แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่

แสดง 1 - 20 จาก 229
หน้า
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือน “มอดเจาะผลกาแฟ” ทำผลผลิตร่วงเสียหาย กระทบต่อรายได้

    กรมส่งเสริมการเกษตรเตือนเกษตรกรถึงปัญหามอดเจาะผลกาแฟ ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่สามารถสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตกาแฟได้อย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะในช่วงระยะผลกาแฟสุกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์

    ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟรวม 96,928 ไร่ โดยแบ่งเป็นพันธุ์อาราบิกาและโรบัสตา มีผลผลิตรวม 16,575 ตัน โดยมีประเทศคู่ค้าหลัก เช่น กัมพูชา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา

    กรมส่งเสริมการเกษตรได้แนะนำวิธีป้องกันและกำจัดมอดเจาะผลกาแฟ ได้แก่

    1. สำรวจการระบาด ของมอดในแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ
    2. รักษาความสะอาดแปลง โดยเก็บผลกาแฟที่ถูกทำลายออกไปกำจัด
    3. วางกับดักสารล่อ เพื่อดักจับมอดเจาะผลกาแฟ
    4. ควบคุมด้วยชีววิธี เช่น การใช้เชื้อราบิวเวอเรีย
    5. ใช้สารเคมีในกรณีรุนแรง เช่น สารไตรอะโซฟอส

    สำหรับการป้องกันหลังเก็บเกี่ยว แนะนำให้ทำความสะอาดแหล่งตากกาแฟและกระสอบเก็บผลผลิต รวมถึงวางกับดักในพื้นที่เก็บกาแฟเพื่อลดการระบาด

    ทั้งนี้ หากพบการระบาด ควรดำเนินการตามคำแนะนำของกรมส่งเสริมการเกษตร และสามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหรือจังหวัดใกล้บ้าน


    อ่านต่อ
    วันที่ 11 ธันวาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    แก้วมังกรพื้นที่ภาคใต้ระวังการระบาดของโรคพืช

    ช่วงนี้ฝนเริ่มตกชุกในภาคใต้ พื้นที่มีความชื้นสูง เหมาะแก่การแพร่ของเชื้อโรคพืชหลายชนิด เช่น โรคลำต้นจุดสีน้ำตาลและผลเน่า (เชื้อรา Neoscystalidium dimidiatum) อาการเริ่มแรกที่กิ่งและผลเป็นจุดสีเหลือง จากนั้นจะพัฒนาเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีน้ำตาลคล้ายสีสนิมเหล็ก บางครั้งพบแผลสีเหลืองฉ่ำน้ำ เมื่ออาการรุนแรงแผลจะเน่า โดยถ้าเป็นที่กิ่งจะทำให้เนื้อเยื่อตรงแผลหลุดเห็นเป็นรู หรือเว้าแหว่ง สำหรับที่ผล ถ้าอาการรุนแรงจะทำให้กลีบผลไหม้แห้งเป็นสีดำ และผลเน่าในที่สุด

    โรคเน่าเปียก (Wet rot) โรคผลเน่า (Fruit rot) โรคลำต้นจุด (Stem spot) และโรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) บนลำต้น จากการศึกษาจำแนกชนิดสาเหตุโรคของแก้วมังกรพบเชื้อสาเหตุดังนี้ โรคเน่าเปียกพบสาเหตุคือ รา Chaonephora sp. และ Aspergillus niger พบราทั้งสองชนิดนี้เข้าทำลายส่วนของดอกแก้วมังกร โรคผลเน่าพบการเข้าทำลายของราแตกต่างกันไป ได้แก่ Bipolaris cactivora, Colletotrichum capsici, C. gloeosporioides และ Dothiorella sp. เข้าทำลายที่ผลของแก้วมังกรทำให้เกิดโรคผลเน่า และรา C. capsici มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคและความรุนแรงของโรคมากที่สุดเท่ากับ 32.50 และ 10.00 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

    สำหรับการศึกษาโรคลำต้นจุดได้จำแนกชนิดเชื้อสาเหตุคือ รา Dothiorella sp. จากการศึกษาโรคนี้มีความรุนแรงต่อการผลิตแก้วมังกรมากพบการเกิดโรคและความรุนแรงของโรคมากที่สุดในจังหวัดจันทบุรี มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรค และความรุนแรงของโรคเท่ากับ 65.30 และ 82.50 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ส่วนโรคแอนแทรคโนสที่เกิดบนลำต้นสาเหตุเกิดจาก C. gloeosporioides พบเปอร์เซ็นต์การเกิดและความรุนแรงของโรคน้อยกว่าโรคผลจุด จากการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการพิสูจน์โรคผลเน่าที่เกิดจากราสาเหตุทั้ง 4 ชนิด โรคลำต้นจุด และโรคแอนแทรคโนสที่เกิดบนลำต้น พบว่าราสามารถทำให้เกิดโรคที่ผลและลำต้นของแก้วมังกร


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยแป้งในส้มโอ
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกเล็กน้อยบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกส้มโอ ในทุกระยะการเจริญเติบโตรับมือเพลี้ยแป้ง เพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงบนกิ่ง ใบ และขั้วผลของส้ม ถ้าหากมีการระบาดปริมาณมากจะส่งผลกระทบต่อผลผลิต การทำลายบนผลที่ยังไม่แก่จะทำให้ผลแคระแกร็น เนื้อในแข็งหยุดการพัฒนาแล้วร่วงหล่น หากลงทำลายในช่วงที่ผลแก่จัดจะไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพของเนื้อ แต่มีผลกระทบโดยตรงกับราคาผลผลิต ซึ่งจะต่ำมาก เนื่องจากแมลงชนิดนี้สามารถผลิตน้ำหวานซึ่งเป็นอาหารของราดำ ทำให้ผลผลิตมีตำหนิ
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. หากพบการระบาดไม่มาก อยู่เป็นกลุ่มตามส่วนต่าง ๆ ให้ตัดส่วนที่พบไปทำลาย
    2. ถ้าระบาดรุนแรง พ่นด้วยสารฆ่าแมลง คาร์บาริล 85% WP อัตรา 45 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 10% SL อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำมันเครื่องผูกรอบโคนต้น ป้องกันมด และเพลี้ยแป้งไต่ขึ้นมาบนต้น

    อ่านต่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคราดำในมะม่วง
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็น เตือนผู้ปลูกมะม่วงในระยะออกดอกรับมือโรคราดำ (เชื้อรา Capnodium sp., Meliola sp.) พบคราบราสีดำติดตามส่วนของต้น ใบ ยอด ช่อดอก หรือผล ทำให้ช่อดอกบานช้า หรือบานผิดปกติ หรือเหี่ยว และหลุดร่วงลงได้ บางครั้งทำให้ไม่ติดผล ถ้าเป็นที่ผลอาจทำให้ผลเหี่ยวและหลุดร่วง
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. พ่นน้ำเปล่าล้างสารเหนียวที่แมลงปากดูดขับถ่ายไว้ และคราบราดำ เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค
    2. เนื่องจากเชื้อราเจริญบนสารเหนียวที่แมลงปากดูด เช่น เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย และเพลี้ยแป้งขับถ่ายไว้ จึงควรพ่นสารกำจัดแมลงดังนี้ เพลี้ยจักจั่น ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล 85% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 10% SL อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เพลี้ยหอย ได้แก่ มาลาไทออน 83% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และเพลี้ยแป้ง ได้แก่ มาลาไทออน 83% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 2.5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

    อ่านต่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคดอกเน่าในดาวเรือง


    สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกกระจาย ต่อช่วงต้นฤดูหนาว ยังมีความชื้นในดินสูง เตือนผู้ปลูกดาวเรืองในระยะติดดอกรับมือโรคดอกเน่า (เชื้อรา Colletotrichum sp.) เริ่มแรกกลีบดอกมีลักษณะฉ่ำน้ำ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลจากปลายกลีบดอกไปหาโคนดอก แล้วเน่าลุกลามเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งดอก ดอกเสียคุณภาพ ถ้าเชื้อเข้าทำลายในระยะดอกตูม จะทำให้ดอกไม่บาน หากโรครุนแรงจะลุกลามสู่ต้นทำให้ต้นเน่าและยืนต้นตาย


    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. หมั่นตรวจแปลงปลูก โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกชุก อากาศมีความชื้นสูง เมื่อพบดอกเริ่มแสดงอาการของโรค ตัดดอกที่เป็นโรคออกไปทำลาย หรือฝังดินนอกแปลงปลูก ไม่ทิ้งไว้ในบริเวณ หรือข้างแปลง เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค หากโรคยังคงระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอโรทาโลนิล 50% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 5-7 วัน
    2. กำจัดวัชพืชในแปลงปลูกเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก เป็นการลดความชื้น ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการระบาดของโรค


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง

    ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเขี่ยเนื้อเยื่อ และดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืชบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก ช่อดอก การทำลายในระยะติดดอกจะทำให้ดอกร่วงไม่ติดผล หรือทำให้ติดผลน้อย ส่วนอาการที่ปรากฏบนยอดอ่อนจะทำให้ใบที่แตกใหม่ แคระแกร็น ขอบใบและปลายใบไหม้ ใบอาจร่วงตั้งแต่ยังเล็ก ๆ สำหรับใบที่ขนาดโตแล้ว เพลี้ยไฟมักลงทำลายบริเวณใบอ่อนโดยเฉพาะหลังใบทำให้ใบม้วนงอ และปลายใบไหม้ ถ้าเป็นการทำลายที่ยอดจะรุนแรง ทำให้ยอดแห้งไม่แทงช่อใบ หรือช่อดอก

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังไรขาวพริก
    สภาพอากาศในช่วงนี้ อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกพริกในระยะออกดอกติดผล เจริญเติบโตทางลำต้น รับมือไรขาวพริกตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ยอดและดอก ทำให้ใบและยอดหงิกงอ ขอบใบม้วนงอลงด้านล่าง ทำให้ใบมีลักษณะเรียวแหลม ก้านใบยาว เปราะหักง่าย อาการขั้นรุนแรงส่วนยอดจะแตกเป็นฝอย ถ้าทำลายดอกกลีบดอกจะบิดแคระแกร็น ชะงักการเกิดดอก หากระบาดรุนแรง ต้นพริกจะแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต มักพบระบาดในช่วงที่มีอากาศชื้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน
     
     
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. สุ่มสำรวจพริกทุกสัปดาห์ หากพบอาการใบหงิกม้วนงอลงที่เกิดจากการทำลายของไรขาวพริก ให้ทำการป้องกันกำจัด
    2. เมื่อพบการระบาดใช้สารฆ่าแมลง-ไร ที่มีประสิทธิภาพ เช่น อะมิทราซ 20% EC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิจร หรือ ไพริดาเบน 20% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ กำมะถัน 80% WP อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นซ้ำตามการระบาด

    อ่านต่อ
    วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยจักจั่นฝ้ายในทานตะวัน
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นลง และมีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกทานตะวัน ในระยะ ต้นกล้า รับมือเพลี้ยจักจั่นฝ้าย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ทำลายพืชโดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบทานตะวัน ขณะเดียวกันแมลงจะปล่อยสารพิษเข้าไปในใบพืช ทำให้ขอบใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้และงอลง ซึ่งอาการดังกล่าวเรียกว่า hopper burn ถ้ามีการระบาดรุนแรง ใบทานตะวันจะเหี่ยวแห้งและร่วงไปในที่สุด ถ้าลงทำลายในระยะต้นกล้า ทำให้ทานตะวันชะงักการเจริญเติบโต ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโต
     
     
    แนวทางป้องกันกำจัด
    หมั่นสุ่มสำรวจทานตะวันทุกสัปดาห์ หากพบตัวอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝ้ายมากกว่า 2 ตัวต่อใบ ในระยะทานตะวันอายุไม่เกิน 45 วัน ให้ทำการป้องกันกำจัดโดยการ พ่นสารฆ่าแมลง อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ บูโพรเฟซิน 25% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

    อ่านต่อ
    วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    อุตุนิยมวิทยา
    พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 6-12 พ.ย. 2567

    สภาพอากาศทั่วไป
    ในช่วงวันที่ 6-11 พ.ย. 2567 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้มีฝนเล็กน้อยในบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียสโดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนวันที่ 12 พ.ย. มวลอากาศเย็นจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีอุณหภูมิลดลงเพิ่มอีก 1-2 องศาเซลเซียส

    คำแนะนำสำหรับเกษตรกร
    ภาคเหนือ: ควรเตรียมป้องกันพืชจากลมแรง และระวังการระบาดของศัตรูพืชเนื่องจากอากาศเย็นชื้น
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เกษตรกรควรเพิ่มการป้องกันพืชจากความเสียหายที่อาจเกิดจากฝนเล็กน้อยในช่วงแรกของสัปดาห์ และเตรียมพร้อมสำหรับอุณหภูมิลดต่ำ
    ภาคกลาง: ระวังศัตรูพืชที่จะระบาดในช่วงอากาศเย็น อาจใช้วิธีการคลุมพืชเพื่อรักษาอุณหภูมิ
    ภาคตะวันออก: เตรียมจัดการน้ำให้เพียงพอในพื้นที่เกษตร เพื่อป้องกันการระบาดของโรคเชื้อราในพืชสวนจากความชื้น
    ภาคใต้: มีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ควรระบายน้ำออกจากแปลงเกษตรเพื่อป้องกันน้ำขัง

    สรุป เกษตรกรในประเทศไทยช่วงนี้ควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งเรื่องอุณหภูมิและความชื้นในแต่ละภาค เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรคงคุณภาพและป้องกันการเสียหายจากสภาพอากาศ

     

     

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนภัยชาวสวนปาล์มระวังหนอนปลอกเล็กระบาด
    พบพื้นที่ ระบาดหนัก 5 จังหวัด (จ.ชลบุ รี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี) จำนวน 679 ไร่ โดยลักษณะการทำลายของหนอนปลอกเล็กจะแทะผิวใบ กินตรงส่วนผิวใบเอามาทำปลอกหุ้มตัว ทำให้ใบแห้งเป็นสีน้ำตาล และกัดทะลุใบเป็นรูและขาด แหว่ง ถ้ารุนแรงจะเห็นทางใบทั้งต้นเป็นสีน้ำตาลแห้งคล้ายใบไหม้ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลง
    แนวทางการป้องกันกำจัด 
    หากพบการระบาดเริ่มทำลายเล็กน้อย ให้ตัดทางใบที่หนอนกำลังกินมาเผาทำลาย แต่หากอยู่ในพื้นที่การระบาดของด้วงงวงหรือด้วงสาคูไม่ควรตัดทางใบ เพราะรอยแผลจะเป็นช่องทางเข้าทำลายของด้วงงวง ให้พ่นเชื้อบีที (Bacillus thuringiensis) ทันที โดยใช้เชื้อบีที อัตรา 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ 5 มิลลิลิตร พ่นให้ทั่วบริเวณใต้ใบและต้องพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงยูวีที่จะทำลายเชื้อบีที โดยใช้เครื่องพ่นที่ปรับความดันได้ไม่น้อยกว่า 30 บาร์ และพ่นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ห่างกัน 5-7 วัน
    กรณีพบการระบาดรุนแรง ใช้วิธีพ่นสารทางใบ โดยเลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้ ฟลูเบนไดเอไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร สปินโนแสด 12% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร

    อ่านต่อ
    วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคราน้ำค้างในข้าวโพด

    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกข้าวโพด (ข้าวโพดฝักสด, ข้าวโพดหวาน, ข้าวโพดเทียน, ข้าวโพดข้าวเหนียว) ในระยะเริ่มปลูกถึงอายุประมาณ 30 วัน รับมือโรคราน้ำค้าง (เชื้อรา Peronosclerospora sorghi)

    โรคเกิดได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก โดยพบจุดเล็ก ๆ สีเขียวฉ่ำน้ำบนใบอ่อน ต่อมาใบข้าวโพดมีสีเหลืองซีดโดยเฉพาะบริเวณยอด หรือใบลายเป็นทางสีเขียวอ่อนสลับเขียวแก่ ในเวลาเช้าที่มีอากาศค่อนข้างเย็นและความชื้นสูง มักพบส่วนของเชื้อรา ลักษณะเป็นผงสีขาวจำนวนมากด้านใต้ใบ บางครั้งพบยอดข้าวโพดแตกเป็นพุ่ม ต้นแคระแกร็น ข้อถี่ ไม่มีฝัก หรือมีฝักขนาดเล็ก ก้านฝักมีความยาวมาก หรือมีจำนวนฝักมากกว่าปกติ แต่จะไม่สมบูรณ์ เช่น มีเมล็ดจำนวนน้อย หรือไม่มีเมล็ดเลย
    * ข้าวโพดในระยะเริ่มปลูกถึงอายุประมาณ 30 วัน จะอ่อนแอต่อโรคนี้มาก

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ควรใช้พันธุ์ต้านทาน และคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ เมทาแลกซิล-เอ็ม 35% ES อัตรา 3.5 มิลลิลิตรต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 30 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม
    2. ในแหล่งที่เคยมีการระบาดของโรคหากพบว่ามีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเกิดโรค คือ อุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง เมื่อข้าวโพดอายุ 5-7 วัน ควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 20-30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30 - 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน จำนวน 3-4 ครั้ง
    3. ถอนต้นที่แสดงอาการของโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูก
    4. พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน
    * เชื้อสาเหตุโรคสามารถเข้าทำลายได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก ซึ่งการพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช หลังจากข้าวโพด อายุ 20 วันขึ้นไป จะไม่สามารถป้องกันกำจัดโรค


    อ่านต่อ
    วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ความผิดปกติของพืช
    ระวังอาการเนื้อแก้วและยางไหลในมังคุด

    สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้) เตือนผู้ปลูกมังคุดในระยะติดผล-เก็บเกี่ยว รับมืออาการเนื้อแก้วและยางไหล เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของผล เมื่อได้รับน้ำมากเกินไป มังคุดเกิดอาการเนื้อเป็นสีใส มีลักษณะฉ่ำน้ำอยู่ภายใน หรือพบน้ำยางสีเหลืองไหลอยู่ภายในผล และบางส่วนไหลออกมาภายนอกเห็นเป็นจุด ๆ บนเปลือก ถ้าอาการรุนแรงผิวเปลือกจะมีรอยร้าว

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอตามความต้องการน้ำของมังคุด โดยให้น้ำทุก 3 วัน ในกรณีที่ฝนไม่ตก แต่ถ้าฝนตกหนักควรระบายน้ำออกจากแปลงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้มังคุดได้รับน้ำมากเกินไป
    2. บำรุง รักษาต้นมังคุดให้มีความสมบูรณ์


    อ่านต่อ
    วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคแอนแทรคโนส หรือโรคใบไหม้สีน้ำตาล หรือโรคกิ่งแห้ง หรือโรคผลแห้งในกาแฟโรบัสต้า

    สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะภาคใต้) เตือนผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า ในระยะเก็บเกี่ยวผลสุก รับมือโรคแอนแทรคโนส หรือโรคใบไหม้สีน้ำตาล หรือโรคกิ่งแห้ง หรือโรคผลแห้ง (เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides, Colletotrichum coffeanum)
    อาการที่ใบ: พบได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล เมื่ออาการรุนแรงแผลจะขยายขนาดเป็นแผลใหญ่ ทำให้ใบแห้งไหม้ทั้งใบ
    อาการที่กิ่ง: เกิดอาการไหม้บนกิ่งเขียว ทำให้ใบเหลืองและร่วง กิ่งเหี่ยวและแห้งทั้งกิ่ง
    อาการที่ผล: พบได้ทั้งผลอ่อน และผลแก่ เริ่มแรกผลเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจุดจะขยายรวมกันเป็นแผลรูปร่างไม่แน่นอน และเนื้อเยื่อของแผลยุบตัว ผลที่เป็นโรคจะหยุดการเจริญ เปลี่ยนเป็นสีดำ แต่ผลยังคงติดอยู่บนกิ่งกาแฟ

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. รักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสม เพื่อรักษาระดับความชื้น เป็นการป้องกันการเกิดโรค
    2. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เก็บผล ตัดแต่งกิ่ง ใบ และดอก ที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช แมนโคเซบ 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เบโนมิล 50% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ควรหยุดพ่นสารเมื่อผลเริ่มแก่จนกระทั่งเก็บเกี่ยว
    3. ในระยะติดผลหมั่นสำรวจ และป้องกันกำจัดมอดเจาะผลกาแฟอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมอดเจาะผลจะทำให้เกิดแผล เป็นช่องทางให้เชื้อราเข้าทำลายผลได้มากขึ้น
    5. หลังเก็บเกี่ยวผลกาแฟควรตัดแต่งกิ่งและให้ปุ๋ยบำรุงต้น เพื่อให้ต้นกาแฟมีความแข็งแรง


    อ่านต่อ
    วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังการเข้าทำลายของหนอนหน้าแมว

    เตือนภัยการเกษตร เกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมันในทุกระยะการเจริญเติบโต สภาพอากาศช่วงนี้มีอากาศเย็นในตอนเช้า และมีฝนตกบางพื้นที่ ให้ระวังการเข้าทำลายของหนอนหน้าแมว 


    อ่านต่อ
    วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    เตือนระวังโรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง

    โรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง อาการเริ่มแรกพบจุดสีเหลืองหรือน้ำตาลขนาดเล็ก และขยายใหญ่ขึ้นเป็นปื้นสีเหลือง โดยจะพบที่ใบล่าง ใบแก่หรือโคนเถา ในเวลาเช้ามืดจะเห็นเส้นใยเชื้อราสีขาวหรือเทาที่ใต้ใบ ขอบใบจะม้วนและร่วง ปื้นสีเหลืองนั้นต่อไปจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
    *ในเมล่อน แคนตาลูป และแตงโม จะทำให้ความหวานลดลง

    วิธีการดูแลรักษา
    1. ก่อนปลูกควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียล นาน 20-30 นาที หรือคลุกเมล็ดด้วยสารเมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7 กรัม ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม
    2. ไม่ปลูกพืชแน่นเกินไป เพราะจะทำให้มีความชื่นสูง และหมั่นกำจัดวัชพืช เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศในแปลงได้ดี และทำลายแหล่งอาศัยของด้วงเต่าแดง
    3. กำจัดด้วงเต่าแดง ซึ่งอาจเป็นแมลงพาหนะโรค โดยการจับทำลาย หรือพ่นด้วยสารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด
    4. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบโรคเริ่มระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช
    5. แปลงที่เป็นโรค ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำในตอนเย็น เพื่อลดความชื้นในแปลงและหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้เก็บซากพืชไปทำลายนอกแปลงปลูก ไม่ปลูกพืชตระกูลแตงซ้ำและควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน


    อ่านต่อ
    วันที่ 31 ตุลาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคแอนแทรคโนสในทุเรียน

    แนวทางป้องกันกำจัดโรค
    - ดูแลต้นทุเรียนให้ มีความแข็งแรงโดยการให้น้ำ และธาตุอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอโดยเฉพาะในช่วงติดผลของทุเรียน
    - ในแหล่งปลูกที่พบโรคเสมอในช่วงทุเรียนแตกใบอ่อน ควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรค เช่น เบนโนมิล คาร์เบนดาซิม หรือคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์

    ** สามารถฟังคลิปเสียงบรรยาย ได้ที่ ระวังโรคแอนแทรคโนสในทุเรียนและแนวทางป้องกันกำจัด


    อ่านต่อ
    วันที่ 30 ตุลาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ทรัพยากรน้ำ
    อัปเดตสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 12.00 น.
     
    ◾ ปริมาณน้ำไหลผ่าน C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 1,664 ลบ.ม./วินาที -60 ลบ.ม./วินาที จาก 29 ต.ค.67 เวลา 18.00 น. (1,724 ลบ.ม./วินาที)
    ◾ ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท 1,551 ลบ.ม./วินาที -49 ลบ.ม/วินาที จาก 29 ต.ค.67 เวลา 18.00 น. (1,600 ลบ.ม./วินาที)
    จะส่งผลกระทบในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองโผงเผง คลองบางบาล แม่น้ำน้อย และพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณ
    ▫️ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง
    ▫️ คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
    ▫️ แม่น้ำน้อย ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ และ ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

    อ่านต่อ
    วันที่ 30 ตุลาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ทรัพยากรน้ำ
    ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 2-12 พฤศจิกายน 2567
    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 2-12 พฤศจิกายน 2567
    เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำมีระดับเพิ่มสูงขึ้น จึงมีโอกาสเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวในจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม
     
     

    อ่านต่อ
    วันที่ 30 ตุลาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง

        แนวทางป้องกันกำจัด
    • ถ้าพบไม่มากให้ตัดส่วนที่แมลงระบาดไปเผาทิ้ง เพราะเพลี้ยไฟมักอยู่กันเป็นกลุ่มบริเวณส่วนยอดอ่อนของพืช
    • การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ควรพ่นระยะติดดอกอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ระยะเริ่มแทงช่อดอกและระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร) ถ้าหากพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรงให้พ่นซ้ำในระยะก่อนดอกบาน
    • สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่แนะนำ คือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะบาเมกติน 1.8% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซแอนทรานิลิโพรล 10% โอดี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
      * ในขณะที่ดอกบานควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสรได้

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 28 ตุลาคม 2567
แสดง 1 - 20 จาก 229
หน้า
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู