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและในดินค่อนข้างแห้ง ปลูกง่าย โตเร็ว ข้อจำกัด คือ ไม่ทนทานกับการเข้าทำลายของหนอนเจาะฝัก เพลี้ยแป้ง ไม่ทนน้ำขัง หากปลูกในพื้นที่ระบายน้ำไม่ดีรากอาจเน่า แม้ทนแล้ง แต่ถ้าได้รับน้ำน้อยเกินไปในช่วงออกดอก/ติดฝัก ผลผลิตจะลดลง กลีบเลี้ยงบางเมื่อแก่จัด หากเก็บช้าอาจส่งผลต่อคุณภาพและต้นทุนการขนส่ง เหมาะกับการเก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสม
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 6 มิถุนายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    การเพาะเลี้ยง
    แนะนำอัตราส่วนของ ตะไคร่น้ำ:อาหารกุ้งบด:รำ หน่อยครับผมจะทำงานวิจัย
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 9 มิถุนายน 2568
    ไม่แน่ใจว่าต้องการใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดใด ขอแนะนำสูตรอาหารเบื้องต้นที่มีอัตราส่วนที่อ้างอิงจากงานวิจัยและปรับใช้ในงานทดลอง ดังนี้ แนะนำให้ผสมสาหร่ายขนาดเล็ก (Microalgae) ในสูตรอาหารสัตว์น้ำที่ 2–10% เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต ⇨ ปรับใช้จริง ตะไคร่น้ำ 5–10% รำข้าว 10–20% อาหารกุ้งบด 70–85% 📋 สรุปสูตรแนะนำเบื้องต้น (อ้างอิงงานวิจัย): สูตร ตะไคร่น้ำ รำข้าว อาหารกุ้งบด A 10% (Spirulina) 20% 70% B 5% (Schizochytrium) 15% 80% C 5–10% (General algae) 10–20% 70–85% หมายเหตุ - สูตร A เหมาะกับสัตว์น้ำขนาดเล็ก (Nauplii/post‑larvae) - สูตร B ใช้ Biofloc เพิ่มประสิทธิภาพน้ำและอาหาร - สูตร C เป็นสูตรกลางที่ทดลองได้ตั้งแต่ Juvenile ขึ้นไป การผสมสูตรอาหารจากตะไคร่น้ำ (เช่น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินหรือสาหร่ายเซลล์เดียว) กับอาหารกุ้งบดและรำข้าว เพื่อนำไปใช้ในการทดลองเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น กุ้งหรือปลา สามารถกำหนดอัตราส่วนได้ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เช่น เพื่อทดสอบผลต่อการเจริญเติบโต การกินอาหาร หรือคุณภาพน้ำ โดยอัตราส่วนที่แนะนำเบื้องต้น ได้แก่ 🔹 สูตรพื้นฐาน (เหมาะสำหรับทดลองเบื้องต้น) ตะไคร่น้ำ : อาหารกุ้งบด : รำข้าว 1 : 1 : 1 (โดยน้ำหนัก) ใช้เมื่อต้องการทดสอบผลโดยไม่มีส่วนใดโดดเด่นเกินไป ให้ค่าทางโภชนาการพอเหมาะ มีไฟเบอร์ โปรตีน และพลังงาน 🔹 สูตรเน้นโปรตีนจากตะไคร่น้ำ ตะไคร่น้ำ : อาหารกุ้งบด : รำข้าว 2 : 1 : 1 เหมาะกับการทดลองว่าสาหร่ายมีผลต่อการเจริญเติบโตหรือสุขภาพสัตว์น้ำอย่างไร ควรระวังการเน่าเสียถ้าเก็บไว้นาน 🔹 สูตรประหยัด (ลดปริมาณอาหารกุ้ง) ตะไคร่น้ำ : อาหารกุ้งบด : รำข้าว 2 : 0.5 : 1.5 ใช้รำข้าวมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน เหมาะกับการศึกษาผลของอาหารต้นทุนต่ำ หมายเหตุ - ตะไคร่น้ำควรเก็บเกี่ยวใหม่ สด หรืออบแห้งให้สะอาด - อาหารกุ้งบดควรเลือกสูตรโปรตีน 30–40% - รำข้าวใช้รำละเอียด ไม่ขึ้นรา * อัตราส่วนเหล่านี้สามารถปรับได้ตามชนิดของสัตว์น้ำที่เลี้ยง (เช่น กุ้งก้ามกราม ปลานิล ฯลฯ)
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 6 มิถุนายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    โรคพืช
    วิธีการที่ดีที่สุดในการกำจัดโรครากเน่าโดยไม่ทำให้ดินเสีย มีวิธีไหนบ้างครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 21 พฤษภาคม 2568
    ไม่ทราบว่า เป็นอาการโรครากเน่าในพืชชนิดใด กรณีโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียน จะมีเชื้อราสาเหตุโรคคือ Phytophthora palmivora เชื้อราจะเริ่มเข้าทำลายระบบราก ทำให้รากต้นทุเรียนเน่าเป็นสีน้ำตาล เมื่อรากเน่ามากขึ้นใบทุเรียนระดับปลายกิ่งจะแสดงอาการซีดเหลือง ชะงักการเจริญเติบโตและใบร่วงในเวลาต่อมา ใบระดับโคนกิ่งจะร่วงช้ากว่าบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะอาการเน่าที่โคนจะปรากฏจุดฉ่ำน้ำและมักมีน้ำเยิ้มออกมา เมื่อใช้มีดถากดูจะพบว่ามีน้ำไหลทะลักออกมา เนื้อเยื่อเปลือกและเนื้อไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มแสดงอาการเน่าลุกลามรอบโคนต้นทำให้ทุเรียนใบร่วงหมดต้น ยืนต้นตายในเวลาต่อมา ในภาพที่มีความชื้นสูงและมีฝนตกชุก เชื้อราสามารถแพร่กระจายเข้าทำลายกิ่ง ใบ และ ผล บนต้นทุเรียนได้ แพร่กระจายโดยทางลม น้ำ ดิน ใบ กิ่งพันธุ์ และผล โดยส่วนมากเชื้อราแพร่ระบาดทำลายผ่านทางรากในสภาพดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี มีน้ำขัง และลุกลามสู่โคนต้น แต่ในฤดูฝนที่มีลมพายุและสภาพอากาศความชื้นสูงจะแพร่ระบาดทางลมเข้าทำลายใบ กิ่ง และผลได้ การป้องกันกำจัด ทำได้โดย 1. หมั่นติดตาม สำรวจโรครากเน่าและโคนเน่าในสวน 2. ตรวจวิเคราะห์และปรับปรุงบำรุงดินโดยใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยเคมี และปูนขาว (ตามอัตราคำแนะนำหลังจากการตรวจวิเคราะห์ดิน) เพื่อให้ดินมีสภาพเป็นดินดีทั้งทางด้านกายภาพ ชีวภาพ และเคมี (pH = 6.5) 3. จัดทำร่องระบายน้ำในบริเวณสวนที่มีพื้นที่ต่ำ เพื่อไม่ให้มีน้ำท่วมขัง 4. ตัดแต่ง กิ่ง ใบ ดอก และผลที่เป็นโรค ออกนอกแปลงนำไปฝังกลบลึกๆ 5. เมื่อพบอาการของโรคในระยะเริ่มต้นหรือมีอาการเล็กน้อยให้รีบทำการรักษา 6. ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรค เช่น metalaxyl (เชื้อโรคส่วนมากดื้อต่อสารนี้แล้ว) (เมธามอร์ป), fosetyl aluminum (วอแรนต์), bordeaux mixture, copper oxychloride (คอปเปอร์-ไฮ), dimethomorph (โทมาฮอค), pyraclostrobin, myclobutanil + kresoxim methyl (เออร์กอน) เป็นต้น *อ้างอิงข้อมูลจาก ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ เลิศสุชาตวนิช ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ กรณีเป็นในไม้ยืนต้น หรือต้นไม้ใหญ่ชนิดอื่น สามารถอ่านแนวทางป้องกันกำจัดได้จาก ภาพประกอบด้านล่างค่ะ
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 21 พฤษภาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    ศัตรูพืช
    ใบปาล์มถูกกัดกินเหลือแต่ก้านใบ อายุต้นไม่ถึง 1 ปี ครับ จากที่วินิจฉัยเบื้องต้นหนอนหน้าแมวไหมครับ ช่วยตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนหน่อยครับจะได้ซื้อยาแนะนำถูกต้อง
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 21 พฤษภาคม 2568
    ขอให้เกษตรกรลองสำรวจที่ต้นปาล์มน้ำมันเพื่อหาตัวหนอนอีกที เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำมากขึ้นค่ะ เพราะถ้าไม่เจอตัว อาจจะเป็นการทำลายจากตั๊กแตนหนวดสั้นได้ค่ะ (ดูภาพประกอบด้านล่าง - ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Univanich Oil Palm Seeds) กรณีหนอนหน้าแมว ให้สังเกตุดังนี้ ในช่วงที่ฟักจากไข่ หนอนจะมีสีขาวใส มีสีน้ำตาลอยู่กลางลำตัว จะกัดแทะผิวใบ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ลำตัวยาว 15-17 มม. กว้าง 5-6 มม. ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก กลางวันจะเกาะนิ่งไม่เคลื่อนไหว จะบินในช่วงพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า รังดักแด้เป็นสีน้ำตาล รูปทรงกลมขนาด 5-6 มม. X 7-8 มม. อยู่บริเวณโคนทางใบหรือซอกมุมของทางใบย่อย (ดูภาพประกอบด้านล่าง) ช่วงนี้ฝนตกต่อเนื่องและตกหนักบางพื้นที่ หนอนหน้าแมวจะกัดเข้าทำลายใบปาล์มน้ำมัน หนอนวัยเล็กจะกัดกินผิวใบ เมื่อหนอนโตขึ้นจะกัดกินจนใบขาด ถ้าระบาดรุนแรง ใบจะถูกกัดจนเหลือแต่ก้านใบ ทำให้ผลผลิตลดลง ต้นชะงักการเจริญเติบโต และใช้เวลานานกว่าที่ต้นจะฟื้นตัว ถ้าเกิดการระบาดในแต่ละครั้ง จะใช้เวลาในการกำจัดนาน เนื่องจากหนอนหน้าแมวมีหลายระยะในเวลาเดียวกัน เช่น ระยะหนอนและระยะดักแด้ ทำให้ไม่สามารถกำจัดให้หมดในเวลาเดียวกันได้ แนวทางการป้องกันและแก้ไขหนอนหน้าแมวในปาล์มน้ำมัน 1. การใช้วิธีกล (วิธีทางกายภาพ) 1.1 ตัดใบย่อยที่มีหนอนหน้าแมว หรือจับผีเสื้อที่มักเกาะนิ่งอยู่ใต้ทางใบในเวลากลางวัน รวมถึงเก็บดักแด้ตามใบและโคนทางใบรอบต้นมาทำลาย 1.2 ใช้กับดักแสงไฟ โดยใช้หลอดแบล็กไลต์ (black light) หรือหลอดนีออนธรรมดา ติดตั้งเหนือน้ำที่ผสมผงซักฟอกในกะละมังพลาสติก โดยให้หลอดไฟอยู่ห่างจากผิวน้ำประมาณ 5–10 เซนติเมตร วางล่อผีเสื้อในช่วงเวลา 18.00–19.00 น. วิธีนี้ช่วยลดการขยายพันธุ์ของผีเสื้อในรุ่นต่อไปได้ 2. การใช้ชีววิธี ใช้เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (บาซิลลัส ทูริงเยนซิส) ในอัตรา 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อกำจัดหนอนผีเสื้อ โดยไม่เป็นอันตรายต่อแมลงที่เป็นประโยชน์ 3. การใช้สารเคมี เริ่มฉีดพ่นสารฆ่าแมลงเมื่อพบหนอนหน้าแมวเฉลี่ย 20 ตัวต่อทางใบ สารเคมีที่สามารถใช้ได้ ได้แก่ เดลทาเมทริน 3% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร อีโทเฟนพร็อกซ์ 20% EC อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร คาร์บาริล 85% WP อัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร 4. การใช้วิธีผสมผสาน 4.1 ใช้กับดักแสงไฟดักจับผีเสื้อในช่วงที่ดักแด้กำลังออกจากรัง ร่วมกับการใช้สารเคมีหรือชีวภัณฑ์ในช่วงที่พบหนอนวัยอ่อน 4.2 ใช้สลับระหว่างเชื้อแบคทีเรียกับสารเคมี เพื่อป้องกันการดื้อยาและเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 21 พฤษภาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    ความผิดปกติของพืช
    มะนาวในรูปภาพนี้เกิดจากสาเหตุใด
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 14 พฤษภาคม 2568
    อาการคล้ายอาการที่เกิดจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ใบอ่อนม้วนงอขึ้นหรือพับเข้าหากัน เพื่อลดการคายน้ำ สีใบซีดหรือเหลืองลง ใบอาจแห้งกรอบบริเวณขอบใบ การเจริญเติบโตชะงัก ไม่แตกยอดใหม่ อย่างไรก็ตาม จากภาพที่คุณส่งมา ลักษณะใบม้วนงออย่างผิดปกติและซีด มีแนวโน้มว่าน่าจะมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น เพลี้ยไฟ (ซึ่งระบาดมากในฤดูแล้ง) ขาดธาตุอาหารรอง ระบบรากไม่สมบูรณ์ เพราะดินแข็งหรือการให้น้ำไม่สม่ำเสมอ สภาพอากาศแห้งแล้งเป็นปัจจัยเสริม ที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น แต่จากลักษณะในภาพ แนะนำให้คุณลองพลิกดูใต้ใบหรือตรวจยอดอ่อนใกล้ ๆ ว่ามีเพลี้ยไฟหรือไม่ และตรวจสภาพดิน-ระบบน้ำร่วมด้วยค่ะ ทั้งนี้หากคุณมีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ หรือภาพในมุมอื่นเพิ่มเติม จะช่วยให้วิเคราะห์ได้แม่นยำยิ่งขึ้นค่ะ
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 12 พฤษภาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    ปรับปรุงพันธุ์พืช
    ช่วยแนะนำพันธุ์กล้วยน้ำว้าและกล้วยหอมทองหน่อยค่ะ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 6 พฤษภาคม 2568
    ตอบ คุณ Pitchy กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 กล้วยปากช่อง KU 46 และกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง กล้วยหอมทองพันธุ์พื้นเมือง กล้วยหอมทองปทุม กล้วยหอมทองพันธุ์คาเวนดิช (Cavendish)
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 6 พฤษภาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    ศัตรูพืช
    ถ้าจะใช้สมุนไพรอะไรฉีดไล่แมลงที่ต้นหูกวางนี้ได้ครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 6 พฤษภาคม 2568
    ใช้ชีวภัณฑ์เชื้อราเมตาไรเซียม เชื้อราบิวเวอเรีย เพื่อป้องกำจัดได้ค่ะ
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 6 พฤษภาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    การผลิตพืช
    เคมี-ฟิสิกส์ดิน
    ที่ดินที่เคยผ่านการปลูกยูคาและต้นยางมาแล้ว ปลูกอ้อยก็ไม่ขึ้น สามารถปลูกต้อนถั่วเหลืองได้ไหม
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 29 เมษายน 2568
    ตอบ คุณ Pitchy พิชามญชุ์ ปลูกถั่วเหลืองพอได้ แต่ต้องปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดินก่อนปลูก แนะนำให้ส่งดินไปตรวจวิเคราะห์ก่อนทำการปลูกค่ะ (สามารถดูวิธีเก็บตัวอย่างดิน เพื่อตรวจวิเคราะห์ ได้ตามภาพประกอบด้านล่าง และสามารถส่งตรวจได้ที่ สถานีพัฒนาที่ดินในจังหวัดของท่านได้ค่ะ ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ดินได้ที่ https://osd101.ldd.go.th/data_guide.php เนื่องจากที่ดินที่เคยปลูกยูคาลิปตัสและยางพารามาก่อน แล้วพบว่าปลูกอ้อยไม่ขึ้นนั้น มีโอกาสสูงที่สภาพดินจะมีปัญหา เช่น ดินเสื่อมโทรมมาก (ธาตุอาหารต่ำ, อินทรียวัตถุน้อย) ดินเป็นกรดจัด (pH ต่ำกว่า 5.5) โครงสร้างดินแน่นทึบ รากพืชชอนไชได้ไม่ดี หรืออาจมีสารพิษตกค้าง เช่น สารฟีนอลจากรากยูคาลิปตัส (แต่ผลกระทบตรงนี้มักลดลงได้ภายใน 1–2 ปีหลังถอนต้น) อาจต้องเสริมปุ๋ยฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ในการปลูกช่วงแรก เพราะดินที่เสื่อมจากยูคาลิปตัสและยางพารามักขาดธาตุเหล่านี้ และต้องเลือกพันธุ์ถั่วเหลืองที่ทนสภาพแห้งแล้งหรือดินค่อนข้างเสื่อม เช่นพันธุ์ที่มีระบบรากแข็งแรง
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 29 เมษายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    การผลิตพืช
    เคมี-ฟิสิกส์ดิน
    การปรับปรุงดิน
    ก่อนหน้านั้นปลูกยูคาลิปตัสและต้นยางพาราไปแล้วทำให้ปลูกอ้อยไม่ขึ้น ควรบำรุงดินยังไงก่อนคะ สามารถปลูกพืชสวนเพื่อบำรุงดินให้มีรายได้ไปด้วยได้ไหม เช่น ต้นกล้วย แล้วหลังจากนั้นจะปลูกต้อนโกโก้เพิ่มด้วยค่ะ อยากสอบถามวิธีการบำรุงดีและระยะเวลาเพื่อวางแผนการปลูกต่อไปค่ะ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 29 เมษายน 2568
    ตอบ คุณ Pitchy พิชามญชุ์ ที่ดินที่เคยปลูกยูคาลิปตัสและยางพารามาก่อน แล้วพบว่าปลูกอ้อยไม่ขึ้นนั้น มีโอกาสสูงที่สภาพดินจะมีปัญหา เช่น ดินเสื่อมโทรม (ธาตุอาหารต่ำ, อินทรียวัตถุน้อย) ดินเป็นกรดจัด (pH ต่ำกว่า 5.5) โครงสร้างดินแน่นทึบ รากพืชชอนไชได้ไม่ดี หรืออาจมีสารพิษตกค้าง เช่น สารฟีนอลจากรากยูคาลิปตัส (แต่ผลกระทบตรงนี้มักลดลงได้ภายใน 1–2 ปีหลังถอนต้น) อาจต้องเสริมปุ๋ยฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ในการปลูกช่วงแรก เพราะดินที่เสื่อมจากยูคาลิปตัสและยางพารามักขาดธาตุเหล่านี้ แนะนำใหส่งดินตรวจวิเคราะห์ก่อนทำการปลูก และใช้ผลการตรวจวิเคราะห์มาเป็นแนวทางในการปรับปรุงอีกทีค่ะ แนวทางการฟื้นฟูดิน + วางแผนปลูกพืช 1. การฟื้นฟูดิน (ระยะ 6-12 เดือนแรก) ขั้นตอนหลัก ๆ คือ 1. เก็บตัวอย่างดิน ส่งวิเคราะห์ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่/พืชสวน/เกษตรอำเภอ (ค่า pH, อินทรียวัตถุ, ธาตุอาหารหลัก-รอง) และปรับปรุงตามคำแนะนำตามผลการตรวจดิน 2. ปรับปรุงค่าความเป็นกรดด่างของดิน ถ้า pH < 5.5 → ใส่ ปูนขาว หรือ ปูนโดโลไมท์ (อัตราโดยประมาณ 300–500 กก./ไร่ หรือดูตามผลตรวจดิน) ใส่รอบแรกก่อนพรวนดิน แล้วรดน้ำหรือปล่อยฝนตกช่วยละลาย 3. เพิ่มอินทรียวัตถุ โดยใส่ปุ๋ยคอกหมัก (ขี้วัว ขี้ไก่แกลบ ปุ๋ยหมักใบไม้) อัตรา 2–4 ตัน/ไร่ หรือปลูกพืชปุ๋ยสด (เช่น ปอเทือง, ถั่วพร้า, ถั่วพุ่ม) แล้วไถกลบช่วงออกดอก 4. พรวนดินลึก 30-50 ซม. เพื่อแตกโครงสร้างดินที่แน่นทึบจากรากยูคาลิปตัส/ยางพาราเดิม 5. ควบคุมวัชพืช และดูแลให้อินทรียวัตถุสลายตัวอย่างสมบูรณ์ ปลูกกล้วยเพื่อบำรุงดิน (และมีรายได้เสริม) พันธุ์กล้วยที่แนะนำ กล้วยน้ำว้า ทนแล้ง ทนดินเสื่อม รายได้ดี กล้วยหอมทอง ถ้ามีน้ำพอ รายได้สูงกว่า แต่ต้องดูแลมากกว่า วิธีปลูกกล้วยฟื้นดิน 1. ขุดหลุมกว้าง 50×50×50 ซม. 2. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 3-5 กก. + ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 50 กรัม 3. ปลูกระยะห่าง 3×3 เมตร (ได้ 177 ต้น/ไร่) 4. ปรับดินรอบโคนให้กักเก็บความชื้นดี 5. ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์รอบโคนทุก 3 เดือน 6. เก็บเกี่ยวกล้วยขายประมาณเดือนที่ 9–12 วางแผนปลูกโกโก้หลังจากกล้วย โกโก้ เป็นพืชที่ต้องการร่มเงาอ่อน ๆ ในช่วงต้น (เหมาะมากกับการปลูกร่วมใต้กล้วย) ต้องการดินร่วนชุ่มชื้น มีอินทรียวัตถุสูง pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 5.5–6.5 แนวทาง - เริ่มปลูกกล้าต้นโกโก้ หลังจากกล้วยอายุประมาณ 6 เดือน (ให้กล้วยมีพุ่มใหญ่ก่อน เพื่อช่วยบังแดด) - ปลูกโกโก้ระหว่างแถวกล้วย หรือปลูกแซมเป็นแถวในแปลงกล้วย - เมื่อโกโก้อายุ 2–3 ปี พอกล้าแข็งแรงแล้ว ค่อยทยอยโค่นกล้วยบางส่วนเพื่อเปิดแสงให้โกโก้ - การฟื้นฟูดิน ใช้ชีวภัณฑ์ เช่น พด.1, พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินช่วยได้ ในระยะยาวควรปลูกพืชคลุมดินเสริม เช่น หญ้าแฝก หรือถั่วพร้า เพื่อลดการพังทลายของหน้าดิน
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 28 เมษายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    การผลิตพืช
    การค้า/การตลาด
    สวัสดีค่ะ ตอนนี้เป็น นศ. สนใจที่อยากปลูกมะละกอขายเนื่องจากที่บ้านพื้นที่สวนยังเหลือใช้อยู่ อยากให้แนะนำพันธุ์มะละกอ และตลาดในการจัดจำหน่าย โซนภาคอีสานค่ะ (สวนอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์)
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 21 เมษายน 2568
    🔸 พันธุ์สำหรับตลาดส้มตำ (ผลดิบ) ได้แก่ พันธุ์ครั่ง แขกดำศรีสะเกษ และแขกนวล 🔸 พันธุ์สำหรับตลาดผลสุก (บริโภคสด / ส่งห้าง / แปรรูป) ได้แก่ พันธุ์ฮอลแลนด์ ปากช่อง 1 ปากช่อง 2 และขอนแก่น 80 ** สามารถดูจุดเด่นของมะละกอแต่ละสายพันธุ์ได้จากภาพประกอบด้านล่าง 📈 ตลาดและช่องทางจัดจำหน่าย 1. ตลาดท้องถิ่น - ตลาดสดใน อ.เมืองบุรีรัมย์ และอำเภอรอบนอก ขายตรงให้พ่อค้าแม่ค้าในชุมชน 2. โรงงานแปรรูป / พ่อค้ารับซื้อ เช่น โรงงานแปรรูปส้มตำใน จ.ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี แนะนำให้เข้าร่วมกลุ่ม Facebook เช่น ตลาดเกษตรภาคอีสาน ขายผลไม้ภาคอีสาน เพื่อหาช่องทางติดต่อ 3. ขายผ่านออนไลน์ - สร้างแบรนด์สวนของตัวเอง โดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, TikTok, LINE OA, Shopee, Lazada 4. ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น ตลาดไท, ตลาดสี่มุมเมือง (ปทุมธานี), ตลาดศรีเมือง (ราชบุรี) 5. ตลาด Modern Trade (ห้างค้าปลีกสมัยใหม่) - ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต: Big C, Lotus's, Makro, Tops, MaxValu, Gourmet Market รวมถึงร้านสุขภาพ/ออร์แกนิก : Lemon Farm, Golden Place, ร้านขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (ต้องมี GAP (Good Agricultural Practices) หรือใบรับรองมาตรฐานอื่น ๆ เช่น Organic Thailand หากจะขายในกลุ่มสุขภาพ)
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 20 เมษายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    โรคพืช
    เคมี-ฟิสิกส์ดิน
    น้ำปูนขาวสามาถกำจัดเชื้อราที่ทำให้รากเน่า และมีผลต่อจุลินทรีย์ ดีไหมครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 21 เมษายน 2568
    น้ำปูนขาว (แคลเซียมไฮดรอกไซด์) สามารถใช้ในการควบคุมเชื้อราบางชนิดที่ทำให้เกิดโรครากเน่าได้ เช่น ฟิวซาเรียม หรือไฟทอฟธอราได้ในระดับหนึ่ง เพราะน้ำปูนขาวมีคุณสมบัติเป็นด่างสูงซึ่งไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อราเหล่านี้ แต่ต้องระวังผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในดิน เพราะความเป็นด่างสูงอาจฆ่าจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น แบคทีเรียตรึงไนโตรเจน หรือไมคอร์ไรซาได้ และถ้าใช้ปริมาณสูงอาจทำให้ดินเป็นด่างมากจนเกินไป จะส่งผลให้พืชดูดซึมธาตุบางชนิดไม่ได้ แนะนำให้ใช้เฉพาะจุดที่มีปัญหา และใช้ในอัตราที่เหมาะสม ปัญหารากเน่าในพืชแนะนำให้ใช้วิธีแก้ไขที่เฉพาะเจาะจงจะดีกว่าค่ะ
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 14 เมษายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    โรคพืช
    ถ้าใช้น้ำส้มควันไม้ราดลงดิน เพื่อฆ่าเชื้อรา รากเน่า แล้วน้ำส้มควันไม้ฆ่าจุลินทรีย์ /เชื้อราดี ในดินไหมครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 3 เมษายน 2568
    อาจไปมีผลกระทบกับจุลินทรีย์ชนิดอื่นในดินได้ค่ะ เพราะน้ำส้มควันไม้มีคุณสมบัติที่เป็นกรด (ค่า pH ประมาณ 1.5 - 3.7) ใช้ฉีดพ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ไส้เดือนฝอย และศัตรูพืชในดินได้ (การใช้น้ำส้มควันไม้เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแมลงในดินนั้น มีโทษต่อพืชที่ปลูก ควรทำก่อนการเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน) ปกติการใช้น้ำส้มควันไม้เพื่อรักษาอาการรากเน่าจากเชื้อรา จะใช้น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร ผสมน้ำ 100 ลิตร ราดที่โคนต้นเพื่อรักษาโรคราและโรครากเน่า ทั้งนี้ น้ำส้มควันไม้อาจมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อราไม่ 100% เพราะน้ำส้มควันไม้ที่จะไปยับยั้งเชื้อราได้ชั่วคราวเท่านั้น แนะนำให้ลองใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา, เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ฯลฯ ที่สามารถกำจัดเชื้อราโรคพืชได้หลายชนิดแทน
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 2 เมษายน 2568
  • ถาม-ตอบ
    ศัตรูพืช
    โรคพืช
    ต้นพริกเป็นโรคอะไรครับ มีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไร
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 28 มีนาคม 2568
    สังเกตจากภาพที่ส่งมาคล้ายอาการโรคใบด่างจุดวงแหวน ที่มีเพลี้ยไฟเป็นพาหะ นะคะ และช่วงนี้อากาศร้อนแห้งแล้งเป็นช่วงที่ระบาดได้ง่าย ส่วนแนวทางป้องกัน ทำได้ดังนี้ 1. ใช้พันธุ์ต้านทานโรค 2. ไม่นำเมล็ดพริกจากต้นที่เป็นโรคมาเพาะขยายพันธุ์ 3. ควรเพาะกล้าพริกในมุ้งกันแมลง และคัดเลือกกล้าพริกที่แข็งแรงและไม่เป็นโรคมาปลูก 4. หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบพริกที่แสดงอาการของโรคให้ถอนและนำไปทำลาย หรือฝังดินนอกแปลงทันที 5. หมั่นกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูก เพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อไวรัสและแมลงพาหะ เช่น สาบแร้งสาบกา กะเม็ง หญ้ายาง และกระทกรก 6. ไม่ปลูกพืชหมุนเวียนที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อไวรัส เช่น มะเขือต่าง ๆ ยาสูบ แตงกวา ฟักทอง บวบเหลี่ยม และมะระจีน 7. เชื้อไวรัสสาเหตุโรคพืชยังไม่มีสารป้องกันกำจัดโดยตรง แต่ป้องกันการระบาดของโรคได้โดยพ่นสารกำจัดเพลี้ยไฟพริก ซึ่งเป็นพาหะนำโรคนี้ ได้แก่ สารสไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร 8. หมั่นสำรวจเพลี้ยไฟบริเวณใต้ใบหรือตามส่วนอ่อนๆของพืช ถ้าพบเพลี้ยไฟ 5 ตัวขึ้นไป/ยอด ควรพ่นสารกำจัด 9. ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้ พืชอ่อนแอ และเพลี้ยไฟพริกจะระบาดอย่างรวดเร็ว
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 28 มีนาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    การแปรรูปอาหาร
    ช่วงนี้มะม่วงที่บ้านออกเยอะมาก ทานไม่ทัน อยากได้สูตรทำน้ำมะม่วง และไอศกรีมมะม่วง ไม่ทราบว่ามีข้อมูลหรือเอกสารแนะนำมั้ยคะ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 27 มีนาคม 2568
    สามารถหาข้อมูลวิธีทำได้จาก หนังสือผลิตภัณฑ์มะม่วง (หน้า 41-49) คลิกที่ข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างค่ะ
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 27 มีนาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    การเงิน/สินเชื่อ
    ผมอยากวางแผนทำเกษตรช่วงหลังเกษียณ ไม่ทราบว่าพอมีข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อก่อนวัยเกษียณบ้างมั้ยครับ อยากทราบรายละเอียดและเงื่อนไข พยายามหาข้อมูล แต่ก็ไม่พบครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 27 มีนาคม 2568
    ตอบคุณ หนุ่มเตรียมเกษียณ เท่าที่หาข้อมูลจะมี สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังนี้ 👔 คุณสมบัติผู้กู้ 1) เป็นบุคลากรภาครัฐ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐหรือเป็นพนักงานองค์กรเอกชน เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นต้น ที่มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน และนำรายได้เข้าบัญชีเงินฝากเพื่อหักชำระหนี้เป็นรายเดือน 2) มีแผนประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม ก่อนและหลังเกษียณอายุและเริ่มดำเนินโครงการตามแผนภายใน 3 เดือนนับถัดจากวันรับเงินกู้ 3) มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 59 ปี 4) เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงและมีศักยภาพในการประกอบอาชีพ 5) มีแผนชำระหนี้เงินกู้ก่อนเกษียณอายุจากเงินเดือนหรือรายได้ประจำเป็นรายเดือนและแผนชำระหนี้เงินกู้หลังจากเกษียณอายุจากรายได้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม 💰 อัตราดอกเบี้ย - ปีที่ 1-5 คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR - 2 % - ปีที่ 6 เป็นต้นไป คิดดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR = 6.725% ต่อปี ตามประกาศธนาคารฯ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568) อัตราดอกเบี้ยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคารฯ ** กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน 20 ปี นับแต่วันกู้ อนุมัติเงินกู้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2572
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 27 มีนาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    อนุกรมวิธานพืช
    พอทราบไหมครับ ต้นอะไร มีประโยชน์ไหมครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 3 มีนาคม 2568
    ภาพที่ส่งมาไม่ค่อยชัด แต่ลักษณะคล้ายต้นตีนเป็ดน้ำหรือตีนเป็ดทะเลนะคะ อย่างไรให้สังเกตตอนโตอีกทีค่ะ
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 1 มีนาคม 2568
  • ถาม-ตอบ
    โรคพืช
    ดีครับ โรคใบยางร่วงทั้งปี มีวิธีแก้ไขได้อย่างไรครับ
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568
    ตอบ คุณ จริญ เวช** แนวทางป้องกันโรคใบร่วงยางพารา สามารถทำได้ดังนี 1. วิธีป้องกันที่ดีวิธีหนึ่ง คือ ใช้พันธุ์ต้านทานต่อโรคปลูกในแหล่งที่มีโรคนี้ระบาดเป็นประจำ พันธุ์ที่ต้านทานโรคได้ดีคือ พันธุ์ GT1 และ BPM 24 ไม่ควรปลูกยางพันธุ์ที่อ่อนแอ เช่น RRIM 600 ในกรณีที่ปลูกพันธุ์อื่นที่อ่อนแอต่อโรคไปแล้วก็อาจใช้พันธุ์ต้านทานติดตาเปลี่ยนยอดได้ 2. ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเป็นพืชแซมยาง ได้แก่ ส้ม ทุเรียน พริกไทย ปาล์มน้ ามัน โกโก้ 3. กำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นในสวนยาง 4. ในยางพาราที่มีอายุไม่เกิน 2 ปี ให้ใช้สารเคมี Fosetyl-AI เช่น อาลีเอท 80% WP หรือสารเคมี Metalaxyl เช่น เอพรอน 35% SD อัตรา 40 กรัมต่อน้ า 20 ลิตร พ่นพุ่มใบทุก 7 วัน เมื่อเริ่มพบการระบาด 5. ในยางที่เปิดกรีดแล้ว ให้ใช้สารเคมี Metalaxyl หรือ Fosetyl-AI ทาที่หน้ากรีดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคเส้นดำ เนื่องจากเกิดจากเชื้อราชนิดเดียวกัน 6. ต้นยางใหญ่ที่เป็นโรคอย่างรุนแรงจนใบร่วงหมดต้น ให้หยุดกรีด และใส่ปุ๋ยบำรุงต้นให้สมบูรณ์  เท่าที่สังเกตจากรูปที่ส่งมา อาการค่อนข้างลุกลาม แนะนำให้ลองปรึกษาทาง คลินิกสุขภาพพืช มก.กพส. ได้ที่ https://www.facebook.com/plantclinic/?locale=th_TH 
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568
  • ถาม-ตอบ
    โรคพืช
    ขอสอบถามครับ อันนี้คือโรคอะไร
    นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
    ตอบเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568
    น่าจะเป็นอาการของโรคผลเน่าค่ะ แนะนำให้ใช้สารอะซอกซีสโตรบิน (25% W/V SC) อัตรา 5 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ในการควบคุมโรคผลเน่า ทั้งนี้สามารถใช้สลับกับโปรคลอราซ (45% W/V EC) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และแมนโคเซบ (80% WP) อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยผสมน้ำพ่นให้ทั่วต้นและที่ช่อผลก่อนห่อด้วยถุงพลาสติก นอกจากนี้ควรไว้ผลชมพู่ต่อช่อไม่เกิน 3-4 ผลต่อการห่อ 1 ถุง เพื่อไม่ให้ผลชมพู่ขยายใหญ่เบียนกันจะเกิดบาดแผล
    อ่านต่อ
    ถามเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2568
แสดง 1 - 20 จาก 1019
หน้า
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู