แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่

แสดง 1 - 20 จาก 184
หน้า
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังมวนถั่วเหลือง

    สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกต่อเนื่อง และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกถั่วเหลืองในระยะออกดอกรับมือมวนถั่วเหลือง ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของมวนถั่วเหลือง จะดูดน้ำเลี้ยงจากใบ ลำต้น ดอก และฝักของถั่วเหลือง ฝักอ่อนที่ถูกทำลายจะลีบ และร่วงหล่นทำให้ผลผลิตลดลง

    แนวทางป้องกันกำจัด
    พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% ซีเอส อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบตัวเต็มวัยของมวนถั่วเหลือง 2-3 ตัวต่อแถวถั่วยาว 1 เมตร


    อ่านต่อ
    วันที่ 6 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคลำต้นเน่าในปาล์มน้ำมัน

    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในระยะ ต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือปาล์มที่ปลูกซ้ำแปลงเดิม รับมือโรคลำต้นเน่า (เชื้อรา Ganoderma boninense)

    ระยะแรกไม่พบลักษณะอาการผิดปกติของต้นปาล์มน้ำมัน ต่อมาจะพบอาการใบมีสีซีดกว่าปกติและแห้ง ทางใบล่างหักพับทิ้งตัวห้อยลงรอบ ๆ ลำต้น ทางยอดที่ยังไม่คลี่มีจำนวนมากกว่าปกติ บริเวณโคนต้นจะหักพับทำให้ต้นล้ม บางต้นยืนต้นตาย ภายในลำต้นพบเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรค ลำต้นกลวงเนื้อเยื่อภายในผุเปื่อย เปลือกรากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อเยื่อภายในรากเปลี่ยนเป็นสีดำ ที่โคนต้นหรือรากบริเวณผิวดินจะพบดอกเห็ดซึ่งเกิดจากเชื้อสาเหตุโรค

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ตรวจสอบต้นที่คาดว่าจะเป็นโรคโดยใช้ไม้เคาะลำต้นเพื่อฟังเสียงบริเวณโคนต้นที่ถูกทำลาย ซึ่งจะมีเสียงโปร่งไม่แน่นทึบเหมือนต้นปกติ
    2. ตรวจหาดอกเห็ดบริเวณโคนต้นและราก เก็บดอกเห็ดซึ่งเป็นส่วนของเชื้อราสาเหตุโรคที่พบ นำไปทำลายนอกแปลงปลูก
    3. ขุดหลุมรอบ ๆ ต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปยังต้นปกติ
    4. ต้นที่มีอาการรุนแรง หรือตายให้ขุดล้อมต้นออกไปทำลายนอกแปลงปลูก
    5. สังเกตต้นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต้นที่เป็นโรค หากพบเริ่มมีอาการของโรคให้รีบป้องกันกำจัด
    6. แปลงที่มีการระบาดของโรค หากปลูกใหม่ควรใช้พันธุ์ต้านทานโรค

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 6 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ทรัพยากรน้ำ
    อุตุนิยมวิทยา
    สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 6 ก.ย.67 เวลา 07.00 น.
    1.ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เชียงใหม่ (108 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.ขอนแก่น (91 มม.) ภาคกลาง : จ.ชัยนาท (29 มม.) ภาคตะวันออก : จ.จันทบุรี (49 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (25 มม.) ภาคใต้ : จ.ปัตตานี (96 มม.)
    สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้
    คาดการณ์ :.ช่วงวันที่ 7-11 ก.ย. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคตะวันออก และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับพายุไต้ฝุ่น “ยางิ” (YAGI) ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำ ประเทศจีน และขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 7-8 ก.ย. 67 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชันตามลำดับ
    2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 63% ของความจุเก็บกัก (50,818 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 46% (26,634 ล้าน ลบ.ม.)
    3. สทนช.ประกาศสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 13/2567 ลงวันที่.1 ก.ย. 67 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 3 – 9 ก.ย. 67 พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวัง ดังนี้
    3.1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และบริเวณชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน บริเวณ จ.ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง และสตูล
    3.2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80
    3.3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของ แม่น้ำยม แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำตราด แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และแม่น้ำน้อย ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    4. สถานการณ์น้ำ : วานนี้ (5 ก.ย. 67) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ ครั้งที่ 7/2567 พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามจุดเสี่ยงคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ อาคารชลศาสตร์ ในเขตพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก และพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง คลองบางบาล อ.ผักไห่ และ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณฝนจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ประกอบกับอยู่ในช่วงเฝ้าระวังพายุไต้ฝุ่น “ยางิ” ที่จะเข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบนในวันที่ 8 ก.ย. 2567 คาดว่าจะทำให้มีฝนตกเพิ่มในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (บริเวณแม่น้ำโขง) ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก โดย สทนช.ได้นำเสนอแบบจำลองคาดการณ์ ปริมาณน้ำช่วงเดือนกันยายน โดยคาดว่าปริมาณน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสถานี C.2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ จะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 2,000 ลบ.ม./วินาที และในช่วงวันที่ 9-10 ก.ย. 2567 คาดว่าจะมีน้ำระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 1,500 - 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที อาจทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ริมแม่น้ำและพื้นที่ลุ่มต่ำของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมวางแผนรองรับสถานการณ์ล่วงหน้าด้วย
    5. สถานการณ์อุทกภัย : วันที่ 5 ก.ย. 67 ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย (อ.ขุนตาล และพญาเม็งราย) จ.สุโขทัย (อ.สวรรคโลก ศรีสำโรง คีรีมาศ และกงไกรลาศ) จ.พิษณุโลก (อ.เมืองฯ บางระกำ บางกระทุ่ม ชาติตระการ และพรหมพิราม) จ.นครสวรรค์ (อ.ชุมแสง) จ.อ่างทอง (อ.โพธิ์ทอง วิเศษชัยชาญ แสวงหา และป่าโมก) และ จ.พระนครศรีอยุธยา (อ.พระนครศรีอยุธยา เสนา บางบาล ผักไห่ บางไทร และบางปะอิน)

    อ่านต่อ
    วันที่ 6 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยอ่อนในถั่วฝักยาว

    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน ฝนตกชุก เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาว ในระยะ ทุกระยะ การเจริญเติบโต รับมือเพลี้ยอ่อน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อน ทำให้ส่วนที่ถูกทำลายบิดเบี้ยว แกร็น

    แนวทางป้องกันกำจัด
    เมื่อพบการระบาด ใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร


    อ่านต่อ
    วันที่ 6 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคราสนิมในถั่วฝักยาว

    สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกชุก เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาวในทุกระยะการเจริญเติบโตรับมือโรคราสนิม สาเหตุเกิดจากเชื้อรายูโรมายเซส (Uromyces appendiculatus (Uromyces phaseoli))
    พบมากในระยะถั่วฝักยาวเริ่มออกดอก มักเกิดกับใบแก่ด้านล่างของลำต้นก่อนแล้วลามขึ้นด้านบน โดยพบมากบริเวณด้านใต้ใบ อาการเริ่มแรกเป็นแผลจุดสีเหลืองซีด ต่อมาตรงกลางแผลเป็นตุ่มนูนสีน้ำตาลแดง รอบแผลมีสีเหลือง ตุ่มนูนจะขยายใหญ่แล้วปริแตกออก เห็นเป็นผงสีน้ำตาลแดงคล้ายสีสนิม เมื่ออาการรุนแรงจะพบแผลกระจายทั่วทั้งใบ ทำให้ใบเหลืองและหลุดร่วง


    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ไม่ปลูกพืชจนแน่นเกินไป ควรปรับระยะปลูกให้มีการถ่ายเทของอากาศและมีแสงแดดส่องผ่านแปลงปลูกได้
    2. กำจัดวัชพืชในแปลงปลูก เพื่อลดการเกิดโรค
    3. เมื่อเริ่มพบโรค พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น คลอโรทาโลนิล 50% เอสซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรอะดิมีฟอน 20% อีซี อัตรา 10-15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซอกซีสโตรบิน + ไดฟีโนโคนาโซล 20% + 12.5% เอสซี อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน
    4. กำจัดเศษซากพืชที่เป็นโรค โดยนำไปเผานอกแปลงปลูก
    5. ในแปลงที่มีการระบาดของโรค เมื่อสิ้นสุดฤดูปลูก ควรเก็บต้นไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อสาเหตุโรค


    อ่านต่อ
    วันที่ 6 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังหนอนเจาะฝักถั่ว

    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศชื้นมีฝนตก เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาวในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือหนอนเจาะฝักถั่ว เมื่อหนอนฟักออกจากไข่จะเจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกอ่อน ต่อมาจะกัดส่วนของดอกและเกสรทำให้ดอกร่วง เมื่อหนอนโตขึ้นจะเจาะเข้าไปกัดกินภายในฝัก ส่วนที่เป็นเมล็ดอ่อน ทำให้ฝักและเมล็ดลีบ

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. วิธีกล ก่อนปลูกพืชประมาณ 2 สัปดาห์ ควรทำการไถพรวน และตากดิน เพื่อกำจัดดักแด้ที่อาจหลงเหลืออยู่ในแปลงปลูก
    2. การใช้เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
    3. การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพ เช่น เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% อีซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เดลทาเมทริน 3% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร


    อ่านต่อ
    วันที่ 5 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    อุตุนิยมวิทยา
    พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร ระหว่างวันที่ 2-8 กันยายน พ.ศ. 2567

     

    การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 2-7 ก.ย. 2567 ร่องมรสุมกำลังปานกลางเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ หลังจากนั้นในวันที่ 8 ก.ย. 2567 ร่องมรสุมกำลังปานกลางจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมา ลาว และเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

    สำหรับช่วงวันที่ 2-3 ก.ย. 2567 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดระนองขึ้นมาและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดพังงาลงไปมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 4-8 ก.ย. 2567 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

    คำเตือน ในช่วงนี้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับในช่วงวันที่ 4-8 ก.ย. 2567 บริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

    คําแนะนําสําหรับการเกษตร อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tmd.go.th/media/agro/7dayforecast


    อ่านต่อ
    วันที่ 3 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ศัตรูพืช
    โรคใบด่างมันสำปะหลัง และแนวทางป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบ พาหะนำโรค

    การปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมามักไม่ค่อยพบปัญหาด้านศัตรูพืชมากนัก โดยส่วนใหญ่จะจัดการศัตรูพืชเพียงชนิดเดียวคือ วัชพืช เป็นหลัก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มพบปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาดในมันสำปะหลัง เช่น เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ที่สร้างปัญหารุนแรงในปี 2551-2552 แต่หลังจากนั้นก็พบการระบาดลดน้อยลงและเหลือเพียงบางพื้นที่ เช่นเดียวกับการพบ เพลี้ยหอยเกล็ด ไรแดง แมลงหวี่ขาว เป็นต้น

    ส่วนปัญหาด้านโรคพืชของเกษตรกรที่คุ้นเคยดีคือ โรคพุ่มแจ้ ที่เกิดจากเชื้อไฟโตพลาสมา โรครากและหัวเน่า โรครากปม โรคแอนแทรกโนส โรคใบจุดสีน้ำตาล แต่ขณะนี้มีโรคใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน คือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava mosaic Disease : CMD)

    ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อ Cassava mosaic virus ซึ่งเป็นไวรัสในจีนัส Begomovirus ซึ่งมีรายงานก่อความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศอินเดียและศรีลังกามากกว่า 80% คือ Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งปัจจุบันกำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงกับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น คงต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่เชื้อไวรัสจะแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ไม่แตกต่างจากหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดในข้าวโพด เนื่องจาก
    1. ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังติดต่อกับเขตชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งพบการระบาดของโรคไวรัสชนิดนี้ และจังหวัดชายแดนของประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังจำนวนมากไม่ห่างจากชายแดนมากนัก (ทำให้ท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคจากฝั่งกัมพูชามีโอกาสเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่)

      

    2. แมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งเป็นแมลงพาหะนำโรค เป็นแมลงศัตรูที่มีพืชอาหารกว้างมากในบ้านเรา และปัญหาอีกข้อคือ การปลูกมันสำปะหลังหลายรุ่นมาก ในพื้นที่ที่ไปสำรวจแปลงเกษตรกรต่างค่อย ๆ ทยอยปลูก โดยไม่ได้ปลูกพร้อมกันทั้งหมดในพื้นที่ แมลงหวี่ขาวจึงมีพืชอาศัยตลอดเวลา จากการสำรวจพบว่าในแปลงที่โรคระบาดรุนแรง (พบอาการโรคเยอะ) โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ติดมาจากท่อนพันธุ์ แต่เกิดจากการถ่ายทอดเชื้อจากแมลงหวี่ขาวยาสูบ และจากการลงพื้นที่สังเกตเห็นแปลงที่พบการระบาดของโรคจะพบแมลงหวี่ขาวยาสูบจำนวนเยอะมาก ๆ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย เมื่อเปรียบเทียบกันกับแปลงที่พบการระบาดของโรคน้อยกว่า จะพบจำนวนแมลงหวี่ขาวยาสูบน้อยกว่าด้วย

    แนวทางการป้องกันกำจัด
    1. การประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด! นอกจากแจ้งให้เกษตรกรมาฟังแล้ว ต้องแจ้งผ่านช่องทางของหมู่บ้านที่พบการระบาด เช่น หอกระจายเสียงผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักโรคและพาหะนำโรคคือแมลงหวี่ขาวเลย บางคนยังเข้าใจผิด ๆ ว่าแมลงหวี่ขาวคือเพลี้ยแป้ง
    2. หมั่นสำรวจแปลงให้บ่อยขึ้น หากเกษตรกรพบให้รีบแจ้งเกษตรตำบล เกษตรอำเภอในพื้นที่ด่วน เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ
    3. ซื้อท่อนพันธุ์มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าไม่พบการระบาดของโรคนี้
    4. แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเหมือนที่เคยทำในการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง เช่น สารไทอะมีโทแซม สารไดโนทีฟูแรน สารอิมิดาโคลพริด เป็นต้น (เพราะเป็นการป้องกันกำจัดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ตกประมาณไร่ละ 4-6 บาท) ในช่วงหลังมานี้ เกษตรกรไม่แช่ท่อนพันธุ์ เพราะไม่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว โดยคิดว่าเสียเวลาและเปลืองเงิน น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการระบาดของแมลงหวี่ขาว
    5. การป้องกันกำจัดแมลงพาหะต้องทำพร้อม ๆ กันทุกแปลง เพราะส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกไม่พร้อมกัน หรือทยอยกันปลูก ทำให้แมลงหวี่ขาวพาหะนำโรคมีพืชอาหารและที่อยู่อาศัยตลอดทั้งปี
    6. การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวเป็นไปได้ยาก (ยากยิ่งกว่าหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเสียอีก) เพราะเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเท่าที่สอบถามข้อมูลมาจะไม่คุ้นเคยกับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเลย ส่วนใหญ่จะเคยพ่นกันแต่ยาป้องกันกำจัดวัชพืช และราคาสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพดี ๆ ก็มีราคาค่อนข้างแพง หากเลือกใช้สารดูดซึมที่มีประสิทธิภาพดี อย่างพวกกลุ่ม 4, 9, 23 และกลุ่ม 29 และเหตุผลสำคัญอีกข้อคือประชากรแมลงหวี่ขาวเยอะมาก ๆ เท่าที่สุ่มตรวจนับพบเฉลี่ยมากกว่าห้าสิบตัวต่อต้น การใช้สารเคมีจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
    5. การตัดใบที่พบการระบาดเยอะ ๆ ของตัวอ่อนออกมาทำลายน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
    6. หลังการลงมือกำจัดแมลงหวี่ขาวและต้นที่เป็นโรคพร้อม ๆ กันแล้ว ต้องเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคไว้ให้เกษตรกรด้วย

    โดยสรุปคือ อยากให้เกษตรกรเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคใบด่าง และตระหนักถึงผลกระทบที่ตามมาหากมีปัญหาการระบาดเกิดขึ้น แต่ไม่ตื่นตกใจจนเกินไปเพราะอาการผิดปกติที่คล้ายคลึงกันกับโรคใบด่างนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
    1. อาการผิดปกติเนื่องจากขาดธาตุอาหาร โดยมีลักษณะอาการที่พบใบมันสำปะหลังมีขนาดเล็ก รูปทรงอาจผิดปกติ ใบมีสีซีด หรือเหลืองตรงเส้นใบ
    2. อาการผิดปกติเนื่องจากถูกสารเคมี โดยมีลักษณะอาการที่พบใบมันสำปะหลังจะมีลักษณะเรียวเล็ก เนื้อใบมีสีเขียวเข้มและอ่อนสลับกัน แต่ใบแข็งและหนา


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    มวนปีกแก้วมะพร้าว ศัตรูพืช...ดูดกินใบมะพร้าวและใบกล้วย

     

    “มวนปีกแก้วมะพร้าว” 𝙎𝙩𝙚𝙥𝙝𝙖𝙣𝙞𝙩𝙞𝙨 𝙩𝙮𝙥𝙞𝙘𝙖 (Distant) จัดอยู่ในอันดับ (Order) Hemiptera วงศ์ (Family) Tingidae มวนชนิดนี้มีขนาดเล็ก ขนาดลำตัวเมื่อวัดจากศีรษะไปถึงปลายสุดของส่วนท้องยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ลำตัวถึงส่วนท้องสีค่อนไปทางดำ ปีกใส ขอบเซลล์ของปีกมีสีเดียวกับลำตัว ตรงกลางของสันหลังอกปล้องแรกสีน้ำตาลปนแดงอ่อนๆ หรือสีน้ำตาลอ่อน ขาและหนวดสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาลอ่อน ปลายหนวดและปลายเท้ามีสีเหลืองปนน้ำตาลอ่อน

    พืชอาหารและการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเป็นศัตรูสำคัญดูดกินใบมะพร้าวและใบกล้วย ทำให้ใบมีอาการเป็นจุดสีขาวเล็กๆ คล้ายถูกเจาะด้วยปลายเข็มหมุด และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ มีอาการเป็นรอยด่างอยู่ทั่วไป ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีนิสัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มดูดกินอยู่ใต้ใบพืช หากมีการระบาดมากๆ ใบพืชแทบจะไม่เห็นเป็นสีเขียว ต้นพืชจะมีอาการทรุดโทรมลง ใบมีขนาดเล็ก ต้นแคระแกรน และมีอาการเหี่ยวให้เห็นได้ชัดเจน

    แนวทางป้องกันกำจัดและวงจรชีวิต สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คลังความรู้ดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    ที่มา : เปิดโลกส่องแมลง “มวน” ตอนที่ 19
    จอมสุรางค์ ดวงธิสาร
    นักกีฏวิทยาชำนาญการ กลุ่มงานอนุกรมวิธานแมลง กลุ่มกีฏและสัตววิทยา
    สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร

    อ่านต่อ
    วันที่ 2 กันยายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    โรคใบจุดสาหร่ายปาล์มน้ำมัน

    โรคใบจุดสาหร่ายปาล์มน้ำมัน
    ลักษณะอาการ
    เป็นจุดเล็ก ๆ หรือเป็นแผ่นขนาดใหญ่ (ลุกลาม) บนใบ โดยจุดดังกล่าวจะขยายใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน

    การระบาด
    ระบาดมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากสปอร์สาหร่าย สามารถแพร่กระจายได้ทางลมและฝน

    การป้องกันกำจัด
    - ติดตามสถานการณ์โรคใบจุดสาหร่ายในช่วงฤดูฝน โดยสำรวจสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
    - หากพบอาการของโรคเพียงเล็กน้อย ให้ตัดใบดังกล่าวไปทำลาย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรค
    - หากทางใบแน่นเกินไป ให้ตัดแต่งทางใบแห้งออก เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นในทรงพุ่ม


    อ่านต่อ
    วันที่ 28 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคราสนิมขาว (White rust) ในผักบุ้ง


    โรคราสนิมขาว (White rust) ของผักบุ้ง
    ▶️ ลักษณะอาการ : พบจุดสีเหลืองขนาด 1-2 มิลลิเมตร บริเวณด้านบนของใบ ส่วนใต้ใบตรงข้ามจะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ ลักษณะปุ่มปมหรือบวมพองโต สีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม อาจพบในส่วนของก้านใบและลำต้น ทำให้ผักบุ้งชะงักการเจริญเติบโต ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อรา Albugo sp.


    ▶️ ลักษณะที่สำคัญของเชื้อ : สปอร์ หรือ Sporangium เกิดบนก้านชูสปอร์ที่มีลักษณะคล้ายตะบอง Sporangium เกิดติดกันป็นลูกโซ่ เมื่อแก่จะหลุดจากกันได้ง่าย รูปร่างของ Sporangium มีลักษณะกลม แบน หรือเป็นรูปหลายเหลี่ยม ใสไม่มีสี

    🍃🔎 คำแนะนำ :
    1. เลือกใช้เมล็ดจากแหล่งที่ไม่มีโรคระบาดมาก่อน
    2. ดูแลระบบการให้น้ำในแปลงปลูก อย่าให้แฉะจนเกินไป
    3. คลุกเมล็ดก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น เมทาแลคซิล (Metalaxyl) และให้พ่นใต้เมื่อมีการระบาดของโรคตามอัตราที่แนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์

    อ้างอิงเนื้อหาและภาพ : นางสาวปาริชาติ ผดุงกิจ 

    อ่านต่อ
    วันที่ 28 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคใบด่างแตงกวา
    สาเหตุจากเชื้อไวรัส
    ต้นที่เป็นโรคใบจะมีขนาดเล็กลง มีอาการด่างลายสีเขียวซีดหรือขาวสลับกับจุดสีเขียวเข้ม ใบหดย่น ต้นแคระแกร็น ข้อหดสั้นไม่ยืดยาว
    อาการที่ผลจะทำให้ผิวมีลักษณะขรุขระเป็นปม ผลบิดเบี้ยว ซึ่งโรคใบด่างจะมีแมลงหลายชนิดเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อไวรัส เช่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน หรือแมลงหวี่ขาว เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าการปฏิบัติของเกษตรกร ได้แก่ การใช้มือ, มีด หรือกรรไกรตัดแต่งใบ หรือผล ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อโรคได้
    การป้องกันกำจัด
    - กำจัดแมลงพาหะไม่ให้มีการระบาดในแปลง
    - การทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ตัดแต่งต้นพืชด้วยแอลกอลฮอล์ 70%
    - กำจัดวัดพืชที่อาจเป็นแหล่งอาศัยของแมลงพาหะ และแหล่งที่อยู่ของเชื้อไวรัสสาเหตุโรคได้
     
     
    อ้างอิงเนื้อหาและภาพจาก เพจรู้ทันโรคพืช

    อ่านต่อ
    วันที่ 28 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นมะม่วง


    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อนชื้น มีฝนตก เตือนผู้ปลูกมะม่วงในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นมะม่ว

    ตัวเต็มวัยเป็นด้วงหนวดยาว เพศเมียวางไข่ในเวลากลางคืนโดยฝังไว้ใต้เปลือก หนอนจะกัดกินชอนไชตามเปลือกไม้ด้านใน ทำให้เกิดยางไหล หนอนอาจควั่นเปลือกจนรอบลำต้น ทำให้ท่อน้ำท่ออาหารถูกตัดทำลายเป็นเหตุให้ต้นมะม่วงทรุดโทรม ใบแห้ง และยืนต้นตายได้ สังเกตรอยทำลายได้จากขุยไม้ที่หนอนถ่ายออกมาบริเวณเปลือกลำต้น

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1.หมั่นสำรวจตรวจแปลงสม่ำเสมอ โดยสังเกตรอยแผล ซึ่งเป็นแผลเล็กและชื้น ที่ตัวเต็มวัยทำขึ้นเพื่อการวางไข่ พบให้ทำลายไข่ทิ้ง หรือถ้าพบขุยและการทำลายที่เปลือกไม้ให้ใช้มีดแกะและจับหนอนทำลาย
    2.กำจัดแหล่งขยายพันธุ์โดยตัดต้นที่ถูกทำลายรุนแรง จนไม่สามารถให้ผลผลิตเผาทิ้ง
    3.กำจัดตัวเต็มวัย โดยใช้ไฟส่องจับตัวเต็มวัยตามต้น ในช่วงเวลา 20.00 น. ถึงเช้ามืด หรือใช้ตาข่ายดักปลาตาถี่พันรอบต้นหลายๆทบ เพื่อดักตัวด้วง
    4.กรณีที่มีการระบาดรุนแรง ควรป้องกันการเข้าทำลายของด้วงหนวดยาวโดยใช้สารป้องกันกำจัดแมลง เช่น อิมิดาคลอพริด 10% เอสเอล อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะเซทามิพริด 20% เอสพี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไธอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วบริเวณต้นและกิ่งขนาดใหญ่


    อ่านต่อ
    วันที่ 28 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    การปรับปรุงดิน
    กรมพัฒนาที่ดิน แนะแผนรับมือภัยดินโคลนถล่มในช่วงฤดูฝน พร้อมแนวทางฟื้นฟูดินในพื้นที่การเกษตร

    นายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลกในปัจจุบัน (Climate Change) ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เกิดฝนตกหนัก ปริมาณน้ำฝนที่ตกสะสมอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วม ดินโคลนถล่ม พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย สำหรับในประเทศไทยได้เกิดเหตุการณ์ดินถล่ม สร้างความเสียหาย และการเสียชีวิตของประชาชนจำนวนหลายครั้ง โดยที่สำคัญเมื่อปี พ.ศ. 2531 เกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มที่ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช และปี พ.ศ. 2544 เกิดเหตุการณ์ดินถล่มขนาดใหญ่ที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ และอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งภายหลังเกิดเหตุส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสูญหาย ทรัพย์สินและบ้านเรือนเสียหายเป็นจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่า พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยดินโคลนถล่ม จะมีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน อยู่ใกล้ลำน้ำ เป็นทางของน้ำป่าไหลผ่าน มีรอยดินเลื่อนหรือแยกจากการเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขึ้นบ่อยครั้ง ประกอบกับเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน หรือนานกว่า 6 ชั่วโมง ก่อนเกิดเหตุดินโคลนถล่มจะมีสัญญาณความผิดปกติของธรรมชาติ เช่น ระดับน้ำในแม่น้ำและลำห้วยเพิ่มสูงขึ้น น้ำมีสีขุ่นมากกว่าปกติ เปลี่ยนเป็นสีเดียวกับสีดินบนภูเขา ดินมีสภาพอิ่มน้ำ หรือชุ่มน้ำมากกว่าปกติ

    กรมพัฒนาที่ดิน มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกร จึงแนะแนวทางและมาตรการรับมือกับภัยดินโคลนถล่มในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันและช่วยลดความเสียหายต่อพื้นที่การเกษตร โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1) ก่อนเกิดภัย ให้หมั่นสังเกตความผิดปกติของธรรมชาติดังกล่าว โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยมีประวัติดินถล่ม เกิดน้ำป่าไหลหลาก หรือน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง หากได้รับสัญญาณเตือนภัย ให้อพยพไปในพื้นที่สูงและมั่นคง ตามเส้นทางที่จัดเตรียมไว้ ระยะที่ 2) เพิ่มศักยภาพพื้นที่ให้สามารถรับมือกับภัยดินถล่มที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ การทำขั้นบันไดดิน ทำคันคูรับน้ำขอบเขา สร้างฝายชะลอความเร็วน้ำ ปลูกหญ้าแฝกเพื่อให้รากของหญ้าแฝกช่วยยึดดินไม่ให้พังทลาย รวมทั้งปลูกพืชหมุนเวียน ระยะที่ 3) รักษาฟื้นฟูสภาพดิน ปลูกพืชคลุมดิน ไม่ตัดไม้ทำลายป่าปลูกไม้ยืนต้นบริเวณป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมเพื่อรักษาหน้าดินและชะลอความแรงของน้ำ ป้องกันดินถล่มในระยะยาว ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินได้ติดตามสถานการณ์ และข้อมูลพยากรณ์อากาศ พร้อมเฝ้าระวังและแจ้งข่าวสารให้กับเกษตรกรเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยที่อาจเกิดขึ้นอย่างรู้เท่ากันสถานการณ์ โดยสามารถติดตามได้ที่ เว็บไซต์ http://irw101.ldd.go.th หรือทาง Facebook: ncarp disaster

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 27 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นทุเรียน

    🪲ด้วงหนวดยาว มีตัวเต็มวัยสีน้ำตาล มีจุดสีส้มหรือเหลืองกระจายอยู่ทั่วปีก เพศผู้มีหนวดยาวกว่าลำตัว เพศเมียหนวดเท่ากับหรือสั้นกว่าลำตัว จับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ในเวลากลางคืน โดยใช้ปากที่มีเขี้ยวแข็งแรงขนาดใหญ่ กัดเปลือกไม้เพื่อวางไข่แล้วกลบด้วยขุยไม้ ชอบวางไข่ซ้ำบนต้นเดิม ไข่คล้ายเมล็ดข้าวสารสีขาวขุ่น หนอนที่ฟักใหม่จะมีสีขาวครีม

    🪲ลักษณะการทำลาย
    ตัวหนอนจะกัดกินชอนไชใต้เปลือกไม้ และถ่ายมูลออกมาเป็นขุยไม้ติดอยู่ภายนอกอาจควั่นรอบต้น ทำลายท่อน้ำท่ออาหาร ต้นทุเรียนทรุดโทรมและยืนต้นตายได้ ตัวเต็มวัยมีอายุได้นานกว่า 6 เดือน ทำในต้นหนึ่ง ๆ จึงพบไข่และหนอนระยะต่าง ๆ กัน เป็นจำนวนมาก สวนที่มีการระบาดรุนแรงพบหนอนด้วงหนวดยาววัยต่าง ๆ ในต้นทุเรียนเฉลี่ย 40-50 ตัวต่อต้น

    🪲วิธีป้องกันกำจัด
    1. หมั่นสำรวจสวนทุเรียนเป็นประจำ
    2. กำจัดตัวเต็มวัยด้วงหนวดยาว โดยใช้แสงไฟล่อ หรือใช้ตาข่ายตาถี่พันหลวม ๆ รอบต้น
    3. เมื่อพบการระบาดรุนแรงให้ใช้สารเคมีตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร
    4. กำจัดแหล่งขยายพันธุ์ โดยตัดต้นทุเรียนที่ถูกทำลายรุนแรงจนไม่สามารถให้ผลผลิตและนำไปเผาทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมการระบาด ทำความเสียหายต่อทุเรียนต้นอื่น ๆ ต่อไป


    อ่านต่อ
    วันที่ 26 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังด้วงหมัดผักในพืชตระกูลกะหล่ำและผักกาด
    สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกพืชตระกูลกะหล่ำและผักกาด (เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี กวางตุ้ง ผักกาดขาว ผักกาดหอม ฯลฯ) ในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือด้วงหมัดผัก ตัวอ่อนด้วงหมัดผักกัดกิน หรือชอนไชเข้าไปกินอยู่บริเวณโคนต้น หรือรากของผัก ทำให้พืชผักเหี่ยวเฉา และไม่เจริญเติบโต ถ้ารากถูกทำลายมาก ๆ ก็อาจจะทำให้พืชผักตายได้ ตัวเต็มวัยชอบกัดผิวด้านล่างของใบทำให้ใบเป็นรูพรุน และอาจกัดกินผิวลำต้น และกลีบดอกด้วย ด้วงหมัดผักชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ตัวเต็มวัยเมื่อถูกกระทบกระเทือนจะกระโดด และสามารถบินได้ไกล
     
     
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. วิธีเขตกรรม การลดการระบาดของด้วงหมัดผัก สามารถทำได้โดยการไถตากดินไว้เป็นเวลานานพอสมควร เพื่อทำลายตัวอ่อน และดักแด้ที่อาศัยอยู่ในดิน นอกจากนี้ควรเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ด้วงหมัดผักไม่ชอบจะเป็นการช่วยลดการระบาดได้อีกทางหนึ่ง
    2. การใช้ไส้เดือนฝอย (Steinernema carpocapsae) อัตรา 50 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่น หรือราดลงดินก่อนปลูกหลังการให้น้ำ และพ่นทุก 7 วันหลังปลูก
    3. ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด เช่น ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรฟีโนฟอส 50% EC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล 85% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบการระบาด และควรพ่นสารสลับกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพื่อชะลอการสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง

    อ่านต่อ
    วันที่ 26 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนเกษตรกร เฝ้าระวังหนอนกินใบมะพร้าว

    หนอนกินใบมะพร้าว หรือหนอนบุ้งเล็ก เป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก ตัวเต็มวัยกินน้ำหวานจากช่อดอกมะพร้าวเป็นอาหาร และสามารถบินอพยพได้ระยะสั้นระหว่างสวนมะพร้าว ระยะทางประมาณ 1-1.5 กิโลเมตร โดยในระยะหนอนจะเป็นช่วงวัยที่เข้าทำลายมะพร้าว
    ลักษณะอาการ
    หนอนจะอาศัยกัดกินอยู่ด้านใต้ใบพืช หนอนขนาดเล็กจะแทะผิวเป็นทางยาว หนอนขนาดใหญ่จะกัดกินขอบใบทำให้ใบขาดแหว่ง โดยกัดกินใบจากล่างไปยอดทำให้ใบเหลืองและแห้ง
    พืชอาหาร ได้แก่ มะพร้าว ปาล์ม ต้นสาคู กล้วย อ้อย และใบล้านใหญ่
    วิธีป้องกันกำจัด
    1. ตัดทางใบมะพร้าวที่ถูกหนอนกินใบมะพร้าวไปเผาทำลายทิ้งนอกแปลง
    2. เก็บเศษซากพืชนำออกไปทำลายทิ้งนอกแปลง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่พันธุ์
    3. หากพบการระบาดรุนแรง ควรใช้สารเคมีป้องกันกำจัดตามคำแนะนำ


    อ่านต่อ
    วันที่ 21 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคใบจุดสนิม (Agal spot) ในทุเรียน
    สาเหตุจากสาหร่ายสีเขียว (Cephaleuros virescense) ลักษณะอาการ พบจุดฟู สีเขียวแกมเหลื องของสาหร่าย ขอบของจุดเหล่ านี้จะไม่เรี ยบ และมีลักษณะเป็นแฉก ๆ เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม จุดจะขยายใหญ่ และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมส้มหรือสีสนิม สาหร่ายที่ พบไม่มี ผลกระทบที่รุนแรงต่อการเจริญของทุเรียน นอกจากจะบดบังเนื้อที่ใบที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงให้น้อยลง การแพร่ระบาดระบาดมากในแปลงทุเรียนที่มีทรงพุ่มแน่นทึบ และสภาพความชื้นสูง
     
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ตัดแต่งกิ่งทุเรียนให้เหมาะสม
    2. หากพบการระบาดมากฉีดพ่นด้วยสารเคมีคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์

    อ่านต่อ
    วันที่ 8 สิงหาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังแมลงวันผลไม้ในพริก
    วันที่ 7 สิงหาคม 2567
แสดง 1 - 20 จาก 184
หน้า
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู