แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- เตือน “มอดเจาะผลกาแฟ” ทำผลผลิตร่วงเสียหาย กระทบต่อรายได้
กรมส่งเสริมการเกษตรเตือนเกษตรกรถึงปัญหามอดเจาะผลกาแฟ ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่สามารถสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตกาแฟได้อย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะในช่วงระยะผลกาแฟสุกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟรวม 96,928 ไร่ โดยแบ่งเป็นพันธุ์อาราบิกาและโรบัสตา มีผลผลิตรวม 16,575 ตัน โดยมีประเทศคู่ค้าหลัก เช่น กัมพูชา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา
กรมส่งเสริมการเกษตรได้แนะนำวิธีป้องกันและกำจัดมอดเจาะผลกาแฟ ได้แก่
- สำรวจการระบาด ของมอดในแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ
- รักษาความสะอาดแปลง โดยเก็บผลกาแฟที่ถูกทำลายออกไปกำจัด
- วางกับดักสารล่อ เพื่อดักจับมอดเจาะผลกาแฟ
- ควบคุมด้วยชีววิธี เช่น การใช้เชื้อราบิวเวอเรีย
- ใช้สารเคมีในกรณีรุนแรง เช่น สารไตรอะโซฟอส
สำหรับการป้องกันหลังเก็บเกี่ยว แนะนำให้ทำความสะอาดแหล่งตากกาแฟและกระสอบเก็บผลผลิต รวมถึงวางกับดักในพื้นที่เก็บกาแฟเพื่อลดการระบาด
ทั้งนี้ หากพบการระบาด ควรดำเนินการตามคำแนะนำของกรมส่งเสริมการเกษตร และสามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหรือจังหวัดใกล้บ้าน
อ่านต่อ - แก้วมังกรพื้นที่ภาคใต้ระวังการระบาดของโรคพืช
ช่วงนี้ฝนเริ่มตกชุกในภาคใต้ พื้นที่มีความชื้นสูง เหมาะแก่การแพร่ของเชื้อโรคพืชหลายชนิด เช่น โรคลำต้นจุดสีน้ำตาลและผลเน่า (เชื้อรา Neoscystalidium dimidiatum) อาการเริ่มแรกที่กิ่งและผลเป็นจุดสีเหลือง จากนั้นจะพัฒนาเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีน้ำตาลคล้ายสีสนิมเหล็ก บางครั้งพบแผลสีเหลืองฉ่ำน้ำ เมื่ออาการรุนแรงแผลจะเน่า โดยถ้าเป็นที่กิ่งจะทำให้เนื้อเยื่อตรงแผลหลุดเห็นเป็นรู หรือเว้าแหว่ง สำหรับที่ผล ถ้าอาการรุนแรงจะทำให้กลีบผลไหม้แห้งเป็นสีดำ และผลเน่าในที่สุด
โรคเน่าเปียก (Wet rot) โรคผลเน่า (Fruit rot) โรคลำต้นจุด (Stem spot) และโรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) บนลำต้น จากการศึกษาจำแนกชนิดสาเหตุโรคของแก้วมังกรพบเชื้อสาเหตุดังนี้ โรคเน่าเปียกพบสาเหตุคือ รา Chaonephora sp. และ Aspergillus niger พบราทั้งสองชนิดนี้เข้าทำลายส่วนของดอกแก้วมังกร โรคผลเน่าพบการเข้าทำลายของราแตกต่างกันไป ได้แก่ Bipolaris cactivora, Colletotrichum capsici, C. gloeosporioides และ Dothiorella sp. เข้าทำลายที่ผลของแก้วมังกรทำให้เกิดโรคผลเน่า และรา C. capsici มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคและความรุนแรงของโรคมากที่สุดเท่ากับ 32.50 และ 10.00 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
สำหรับการศึกษาโรคลำต้นจุดได้จำแนกชนิดเชื้อสาเหตุคือ รา Dothiorella sp. จากการศึกษาโรคนี้มีความรุนแรงต่อการผลิตแก้วมังกรมากพบการเกิดโรคและความรุนแรงของโรคมากที่สุดในจังหวัดจันทบุรี มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรค และความรุนแรงของโรคเท่ากับ 65.30 และ 82.50 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ส่วนโรคแอนแทรคโนสที่เกิดบนลำต้นสาเหตุเกิดจาก C. gloeosporioides พบเปอร์เซ็นต์การเกิดและความรุนแรงของโรคน้อยกว่าโรคผลจุด จากการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการพิสูจน์โรคผลเน่าที่เกิดจากราสาเหตุทั้ง 4 ชนิด โรคลำต้นจุด และโรคแอนแทรคโนสที่เกิดบนลำต้น พบว่าราสามารถทำให้เกิดโรคที่ผลและลำต้นของแก้วมังกร
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยแป้งในส้มโอสภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกเล็กน้อยบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกส้มโอ ในทุกระยะการเจริญเติบโตรับมือเพลี้ยแป้ง เพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงบนกิ่ง ใบ และขั้วผลของส้ม ถ้าหากมีการระบาดปริมาณมากจะส่งผลกระทบต่อผลผลิต การทำลายบนผลที่ยังไม่แก่จะทำให้ผลแคระแกร็น เนื้อในแข็งหยุดการพัฒนาแล้วร่วงหล่น หากลงทำลายในช่วงที่ผลแก่จัดจะไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพของเนื้อ แต่มีผลกระทบโดยตรงกับราคาผลผลิต ซึ่งจะต่ำมาก เนื่องจากแมลงชนิดนี้สามารถผลิตน้ำหวานซึ่งเป็นอาหารของราดำ ทำให้ผลผลิตมีตำหนิแนวทางป้องกันกำจัด
1. หากพบการระบาดไม่มาก อยู่เป็นกลุ่มตามส่วนต่าง ๆ ให้ตัดส่วนที่พบไปทำลาย
2. ถ้าระบาดรุนแรง พ่นด้วยสารฆ่าแมลง คาร์บาริล 85% WP อัตรา 45 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 10% SL อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำมันเครื่องผูกรอบโคนต้น ป้องกันมด และเพลี้ยแป้งไต่ขึ้นมาบนต้น
อ่านต่อ - ระวังโรคราดำในมะม่วงสภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็น เตือนผู้ปลูกมะม่วงในระยะออกดอกรับมือโรคราดำ (เชื้อรา Capnodium sp., Meliola sp.) พบคราบราสีดำติดตามส่วนของต้น ใบ ยอด ช่อดอก หรือผล ทำให้ช่อดอกบานช้า หรือบานผิดปกติ หรือเหี่ยว และหลุดร่วงลงได้ บางครั้งทำให้ไม่ติดผล ถ้าเป็นที่ผลอาจทำให้ผลเหี่ยวและหลุดร่วงแนวทางป้องกันกำจัด
1. พ่นน้ำเปล่าล้างสารเหนียวที่แมลงปากดูดขับถ่ายไว้ และคราบราดำ เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค
2. เนื่องจากเชื้อราเจริญบนสารเหนียวที่แมลงปากดูด เช่น เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย และเพลี้ยแป้งขับถ่ายไว้ จึงควรพ่นสารกำจัดแมลงดังนี้ เพลี้ยจักจั่น ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล 85% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 10% SL อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เพลี้ยหอย ได้แก่ มาลาไทออน 83% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และเพลี้ยแป้ง ได้แก่ มาลาไทออน 83% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 2.5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังโรคดอกเน่าในดาวเรือง
สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกกระจาย ต่อช่วงต้นฤดูหนาว ยังมีความชื้นในดินสูง เตือนผู้ปลูกดาวเรืองในระยะติดดอกรับมือโรคดอกเน่า (เชื้อรา Colletotrichum sp.) เริ่มแรกกลีบดอกมีลักษณะฉ่ำน้ำ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลจากปลายกลีบดอกไปหาโคนดอก แล้วเน่าลุกลามเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งดอก ดอกเสียคุณภาพ ถ้าเชื้อเข้าทำลายในระยะดอกตูม จะทำให้ดอกไม่บาน หากโรครุนแรงจะลุกลามสู่ต้นทำให้ต้นเน่าและยืนต้นตาย
แนวทางป้องกันกำจัด
1. หมั่นตรวจแปลงปลูก โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกชุก อากาศมีความชื้นสูง เมื่อพบดอกเริ่มแสดงอาการของโรค ตัดดอกที่เป็นโรคออกไปทำลาย หรือฝังดินนอกแปลงปลูก ไม่ทิ้งไว้ในบริเวณ หรือข้างแปลง เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค หากโรคยังคงระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอโรทาโลนิล 50% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 5-7 วัน
2. กำจัดวัชพืชในแปลงปลูกเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก เป็นการลดความชื้น ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการระบาดของโรค
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเขี่ยเนื้อเยื่อ และดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืชบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก ช่อดอก การทำลายในระยะติดดอกจะทำให้ดอกร่วงไม่ติดผล หรือทำให้ติดผลน้อย ส่วนอาการที่ปรากฏบนยอดอ่อนจะทำให้ใบที่แตกใหม่ แคระแกร็น ขอบใบและปลายใบไหม้ ใบอาจร่วงตั้งแต่ยังเล็ก ๆ สำหรับใบที่ขนาดโตแล้ว เพลี้ยไฟมักลงทำลายบริเวณใบอ่อนโดยเฉพาะหลังใบทำให้ใบม้วนงอ และปลายใบไหม้ ถ้าเป็นการทำลายที่ยอดจะรุนแรง ทำให้ยอดแห้งไม่แทงช่อใบ หรือช่อดอก
อ่านต่อ - ระวังไรขาวพริกสภาพอากาศในช่วงนี้ อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกพริกในระยะออกดอกติดผล เจริญเติบโตทางลำต้น รับมือไรขาวพริกตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ยอดและดอก ทำให้ใบและยอดหงิกงอ ขอบใบม้วนงอลงด้านล่าง ทำให้ใบมีลักษณะเรียวแหลม ก้านใบยาว เปราะหักง่าย อาการขั้นรุนแรงส่วนยอดจะแตกเป็นฝอย ถ้าทำลายดอกกลีบดอกจะบิดแคระแกร็น ชะงักการเกิดดอก หากระบาดรุนแรง ต้นพริกจะแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต มักพบระบาดในช่วงที่มีอากาศชื้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนแนวทางป้องกันกำจัด
1. สุ่มสำรวจพริกทุกสัปดาห์ หากพบอาการใบหงิกม้วนงอลงที่เกิดจากการทำลายของไรขาวพริก ให้ทำการป้องกันกำจัด
2. เมื่อพบการระบาดใช้สารฆ่าแมลง-ไร ที่มีประสิทธิภาพ เช่น อะมิทราซ 20% EC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิจร หรือ ไพริดาเบน 20% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ กำมะถัน 80% WP อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นซ้ำตามการระบาด
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยจักจั่นฝ้ายในทานตะวันสภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นลง และมีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกทานตะวัน ในระยะ ต้นกล้า รับมือเพลี้ยจักจั่นฝ้าย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ทำลายพืชโดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบทานตะวัน ขณะเดียวกันแมลงจะปล่อยสารพิษเข้าไปในใบพืช ทำให้ขอบใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้และงอลง ซึ่งอาการดังกล่าวเรียกว่า hopper burn ถ้ามีการระบาดรุนแรง ใบทานตะวันจะเหี่ยวแห้งและร่วงไปในที่สุด ถ้าลงทำลายในระยะต้นกล้า ทำให้ทานตะวันชะงักการเจริญเติบโต ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโตแนวทางป้องกันกำจัดหมั่นสุ่มสำรวจทานตะวันทุกสัปดาห์ หากพบตัวอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝ้ายมากกว่า 2 ตัวต่อใบ ในระยะทานตะวันอายุไม่เกิน 45 วัน ให้ทำการป้องกันกำจัดโดยการ พ่นสารฆ่าแมลง อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ บูโพรเฟซิน 25% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 6-12 พ.ย. 2567
สภาพอากาศทั่วไป
ในช่วงวันที่ 6-11 พ.ย. 2567 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้มีฝนเล็กน้อยในบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียสโดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนวันที่ 12 พ.ย. มวลอากาศเย็นจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีอุณหภูมิลดลงเพิ่มอีก 1-2 องศาเซลเซียสคำแนะนำสำหรับเกษตรกร
ภาคเหนือ: ควรเตรียมป้องกันพืชจากลมแรง และระวังการระบาดของศัตรูพืชเนื่องจากอากาศเย็นชื้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เกษตรกรควรเพิ่มการป้องกันพืชจากความเสียหายที่อาจเกิดจากฝนเล็กน้อยในช่วงแรกของสัปดาห์ และเตรียมพร้อมสำหรับอุณหภูมิลดต่ำ
ภาคกลาง: ระวังศัตรูพืชที่จะระบาดในช่วงอากาศเย็น อาจใช้วิธีการคลุมพืชเพื่อรักษาอุณหภูมิ
ภาคตะวันออก: เตรียมจัดการน้ำให้เพียงพอในพื้นที่เกษตร เพื่อป้องกันการระบาดของโรคเชื้อราในพืชสวนจากความชื้น
ภาคใต้: มีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ควรระบายน้ำออกจากแปลงเกษตรเพื่อป้องกันน้ำขังสรุป เกษตรกรในประเทศไทยช่วงนี้ควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งเรื่องอุณหภูมิและความชื้นในแต่ละภาค เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรคงคุณภาพและป้องกันการเสียหายจากสภาพอากาศ
อ่านต่อ - เตือนภัยชาวสวนปาล์มระวังหนอนปลอกเล็กระบาดพบพื้นที่ ระบาดหนัก 5 จังหวัด (จ.ชลบุ รี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี) จำนวน 679 ไร่ โดยลักษณะการทำลายของหนอนปลอกเล็กจะแทะผิวใบ กินตรงส่วนผิวใบเอามาทำปลอกหุ้มตัว ทำให้ใบแห้งเป็นสีน้ำตาล และกัดทะลุใบเป็นรูและขาด แหว่ง ถ้ารุนแรงจะเห็นทางใบทั้งต้นเป็นสีน้ำตาลแห้งคล้ายใบไหม้ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลงแนวทางการป้องกันกำจัด
หากพบการระบาดเริ่มทำลายเล็กน้อย ให้ตัดทางใบที่หนอนกำลังกินมาเผาทำลาย แต่หากอยู่ในพื้นที่การระบาดของด้วงงวงหรือด้วงสาคูไม่ควรตัดทางใบ เพราะรอยแผลจะเป็นช่องทางเข้าทำลายของด้วงงวง ให้พ่นเชื้อบีที (Bacillus thuringiensis) ทันที โดยใช้เชื้อบีที อัตรา 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ 5 มิลลิลิตร พ่นให้ทั่วบริเวณใต้ใบและต้องพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงยูวีที่จะทำลายเชื้อบีที โดยใช้เครื่องพ่นที่ปรับความดันได้ไม่น้อยกว่า 30 บาร์ และพ่นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ห่างกัน 5-7 วันกรณีพบการระบาดรุนแรง ใช้วิธีพ่นสารทางใบ โดยเลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้ ฟลูเบนไดเอไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร สปินโนแสด 12% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังโรคราน้ำค้างในข้าวโพด
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกข้าวโพด (ข้าวโพดฝักสด, ข้าวโพดหวาน, ข้าวโพดเทียน, ข้าวโพดข้าวเหนียว) ในระยะเริ่มปลูกถึงอายุประมาณ 30 วัน รับมือโรคราน้ำค้าง (เชื้อรา Peronosclerospora sorghi)
โรคเกิดได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก โดยพบจุดเล็ก ๆ สีเขียวฉ่ำน้ำบนใบอ่อน ต่อมาใบข้าวโพดมีสีเหลืองซีดโดยเฉพาะบริเวณยอด หรือใบลายเป็นทางสีเขียวอ่อนสลับเขียวแก่ ในเวลาเช้าที่มีอากาศค่อนข้างเย็นและความชื้นสูง มักพบส่วนของเชื้อรา ลักษณะเป็นผงสีขาวจำนวนมากด้านใต้ใบ บางครั้งพบยอดข้าวโพดแตกเป็นพุ่ม ต้นแคระแกร็น ข้อถี่ ไม่มีฝัก หรือมีฝักขนาดเล็ก ก้านฝักมีความยาวมาก หรือมีจำนวนฝักมากกว่าปกติ แต่จะไม่สมบูรณ์ เช่น มีเมล็ดจำนวนน้อย หรือไม่มีเมล็ดเลย
* ข้าวโพดในระยะเริ่มปลูกถึงอายุประมาณ 30 วัน จะอ่อนแอต่อโรคนี้มากแนวทางป้องกันกำจัด
1. ควรใช้พันธุ์ต้านทาน และคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ เมทาแลกซิล-เอ็ม 35% ES อัตรา 3.5 มิลลิลิตรต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 30 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม
2. ในแหล่งที่เคยมีการระบาดของโรคหากพบว่ามีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเกิดโรค คือ อุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง เมื่อข้าวโพดอายุ 5-7 วัน ควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 20-30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30 - 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน จำนวน 3-4 ครั้ง
3. ถอนต้นที่แสดงอาการของโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูก
4. พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน
* เชื้อสาเหตุโรคสามารถเข้าทำลายได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก ซึ่งการพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช หลังจากข้าวโพด อายุ 20 วันขึ้นไป จะไม่สามารถป้องกันกำจัดโรค
อ่านต่อ - ระวังอาการเนื้อแก้วและยางไหลในมังคุด
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้) เตือนผู้ปลูกมังคุดในระยะติดผล-เก็บเกี่ยว รับมืออาการเนื้อแก้วและยางไหล เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของผล เมื่อได้รับน้ำมากเกินไป มังคุดเกิดอาการเนื้อเป็นสีใส มีลักษณะฉ่ำน้ำอยู่ภายใน หรือพบน้ำยางสีเหลืองไหลอยู่ภายในผล และบางส่วนไหลออกมาภายนอกเห็นเป็นจุด ๆ บนเปลือก ถ้าอาการรุนแรงผิวเปลือกจะมีรอยร้าว
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอตามความต้องการน้ำของมังคุด โดยให้น้ำทุก 3 วัน ในกรณีที่ฝนไม่ตก แต่ถ้าฝนตกหนักควรระบายน้ำออกจากแปลงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้มังคุดได้รับน้ำมากเกินไป
2. บำรุง รักษาต้นมังคุดให้มีความสมบูรณ์
อ่านต่อ - ระวังโรคแอนแทรคโนส หรือโรคใบไหม้สีน้ำตาล หรือโรคกิ่งแห้ง หรือโรคผลแห้งในกาแฟโรบัสต้า
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะภาคใต้) เตือนผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า ในระยะเก็บเกี่ยวผลสุก รับมือโรคแอนแทรคโนส หรือโรคใบไหม้สีน้ำตาล หรือโรคกิ่งแห้ง หรือโรคผลแห้ง (เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides, Colletotrichum coffeanum)
อาการที่ใบ: พบได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล เมื่ออาการรุนแรงแผลจะขยายขนาดเป็นแผลใหญ่ ทำให้ใบแห้งไหม้ทั้งใบ
อาการที่กิ่ง: เกิดอาการไหม้บนกิ่งเขียว ทำให้ใบเหลืองและร่วง กิ่งเหี่ยวและแห้งทั้งกิ่ง
อาการที่ผล: พบได้ทั้งผลอ่อน และผลแก่ เริ่มแรกผลเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจุดจะขยายรวมกันเป็นแผลรูปร่างไม่แน่นอน และเนื้อเยื่อของแผลยุบตัว ผลที่เป็นโรคจะหยุดการเจริญ เปลี่ยนเป็นสีดำ แต่ผลยังคงติดอยู่บนกิ่งกาแฟแนวทางป้องกันกำจัด
1. รักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสม เพื่อรักษาระดับความชื้น เป็นการป้องกันการเกิดโรค
2. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เก็บผล ตัดแต่งกิ่ง ใบ และดอก ที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช แมนโคเซบ 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เบโนมิล 50% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ควรหยุดพ่นสารเมื่อผลเริ่มแก่จนกระทั่งเก็บเกี่ยว
3. ในระยะติดผลหมั่นสำรวจ และป้องกันกำจัดมอดเจาะผลกาแฟอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมอดเจาะผลจะทำให้เกิดแผล เป็นช่องทางให้เชื้อราเข้าทำลายผลได้มากขึ้น
5. หลังเก็บเกี่ยวผลกาแฟควรตัดแต่งกิ่งและให้ปุ๋ยบำรุงต้น เพื่อให้ต้นกาแฟมีความแข็งแรง
อ่านต่อ - ระวังการเข้าทำลายของหนอนหน้าแมว
เตือนภัยการเกษตร เกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมันในทุกระยะการเจริญเติบโต สภาพอากาศช่วงนี้มีอากาศเย็นในตอนเช้า และมีฝนตกบางพื้นที่ ให้ระวังการเข้าทำลายของหนอนหน้าแมว
อ่านต่อ - เตือนระวังโรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง
โรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง อาการเริ่มแรกพบจุดสีเหลืองหรือน้ำตาลขนาดเล็ก และขยายใหญ่ขึ้นเป็นปื้นสีเหลือง โดยจะพบที่ใบล่าง ใบแก่หรือโคนเถา ในเวลาเช้ามืดจะเห็นเส้นใยเชื้อราสีขาวหรือเทาที่ใต้ใบ ขอบใบจะม้วนและร่วง ปื้นสีเหลืองนั้นต่อไปจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
*ในเมล่อน แคนตาลูป และแตงโม จะทำให้ความหวานลดลงวิธีการดูแลรักษา
1. ก่อนปลูกควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียล นาน 20-30 นาที หรือคลุกเมล็ดด้วยสารเมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7 กรัม ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม
2. ไม่ปลูกพืชแน่นเกินไป เพราะจะทำให้มีความชื่นสูง และหมั่นกำจัดวัชพืช เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศในแปลงได้ดี และทำลายแหล่งอาศัยของด้วงเต่าแดง
3. กำจัดด้วงเต่าแดง ซึ่งอาจเป็นแมลงพาหนะโรค โดยการจับทำลาย หรือพ่นด้วยสารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด
4. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบโรคเริ่มระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช
5. แปลงที่เป็นโรค ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำในตอนเย็น เพื่อลดความชื้นในแปลงและหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้เก็บซากพืชไปทำลายนอกแปลงปลูก ไม่ปลูกพืชตระกูลแตงซ้ำและควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน
อ่านต่อ - ระวังโรคแอนแทรคโนสในทุเรียน
แนวทางป้องกันกำจัดโรค
- ดูแลต้นทุเรียนให้ มีความแข็งแรงโดยการให้น้ำ และธาตุอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอโดยเฉพาะในช่วงติดผลของทุเรียน
- ในแหล่งปลูกที่พบโรคเสมอในช่วงทุเรียนแตกใบอ่อน ควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรค เช่น เบนโนมิล คาร์เบนดาซิม หรือคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์** สามารถฟังคลิปเสียงบรรยาย ได้ที่ ระวังโรคแอนแทรคโนสในทุเรียนและแนวทางป้องกันกำจัด
อ่านต่อ - อัปเดตสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 12.00 น.ปริมาณน้ำไหลผ่าน C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 1,664 ลบ.ม./วินาที -60 ลบ.ม./วินาที จาก 29 ต.ค.67 เวลา 18.00 น. (1,724 ลบ.ม./วินาที)ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท 1,551 ลบ.ม./วินาที -49 ลบ.ม/วินาที จาก 29 ต.ค.67 เวลา 18.00 น. (1,600 ลบ.ม./วินาที)จะส่งผลกระทบในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองโผงเผง คลองบางบาล แม่น้ำน้อย และพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทองคลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยาแม่น้ำน้อย ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ และ ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
อ่านต่อ - ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 2-12 พฤศจิกายน 2567สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 2-12 พฤศจิกายน 2567เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำมีระดับเพิ่มสูงขึ้น จึงมีโอกาสเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวในจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง
แนวทางป้องกันกำจัด - ถ้าพบไม่มากให้ตัดส่วนที่แมลงระบาดไปเผาทิ้ง เพราะเพลี้ยไฟมักอยู่กันเป็นกลุ่มบริเวณส่วนยอดอ่อนของพืช
- การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ควรพ่นระยะติดดอกอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ระยะเริ่มแทงช่อดอกและระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร) ถ้าหากพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรงให้พ่นซ้ำในระยะก่อนดอกบาน
- สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่แนะนำ คือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะบาเมกติน 1.8% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซแอนทรานิลิโพรล 10% โอดี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
* ในขณะที่ดอกบานควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสรได้
อ่านต่อ