แนวทางป้องกันกำจัด
1. ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ ตัดผลที่เป็นโรค และเก็บผลเน่าที่ร่วงหล่นนำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30 - 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 30 - 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วทรงพุ่ม จำนวน 1 - 2 ครั้ง ทุก 7 - 10 วัน และควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บเกี่ยวผล อย่างน้อย 15 วัน
2. ไม่นำเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรคไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ใหม่ทุกครั้ง
3. ในแปลงปลูกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคผลเน่าสูง เนื่องจากมีต้นที่เป็นโรครากเน่าและโคนเน่าในแปลงมาก และมีฝนตกชุกหรือมีความชื้นสูงในช่วงที่ทุเรียนใกล้เก็บเกี่ยวผล เชื้อสาเหตุโรคอาจจะติดไปกับผลได้โดยยังไม่แสดงอาการ ดังนั้น การเก็บเกี่ยวผลต้องระมัดระวังไม่ให้ผลสัมผัสกับดิน หรือปูพื้นดินที่จะวางผลด้วยวัสดุหรือกระสอบที่สะอาด เพื่อลดโอกาสที่ผลจะสัมผัสกับดินซึ่งมีเชื้อสาเหตุโรค และการขนย้ายควรระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่ผล
**** โรคผลเน่า เกิดจากเชื้อสาเหตุชนิดเดียวกับโรครากเน่าและโคนเน่า ดังนั้นเพื่อให้การป้องกันกำจัดโรคได้ผลดี ควรทำการป้องกันกำจัดโรครากเน่าโคนเน่าไปพร้อมกัน
แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- ระวังหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดสภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกข้าวโพด (ข้าวโพดฝักสด,ข้าวโพดหวาน, ข้าวโพดเทียน, ข้าวโพดข้าวเหนียว) ในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเพศเมียวางไข่ในเวลากลางคืน โดยวางไข่เป็นกลุ่มใต้ใบ และบนใบพืช แต่ละกลุ่มจะมีไข่ประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ ฟอง มีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม การทำลายพืชเกิดขึ้นในระยะที่เป็นตัวหนอนเท่านั้น หนอนจะระบาดทำลายข้าวโพดตั้งแต่อายุประมาณ 7 วัน จนกระทั่งออกเป็นฝัก โดยกัดกินยอดและใบข้าวโพดแหว่งหรือกัดกินทั้งแผ่นใบ ทำลายช่อดอกตัวผู้ กัดกินไหม ฝัก เมล็ด และจะพบตัวหนอนหลบซ่อนแสงอยู่ที่ยอดหรือโคนกาบใบข้าวโพด ความเสียหายที่เห็นได้ชัดเจนคือ ในระยะต้นอ่อนทำให้พืชตาย ระยะต้นแก่พืชจะไม่เจริญเติบโต ฝักลีบไม่สมบูรณ์ หากระบาดรุนแรงจะทำให้ผลผลิตเสียหาย 73 เปอร์เซ็นต์แนวทางป้องกันกำจัดการป้องกันกำจัดโดยวิธีผสมผสาน1. การเตรียมดิน ไถพรวนและตากดิน เพื่อกำจัดระยะดักแด้ที่อยู่ในดิน2. ระยะก่อนปลูก คลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก ด้วยสารไซแอนทรานิลิโพรล 20% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม วิธีคลุกเมล็ด ใส่สารลงไปในถุงพลาสติกปิดปากถุงให้สนิท รีดสารให้ทั่วถุงแล้วจึงเปิดปากถุง นำเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดใส่ลงไป มัดปากถุงโดยทำให้ถุงพองลม เขย่าให้ทั่ว เปิดปากถุงผึ่งเมล็ดพันธุ์ให้แห้งในที่ร่ม แล้วจึงนำไปปลูก3. ระยะหลังปลูก3.1 หมั่นสำรวจแปลงปลูก ตั้งแต่เริ่มงอก หากพบกลุ่มไข่และตัวหนอนทำการเก็บทำลายทันที3.2 ปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติ เช่น แตนเบียนไตรโคแกรมม่า แมลงหางหนีบ มวนพิฆาต เป็นต้น3.3 ใช้สารชีวภัณฑ์ พ่นด้วยเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร โดยเฉพาะหนอนระยะแรกๆ ควรพ่นสารชีวภัณฑ์ในช่วงเย็น จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด3.4 หากพบการระบาดรุนแรงใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร3.5 ใช้อัตราพ่นให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของข้าวโพด ขณะพ่นสารพ่นให้ละอองสารลงสู่กรวยยอดมากที่สุดการป้องกันกำจัดโดยวิธีใช้สารเคมี- ต้องสลับกลุ่มสารทุก 30 วัน (1 รอบวงจรชีวิต) เพื่อลดความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง- ขณะพ่นสารผู้พ่นควรอยู่เหนือลมเสมอ ผู้พ่นสารควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงสารที่แนะนำในการป้องกันกำจัดสารคลุกเมล็ดIRAC กลุ่ม 281. สารไซแอนทรานิลิโพรล 20% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัมสารเคมีพ่นทางใบIRAC กลุ่ม 51. สารสไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร2. สารสไปนีโทแรม 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรIRAC กลุ่ม 61. สารอีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร2. สารอีมาเมกตินเบนโซเอต 5% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรIRAC กลุ่ม 131. สารคลอร์ฟีนาเพอร์ 10% เอสซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรIRAC กลุ่ม 151. สารลูเฟนนูรอน 5% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรIRAC กลุ่ม 221. สารอินดอกซาคาร์บ 15% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรIRAC กลุ่ม 18+51. สารเมทอกซีฟีโนไซด์+สไปนีโทแรม 30+6% เอสซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรIRAC กลุ่ม 281. สารคลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% เอสซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร2.สารฟลูเบนไดอะไมด์ 20% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรสารชีวภัณฑ์IRAC กลุ่ม 111. เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส สายพันธุ์ไอซาไว อัตรา 80 กรัมหรือมิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร2. เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส สายพันธุ์เคอร์สตากี้ อัตรา 80 กรัมหรือมิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังหนอนแมลงวันชอนใบและโรคเหี่ยวเขียวในแปลงมะเขือเทศระวังหนอนแมลงวันชอนใบและโรคเหี่ยวเขียว ชี้หากพบระบาดขั้นรุนแรงต้นตาย แนะเกษตรกรหมั่นสำรวจแปลง หากพบการะบาดให้เผาเศษใบมะเขือเทศที่ถูกทำลายตัดวงจรแพร่ระบาด ขุดต้นที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลง พร้อมกับไม่ปลูกพืชอาศัยเชื้อสาเหตุโรคช่วยลดการแพร่ระบาดโรคเหี่ยวเขียวเตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศหมั่นสำรวจสวนและเฝ้าระวังการเข้าทำลายของศัตรูพืชที่มักพบระบาดในช่วงเวลานี้คือหนอนแมลงวันชอนใบ ซึ่งพบการเข้าทำลายได้ในทุกระยะการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ โดยตัวหนอนจะชอนไชอยู่ในใบทำให้เกิดรอยเส้นสีขาวคดเคี้ยวไปมา เมื่อนำใบมะเขือเทศมาส่องดูจะพบหนอนตัวเล็กสีเหลืองอ่อนโปร่งแสงใสอยู่ภายในเนื้อเยื่อใบหากระบาดรุนแรงจะทำให้ใบเสียหายร่วงหล่นซึ่งจะมีผลต่อผลผลิตหากมะเขือเทศไม่สามารถสร้างใบทดแทนได้ก็จะตายไปในที่สุดวิธีการป้องกันกำจัด หากพบการเข้าทำลายของหนอนแมลงวันชอนใบตามคำแนะนำของสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช คือ เผาทำลายเศษใบมะเขือเทศที่ถูกทำลายตามพื้นดินจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้เนื่องจากดักแด้ที่อยู่ตามเศษใบมะเขือเทศจะถูกทำลายไปด้วย ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพตามคำแนะนำ เช่น อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นสารฆ่าแมลงเมื่อพบการระบาดพ่น 2 ครั้งติดต่อกันทุก 5 วันนอกจากนี้ เกษตรกรยังต้องเฝ้าระวังการระบาดของโรคเหี่ยวเขียวจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum โดยอาการเริ่มแรกใบล่างจะเหี่ยวและลู่ลง ใบแก่ที่อยู่ด้านล่างมีอาการเหลือง และใบที่เหี่ยวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ระยะแรกจะแสดงอาการเหี่ยวเฉพาะเวลากลางวันที่อากาศร้อนจัดต่อมาอาการเหี่ยวจะนานขึ้นจนกระทั่งเหี่ยวถาวรทั้งวัน อาการจะลามขึ้นไปยังส่วนยอด ขอบใบม้วนลงด้านล่าง เมื่อถอนต้นขึ้นมาพบว่ารากเกิดอาการเน่า และถ้าตัดลำต้นตามขวางแช่น้ำสะอาด ภายใน 5-10 นาทีจะมีเมือกสีขาวขุ่นไหลออกมาตามรอยตัดเป็นสายละลายปนกับน้ำ หากอาการรุนแรงจะพบภายในลำต้นกลวงเนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลายโดยเชื้อสาเหตุโรคและมะเขือเทศจะตายในที่สุดแนวทางในการป้องกันกำจัดโรคเหี่ยวเขียว เกษตรกรควรเลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้มาก่อนและมีการระบายน้ำที่ดี ไถพรวนดินให้ลึกเกินกว่า 20 เซนติเมตรจากผิวดินและตากดินไว้นานกว่า 2 สัปดาห์จะช่วยลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรคในดินลงได้มาก สำหรับพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรค สามารถฆ่าเชื้อโรคในดินโดยใช้ยูเรียผสมปูนขาว อัตรา 80 : 800 กิโลกรัมต่อไร่หว่านลงในแปลงหลังไถพรวนดินครั้งแรก จากนั้นไถกลบและรดน้ำให้ดินมีความชื้น ทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์จึงเริ่มปลูกพืช พร้อมกับหมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอเมื่อพบต้นที่แสดงอาการของโรคให้ขุดต้นที่เป็นโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูกทันทีและโรยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุดเพื่อป้องกันการระบาดของโรค อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการเกษตรควรฆ่าเชื้อโดยจุ่มหรือพ่นด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือคลอรอกซ์ 10% ก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการระบาดของเชื้อ ปรับระบบการให้น้ำ ควบคุมความชื้นในดินไม่ให้มากเกินไปเพื่อลดการเกิดโรค ไม่ควรปลูกพืชที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อสาเหตุโรคเช่นพืชตระกูลขิงพืชตระกูลมะเขือพริกและถั่วลิสงบริเวณใกล้แปลงปลูกมะเขือเทศที่เป็นโรคเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ในแปลงที่มีการระบาดของโรคหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วให้นำส่วนต่าง ๆ ของพืชที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก และในพื้นที่เกิดโรคระบาดควรปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่พืชอาศัยของเชื้อสาเหตุโรคเช่นข้าวโพดข้าวฝ้ายถั่วเหลืองสลับกันเป็นเวลามากกว่า 1 ปี
อ่านต่อ - เตือนระวังโรคบนหน้ากรีดยางในฤดูฝนขณะนี้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้หลายพื้นที่มีฝนตกและความชื้นสูงเหมาะสมต่อการเจริญและแพร่ระบาดของเชื้อราสาเหตุของโรคต่าง ๆ ของยางพารา ที่สามารถเกิดได้ทั้งส่วนใบ ส่วนลำต้นและราก และเกิดได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต ซึ่งมีระดับความรุนแรงของโรคมากน้อยแตกต่างกันไปตามแหล่งปลูกยางและจะแตกต่างกันไปในแต่ละปีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพของแปลงปลูกสภาวะอากาศในแต่ละพื้นที่ รวมถึงพันธุ์ยางที่ใช้ปลูก อย่างไรก็ตามโรคยางพาราส่วนใหญ่มักระบาดไม่รุนแรงมาก จนทำให้ต้นยางตาย แต่มีผลทำให้ผลผลิตลดลง สำหรับโรคที่เกิดส่วนลำต้นและมีความสำคัญได้แก่ โรคเส้นดำ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นบนหน้ากรีดยาง ทำให้ไม่สามารถกรีดยางซ้ำบนหน้ากรีดเดิมได้อีกเป็นผลให้ระยะเวลาการให้ผลผลิตสั้นลง ดังนั้น เกษตรกรควรทำความเข้าใจกับโรคที่เกิดขึ้นเพื่อสามารถป้องกันและรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที- โรคเส้นดำ (Black stripc) เป็นโรคของ ยางพาราที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปโทร่า (Phytophthora botryosa, P. palmivora) เป็นโรคทางลำต้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื้อเข้าทำลายหน้ากรีดซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บเกี่ยวน้ำยาง หากอาการรุนแรงจะไม่สามารถกรีดยางซ้ำบนห้ากรีดเดิมได้อีกทำให้ระยะเวลาการให้ผลผลิตสั้นลง โรคเส้นดำเป็นโรคที่แพร่ระบาดในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคใบร่วงและผักเน่าที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปโทราเป็นประจำ เนื้องจากเชื้อราที่เข้าทำลายฝักยาง ใบ และก้านใบเป็นแห่งเชื้อที่สามารถแพร่ระบาดเข้าทำลายหน้ากรีด เกษตรกรสามารถสังเกตลักษณะอาการของโรคเส้นดำได้ ตรงเหนือรอยกรีด จะมีลักษณะเป็นรอยช้ำ ต่อมาจะกลายเป็นรอยปุ๋มสีดำตามแนวยางชองลำต้น เมื่อเฉือนเปลือกบริเวณรอยปุ๋มสีดำจะเห็นลายเส้นสีดำบนเนื้อไม้ และอาจลุกลามลงใต้รอยกรีด ถ้าอาการรุนแรง บริเวณที่เป็นโรคจะปริเน่า มีน้ำยางไหลเปลือกเน่าหลุดออกมา ถ้าการเข้าทำลายของเชื้อไม่รุนแรง เปลือกงอกใหม่จะเป็นปุ่มปม ทำให้ไม่สามารถกรีดยางได้เชื้อราสาเหตุของโรคเส้นดำแพร่ระบาดโดยเชื้อบนฝักและใบที่เป็นโรคถูกชะล้างโดยน้ำฝนลงมาที่หน้ากรีด และจะระบาดรุนแรงเมื่อกรีดยางติดต่อกันในฤดูฝนโดยไม่มีการป้องกันรักษาหน้ากรีด เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความชื้นสูง ๆ หน้ากรีดจะเปียกอยู่ตลอดเวลา เหมาะต่อการขยายพันธุ์ของเชื้อ พบว่าเชื้อราสาเหตุของโรคสามารถเข้าทำลายพืชอื่นได้หลายชนิด เช่น มะละกอ แตงโม ส้ม ทุกเรียน พริกไทย โกโก้ มะพร้าว ยาสูบ กล้วยไม้ ดังนั้น เกษตรกรจึงควรหลีกเลี่ยงไม่ปลูกพืชเหล่านี้เป็นพืชแซมยางหรือพืชร่วมยาง และไม่ควรเปิดกรีดยางในช่วงฤดูฝนในพื้นที่ที่มีโรคระบาดรุนแรง ระยะที่มีโรคใบร่วงไฟทอปโทราระบาด แนะนำให้ใช้สารเคมีทา ป้องกันโรคที่หน้ากรีดสารเคมีที่มีประสิทธิภาพ คือเมทาแลคซิล เช่น เอพรอน หรือ ฟอสเอทธิล อลูมินัม เช่น อาลีเอท ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง อัตรา 7-10 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ทาพื้นที่หน้ากรีดหรือทาเหนือรอยกรีดภายใน 12 ชั่วโมง หลังการกรีดยางทุกสัปดาห์ แต่หากพบอาการที่หน้ากรีดต้องเฉือนเปลือกส่วนที่เป็นโรคออกเสียก่อน แล้วจึงทาแผลด้วยสารเคมี สารเคมีที่มีประสิทธิภาพ คือ เมทาแลคซิล เช่น เอพรอน อัตรา 14 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือฟอสเอทธิล-อลูมินั่ม เช่น อลีเอทอัตรา 20-25 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ ออกซาไดซิล+แมนโคเซนโดแฟน-เอ็ม อัตรา 40-60 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งผสมสารจับใบ 2 ซีซี พ่นหรือทาหน้ากรีดยางทุก 5-7 วัน อย่างน้อย 4 ครั้งในช่วงที่ฝนตกชุก เกษตรกรควรหมั่นตรวจตราดูแลสวนยางอย่างสม่ำเสมอและสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ของต้นยางที่เกิดขึ้น เพื่อตรวจวินิฉัยพิจารณาแก้ไขปัญหาเบื้อต้น และป้องกันกำจัด ก่อนที่การระบาดของโรคจะรุนแรงมากขึ้น การบำรุงต้นยางให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ดี
อ่านต่อ - ระวังหนอนเจาะขั้วผลในลำไย
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกลำไย ในระยะ ติดผล รับมือหนอนเจาะขั้วผล หนอนเริ่มเข้าทำลายเมื่อลำไยเริ่มติดผลได้ประมาณ 1 เดือน จนถึงระยะเก็บเกี่ยว ขณะผลลำไยยังมีขนาดเล็กน้ำหนักช่อน้อย ช่อผลลำไยอยู่ในสภาพชูขึ้น ผีเสื้อจะวางไข่อยู่ส่วนปลายของผลลำไย เมื่อหนอนฟักออกจากไข่ก็จะเจาะเข้าไปกัดกินอยู่ภายในผล มองดูภายนอกไม่เห็นรอยทำลาย เมื่อผ่าดูจึงเห็นรอยที่ถูกหนอนทำลาย ทำให้ผลที่ถูกทำลายไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ ผลที่ถูกทำลายจึงร่วงหล่นหมด ผลลำไยเมื่อมีขนาดโตขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้นช่อผลโค้งลง ผีเสื้อจะมาวางไข่อยู่บริเวณใกล้ขั้ว ดังนั้น จึงพบหนอนหรือมูลหนอนอยู่ที่ขั้วผลเสมอ ทำให้ผลที่ถูกทำลายในช่วงนี้ร่วงหล่นได้ง่าย ถ้าไม่ร่วงชาวสวนยังขายได้ราคาดีอยู่ เพราะมองจากภายนอกไม่เห็นรอยทำลาย แต่ถ้าสังเกตดูให้ดีบริเวณใกล้ขั้วอาจพบรูเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ ซึ่งเป็นรูที่หนอนเจาะออกมาเข้าดักแด้ภายนอก
แนวทางป้องกันกำจัด
1. รวบรวมผลลำไยที่ร่วงหล่นบริเวณโคนต้น จากการทำลายของหนอนเจาะขั้วผล นำไปทำลายนอกแปลงปลูก
2. เก็บรวบรวมดักแด้ของหนอนเจาะขั้วผล บนใบ ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเจน แล้วนำไปทำลาย
3. หากมีการระบาดของหนอนเจาะขั้วผลรุนแรง พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น อิมิดาโคลพริด 10% SL อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล 85% WP อัตรา 45 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ
ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังโรคผลเน่าในทุเรียน
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกทุเรียนในระยะเก็บผลผลิต เริ่มแก่ รับมือโรคผลเน่า (เชื้อรา Phytophthora palmivora)
เริ่มแรกเกิดจุดแผลขนาดเล็กสีน้ำตาลดำบนผล จุดแผลจะขยายใหญ่ลุกลามมากขึ้นตามการสุกของผล ในสภาพที่มีความชื้นสูงอาจพบเส้นใยสีขาวของเชื้อราสาเหตุโรคบนแผล พบอาการโรคได้ตั้งแต่ผลที่ยังอยู่บนต้น ซึ่งถ้าอาการรุนแรงมากผลจะเน่าร่วงหล่นก่อนกำหนด โรคผลเน่าพบได้ตั้งแต่ระยะผลอ่อน แต่ส่วนใหญ่มักพบในผลช่วง 1 เดือนก่อนเก็บเกี่ยวจนกระทั่งเก็บเกี่ยว และระหว่างการบ่มผลให้สุก
อ่านต่อ - ระวังโรครากเน่า โคนเน่าในทุเรียน
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกทุเรียน ในระยะ เตรียมต้น (ระยะการเจริญทางใบ) รับมือโรครากเน่า โคนเน่า (เชื้อรา Phytophthora palmivora)
อาการที่ราก เริ่มแรกจะเห็นใบที่ปลายกิ่งมีสีซีดไม่เป็นมันเงา เหี่ยวลู่ลง เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้นใบจะเหลืองและหลุดร่วง หากขุดดูราก จะพบรากฝอยมีลักษณะเปลือกล่อน และเปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาล เมื่อโรครุนแรงอาการเน่าจะลามไปยังรากแขนงและโคนต้น ทำให้ต้นทุเรียนโทรมและยืนต้นตาย
อาการที่กิ่งและที่ลำต้นหรือโคนต้น ระยะแรกจะเห็นทุเรียนแสดงอาการใบเหลืองเป็นบางกิ่ง สังเกตเห็นคล้ายคราบน้ำบนผิวเปลือกของกิ่ง หรือต้น ในช่วงเช้าที่มีอากาศชื้นอาจเห็นเป็นหยดของเหลวสีน้ำตาลแดงออกมาจากบริเวณแผล และจะค่อย ๆ แห้งไปในช่วงที่มีแดดจัด ทำให้เห็นเป็นคราบ เมื่อใช้มีดถากบริเวณคราบนั้น จะพบเนื้อเยื่อเปลือกและเนื้อไม้เป็นแผลสีนํ้าตาล ถ้าแผลขยายใหญ่ลุกลามจนรอบโคนต้น จะทำให้ทุเรียนใบร่วงจนหมดต้น และยืนต้นแห้งตาย
อาการที่ใบ ใบอ่อนแสดงอาการเหี่ยว เหลืองบริเวณแผลมีลักษณะฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลอ่อน และเปลี่ยนเป็นสีดำ ตายนึ่งคล้ายน้ำร้อนลวก เส้นใบมีสีน้ำตาลดำ เกิดอาการไหม้แห้งคาต้นอย่างรวดเร็วแล้วค่อย ๆ ร่วงไป พบมากช่วงฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวันแนวทางป้องกันกำจัด
1. แปลงปลูกควรมีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขัง และเมื่อมีน้ำท่วมขังควรรีบระบายออก
2. ปรับปรุงดิน โดยใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปรับสภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง ประมาณ 6.5 กรณีดินที่เป็นกรดจัด ให้ใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 100-200 กิโลกรัมต่อไร่
3. หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้รากหรือลำต้นเกิดแผล ซึ่งจะเป็นช่องทางให้เชื้อราสาเหตุโรคเข้าทำลายพืชได้ง่ายขึ้น
4. ต้นทุเรียนที่เป็นโรครุนแรงมาก หรือยืนต้นแห้งตาย ควรขุดออกนำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วราดดินในหลุมและบริเวณโดยรอบ ด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง จึงปลูกทดแทน
5. ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบส่วนของกิ่ง ใบ ดอก และผลที่เป็นโรค ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรค รวมทั้งเก็บผลเน่าที่ร่วงหล่นไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสาร เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วทรงพุ่ม จำนวน 1-2 ครั้ง ทุก 7-10 วัน และควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บเกี่ยวผล อย่างน้อย 15 วัน
6. ไม่นำเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรคไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ใหม่ทุกครั้ง
7. เมื่อพบต้นที่ใบเริ่มมีสีซีด ไม่เป็นมันเงาหรือใบเหลืองหลุดร่วง ใช้สาร ฟอสโฟนิก แอซิด 40% SL ผสมน้ำสะอาด อัตรา 1:1 ใส่กระบอกฉีดยาฉีดเข้าลำต้น อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อต้น และ/หรือราดดินด้วยสารฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
8. เมื่อพบอาการโรคบนกิ่งหรือที่โคนต้น ถากหรือขูดผิวเปลือกบริเวณที่เป็นโรคออก แล้วทาแผลด้วยสาร ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 70 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WG อัตรา 90 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 40-60 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ แมนโคเซบ + วาลิฟีนาเลท 60% + 6% WG อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ โพรพาโมคาร์บไฮโดรคลอไรด์ + เมทาแลกซิล 10% + 15% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทุก 7 วัน จนกว่าแผลจะแห้ง หรือ ใช้ฟอสโฟนิก แอซิด 40% SL ผสมน้ำสะอาด อัตรา 1:1 ใส่กระบอกฉีดยา ใช้อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อต้น ฉีดเข้าลำต้นหรือกิ่งในบริเวณตรงข้ามอาการโรคหรือส่วนที่เป็นเนื้อไม้ดีใกล้บริเวณที่เป็นโรค
9. หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ตัดแต่งกิ่งเป็นโรค กิ่งแห้ง และตัดขั้วผลที่ค้างอยู่ นำไปทำลายนอกแปลงปลูก เพื่อลดการสะสมของเชื้อสาเหตุโรค
อ่านต่อ - ระวังไรแดงในมันสำปะหลัง
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกมันสำปะหลังในทุกระยะการเจริญเติบโตรับมือไรแดงดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเหลืองซีดเป็นจุดประขาว มีผลต่อการเจริญเติบโต และการสร้างหัวของมันสำปะหลัง ไรแดงที่สำคัญที่พบทำลายมันสำปะหลังมี 3 ชนิด คือ ไรแดงหม่อน ไรแดงมันสำปะหลัง และไรแมงมุมคันซาวา
- ไรแดงหม่อน(Tetranychus truncatus (Ehara)) ดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่ใต้ใบ ทำลายใบแก่และใบเพสลาด พบระบาดตลอดปี หากระบาดรุนแรงจะเคลื่อนย้ายไปกินบนยอดอ่อน สร้างเส้นใยปกคลุมใบและลำต้น เมื่อไรแดงหม่อนเริ่มทำลายจะเห็นเป็นจุดประขาว ใบเหลืองซีด ใบลู่ลง และเหี่ยวแห้ง หากไรแดงหม่อนลงทำลายในมันสำปะหลัง อายุ 1 - 3 เดือน อาจทำให้ใบร่วง ยอดแห้ง และตายได้
- ไรแดงมันสำปะหลัง (Oligonychus biharensis (Hirst)) ดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณหน้าใบ ไม่สร้างเส้นใย ทำให้ใบเป็นจุดประสีขาวซีด พบระบาดตลอดปี
- ไรแมงมุมคันซาวา (Tetranychus kanzawai (Kishida)) ดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใต้ใบ สร้างเส้นใยปกคลุมผิวใบบริเวณที่ไรอาศัยอยู่ พบระบาดเป็นครั้งคราวแต่การระบาดรุนแรงมาก จะทำให้ใบไหม้ ขาดเป็นรู โดยเฉพาะบริเวณใกล้เส้นกลางใบ ทำให้ใบมันสำปะหลังไหม้ทั้งแปลง ใบร่วง และแห้งตายแนวทางป้องกันกำจัด
1. หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในสภาพอากาศแห้งแล้ง
2. หมั่นตรวจแปลงในช่วงสภาพอากาศแห้งแล้ง ถ้าพบการระบาดของไรแดงให้เก็บใบมันสำปะหลังมาทำลาย
3. อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติในแปลงมันสำปะหลัง เช่น ด้วงเต่าตัวห้ำ Stethorus sp. และไรตัวห้ำ Amblyseius longispinosus (Evans)
4. ในพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างรุนแรง พ่นสารป้องกันกำจัดไร โดยเลือกใช้สารป้องกันกำจัดไรชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น เฮกซีไทอะซอกซ์ 1.8% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ทีบูเฟนไพแรด 36% EC อัตรา 5-10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพริดาเบน 20% WP อัตรา 10-15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซฟลูมิโทเฟน 20% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เฟนบูทาติน ออกไซด์ 55% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบไรแดงทำลายบริเวณใบส่วนยอด และใบส่วนล่างเริ่มแสดงอาการเหี่ยวโดยเฉพาะพืชยังเล็ก พ่นให้ทั่วทั้งต้น ใต้ใบ และบนใบ จำนวน 1-2 ครั้ง ห่างกัน 10 วัน
อ่านต่อ - ระวังหนอนกระทู้หอมในมันสำปะหลัง
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกมันสำปะหลัง ในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือหนอนกระทู้หอม ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นกลุ่มอยู่บนใบพืช ปกคลุมด้วยขนสีขาว จำนวนไข่ 20-80 ฟองต่อกลุ่มไข่ เพศเมีย 1 ตัว สามารถวางไข่ได้ประมาณ 200 ฟอง หนอนเมื่อฟักออกจากไข่จะกัดกินผิวใบบริเวณส่วนต่าง ๆ ของพืชเป็นกลุ่ม และความเสียหายรุนแรงในระยะหนอนวัย 3 ซึ่งจะแยกย้ายกัดกินทุกส่วนของพืช หากปริมาณหนอนมากความเสียหายจะรุนแรง
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ไถพรวนและตากดินก่อนปลูก เพื่อกำจัดระยะดักแด้ที่อยู่ในดิน
2. หมั่นสำรวจแปลงหากพบกลุ่มไข่หรือตัวหนอนให้เก็บ และทำลายทันที
3. ติดกับดักแสงไฟสีม่วง (Black light) บริเวณขอบแปลง แปลงละ 1 จุด ล่อตัวเต็มวัยมาทำลายเพื่อลดการวางไข่
4. หากพบการระบาด พ่นด้วยสารคลอฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 40-50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอแรนทราลินิโพรล 5.17% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยการป้องกันกำจัดหนอนกระทู้หอมในพริก ปี 2560)**** แนะนำให้พ่นสารกำจัดแมลงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ห่างกันทุก 5 วัน ไม่เกิน 3 ครั้ง และหมุนเวียนสารตามกลไกการออกฤทธิ์ ไม่พ่นซ้ำกลุ่มเดิมในรอบ 30 วัน (1 รอบวงจรชีวิต) เพื่อชะลอความต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
อ่านต่อ - ระวังหนอนชอนใบส้มในพืชตระกูลส้ม
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกพืชตระกูลส้ม (เช่น มะนาว มะกรูด ส้มโอ และส้มเขียวหวาน) ในระยะแตกยอดอ่อนรับมือหนอนชอนใบส้ม
ผีเสื้อตัวเต็มวัย วางไข่ใต้เนื้อเยื่อใบใกล้เส้นกลางใบ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอนจะกัดกินและชอนไชอยู่ในระหว่างผิวใบ หนอนจะทำลายด้านใต้ใบมากกว่าบนใบ รอยทำลายสังเกตได้ง่ายตั้งแต่เริ่มทำลายโดยเห็นเป็นเส้นทางสีขาวเรียวยาวในระยะเริ่มแรกและขยายใหญ่ขึ้นเป็นทางคดเคี้ยวไปมา ใบมีลักษณะบิดงอลงทางด้านที่มีหนอนทำลาย นอกจากทำลายใบแล้ว ถ้ามีการระบาดมากหนอนจะเข้าทำลายกิ่งอ่อน และผลอ่อนด้วย รอยแผลที่เกิดจากการทำลายจะเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas citri subsp citri ซึ่งทำให้เกิดโรคแคงเกอร์รุนแรงขึ้น
แนวทางป้องกันกำจัด
1. การบังคับยอดให้แตกพร้อมกัน สามารถควบคุมประชากรของหนอนชอนใบส้มได้ดีขึ้น สะดวกในการดูแลรักษา ช่วยลดจำนวนครั้งในการใช้สารเคมีในการแตกยอดแต่ละรุ่น และเป็นการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ
2. ใบอ่อนที่พบหนอนชอนใบส้มลงทำลายมากควรเก็บทำลายทิ้ง เพื่อลดปริมาณหนอนชอนใบส้ม ในการแตกยอดรุ่นต่อไป
3. สำรวจหนอนชอนใบส้มช่วงแตกใบอ่อน โดยสุ่มสำรวจแปลงละ 10 ต้น ต้นละ 5 ยอดหากยอดอ่อนถูกทำลายเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่สุ่มสำรวจทั้งหมด ให้พ่นสารฆ่าแมลง เช่น อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรฟีโนฟอส 50% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไบเฟนทริน 2.5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะบาเมกติน 1.8% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ปิโตรเลียมออยล์ 83.9% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โคลไทอะนิดิน 16% SG อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วทั้งหลังใบและหน้าใบ และถ้าสำรวจพบว่ายังมีการระบาดของหนอนชอนใบส้มให้พ่นซ้ำ** การใช้ปิโตรเลียมออยล์ในการป้องกันกำจัดหนอนชอนใบส้มให้มีประสิทธิภาพดีนั้น ต้องทำการพ่นสารโดยใช้อัตราน้ำมากกว่าการพ่นสารทั่วไป เพื่อให้สารน้ำมันเคลือบใบพืช
อ่านต่อ - ระวังโรคตายพราย หรือโรคปานามา หรือโรคเหี่ยวในกล้วย
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกกล้วยในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือโรคตายพราย หรือโรคปานามา หรือโรคเหี่ยว (เชื้อรา Fusarium oxysporum f.sp. cubense) พบโรคได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของกล้วย
ใบกล้วยที่อยู่รอบนอกหรือใบแก่แสดงอาการเหี่ยวเหลือง โดยใบจะเหลืองจากขอบใบและลุกลามเข้ากลางใบ ก้านใบหักพับตรงรอยต่อกับลำต้นเทียม (กาบใบที่อัดกันแน่น เห็นเป็นต้นเหนือดิน) และจะทยอยหักพับตั้งแต่ใบที่อยู่รอบนอกเข้าไปสู่ใบด้านใน ระยะแรกใบยอดยังเขียวตั้งตรง จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต่อมาใบทั้งหมดจะเหี่ยวแห้ง เมื่อตัดลำต้นเทียมตามขวางหรือตามยาว จะพบเนื้อเยื่อภายในลำต้นเทียมเน่าเป็นสีน้ำตาลตามทางยาวของลำต้นเทียม เนื้อเยื่อในเหง้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ต้นกล้วยชะงักการเจริญเติบโตและตายในที่สุดแนวทางป้องกันกำจัด
1. เมื่อต้องการปลูกกล้วยในพื้นที่ใหม่ ควรเลือกแปลงที่ไม่เคยพบโรคนี้มาก่อน
2. เลือกหน่อกล้วยจากแหล่งปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้ หรือไม่นำหน่อพันธุ์จากกอที่เป็นโรคไปปลูก และใช้หน่อพันธุ์ที่ไม่มีร่องรอยการติดเชื้อ ในกรณีที่ไม่แน่ใจให้ชุบหน่อพันธุ์กล้วยด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช อีไตรไดอะโซล + ควินโตซีน 6% + 24% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์เบนดาซิม 50% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ทีบูโคนาโซล 43% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
3. ปรับสภาพดินไม่ให้เป็นกรดจัด โดยใส่ปูนขาว หรือโดโลไมท์
4. แปลงปลูกควรมีการระบายน้ำที่ดี ควรระมัดระวังการให้น้ำ ไม่ให้น้ำไหลผ่านจากต้นที่เป็นโรคไปต้นปกติ
5. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบกล้วยแสดงอาการของโรค ให้ขุดต้นที่เป็นโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วโรยด้วยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุดต้นเป็นโรคออกไป อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อหลุม
6. อุปกรณ์การเกษตร เมื่อใช้กับต้นที่เป็นโรค ควรทำความสะอาดก่อนนำไปใช้ใหม่
7. ในแปลงที่มีการระบาดของโรค ควรเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน
อ่านต่อ - ระวังโรคเหี่ยวหรือเหง้าเน่าในขิง
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกขิงในทุกระยะการเจริญเติบโตรับมือโรคเหี่ยวหรือเหง้าเน่า (เชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum)
อาการเริ่มแรก ใบแสดงอาการม้วนห่อ สีของใบซีดต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแห้ง บริเวณโคนต้นมีอาการฉ่ำน้ำ ลำต้นเน่าหลุดออกจากเหง้าได้ง่ายและหักพับ แต่ไม่มีกลิ่นเหม็น หากตรวจดูที่ลำต้นจะพบส่วนของท่อลำเลียงน้ำและอาหารมีสีน้ำตาลเข้ม เมื่อนำต้นมาตัดตามขวางแช่ในน้ำสะอาดประมาณ 5-10 นาที จะเห็นของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนมไหลออกมาแนวทางป้องกันกำจัด
1. ควรเลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้มาก่อน และมีการระบายน้ำที่ดี
2. ไถพรวนดินให้ลึกเกินกว่า 20 เซนติเมตร จากผิวดินและตากดินไว้นานกว่า 2 สัปดาห์ จะช่วยลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรคในดินลงได้มาก
3. พื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรค สามารถฆ่าเชื้อโรคในดิน โดยใช้ยูเรียผสมปูนขาว อัตรา 80 : 800 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านลงในแปลงหลังไถพรวนดินครั้งแรก จากนั้นไถกลบและรดน้ำให้ดินมีความชื้น ทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ จึงเริ่มปลูกพืช
4. ใช้หัวพันธุ์ปลอดโรค
5. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบต้นที่แสดงอาการของโรค ให้ขุดต้นที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูกทันที และโรยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุด เพื่อป้องกันการระบาดของโรค
6. ในแปลงที่มีการระบาดของโรค หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว นำส่วนต่าง ๆ ของพืชที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก
7. ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อสาเหตุโรค เช่น พืชตระกูลขิง พืชตระกูลมะเขือ มันฝรั่ง พริก และถั่วลิสง ให้สลับปลูกพืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่พืชอาศัย เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง เพื่อตัดวงจรของโรค
อ่านต่อ - ระวังหนอนเจาะฝักถั่วลายจุดในถั่วฝักยาว
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาวในระยะออกดอกติดฝักรับมือหนอนเจาะฝักถั่วลายจุด เมื่อหนอนฟักออกจากไข่จะเจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกอ่อน ต่อมาจะกัดส่วนของดอกและเกสรทำให้ดอกร่วง เมื่อหนอนโตขึ้นจะเจาะเข้าไปกัดกินภายในฝัก ส่วนที่เป็นเมล็ดอ่อน ทำให้ฝักและเมล็ดลีบ
แนวทางป้องกันกำจัด
1. วิธีกล ก่อนปลูกพืชประมาณ 2 สัปดาห์ ควรทำการไถพรวน และตากดิน เพื่อกำจัดดักแด้ที่อาจหลงเหลืออยู่ในแปลงปลูก
2. ใช้เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
3. ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด เช่น อีโทเฟนพรอกซ์ 20% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เดลทาเมทริน 3% EC อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบหนอนในดอก ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ หากมีการระบาดซ้ำให้พ่นสารตามความจำเป็น
อ่านต่อ - ประกาศจับ “ปลาหมอคางดำ” เอเลี่ยนสปีชีส์ ทำลายห่วงโซ่ตามธรรมชาติปลาพื้นถิ่น
สำนักงานประมงจังหวัดสงขลา ประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์ และหน้าเพจเฟซบุ๊ก โดยออกประกาศจับ “ปลาหมอคางดำ” ซึ่งเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือ เอเลี่ยนสปีชีส์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร และทำลายห่วงโซ่ตามธรรมชาติของปลาพื้นถิ่นในประเทศไทย
โดยระบุว่า “ปลาหมอคางดำมีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับปลาหมอเทศ อยู่ได้แทบทุกสภาพน้ำ ซึ่งพบได้ทั้งในน้ำจืด รวมทั้งปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย ป่าชายเลน และในทะเล แต่จะไม่อยู่ในเขตน้ำลึก โดยเพศผู้จะมีสีดำบริเวณหัว และบริเวณแผ่นปิดเหงือกมากกว่าเพศเมีย”
ประชาชนหรือชาวประมงที่พบปลาหมอคางดำ สามารถติดต่อและแจ้งมาที่ สำนักงานประมง จังหวัดสงขลา หรือสำนักงานประมงใกล้บ้าน หรือโทร.ด่วนได้ที่ 074-311-302
สำนักงานประมงจังหวัดสงขลา ได้ทำคิวอาร์โค้ดให้ประชาชนที่พบเห็นปลาหมอคางดำ สามารถส่งข้อมูลที่จำเป็น รวมทั้งภาพถ่าย และพิกัดจุดที่พบ เพื่อให้ทราบถึงบริเวณที่มีการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ และเป็นฐานข้อมูลให้แก่เจ้าหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปหลังจากนี้
อ่านต่อ - ระวังโรคลำต้นจุดสีน้ำตาลและผลเน่าในแก้วมังกร
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกแก้วมังกรในระยะเก็บเกี่ยวผลผลิต รับมือโรคลำต้นจุดสีน้ำตาลและผลเน่า (เชื้อรา Neoscystalidium dimidiatum) อาการเริ่มแรกที่กิ่ง หรือผลเป็นจุดสีเหลือง จากนั้นจะพัฒนาเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ สีน้ำตาลคล้ายสีสนิมเหล็ก ต่อมาแผลขยายใหญ่ พบจุดเล็ก ๆ สีดำซึ่งเป็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อราสาเหตุโรคที่บริเวณแผล บริเวณรอบแผลมีสีเหลือง เมื่ออาการรุนแรงแผลจะเน่า โดยถ้าเป็นที่กิ่งจะทำให้เนื้อเยื่อตรงแผลหลุดเห็นเป็นรู หรือเว้าแหว่ง สำหรับที่ผล ถ้าอาการรุนแรงจะทำให้กลีบผลไหม้แห้ง และผลเน่าในที่สุด
แนวทางป้องกันกำจัด
1. เลือกใช้ต้นพันธุ์ที่แข็งแรงปลอดโรค
2. ลดการให้ปุ๋ยไนโตรเจน เนื่องจากเป็นพืชอวบน้ำ อาจทำให้พืชอ่อนแอเกิดโรคง่ายขึ้น
3. หมั่นกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก เพื่อลดความชื้น
4. งดให้น้ำช่วงบ่ายหรือเย็น ให้เฉพาะช่วงเช้า เพื่อลดความชื้นสะสมในทรงพุ่ม
5. ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบโรคตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคอย่างระมัดระวังให้มีแผลน้อยที่สุด การตัดแต่งกิ่งควรตัดตรงส่วนที่เป็นรอยต่อของข้อระหว่างกิ่ง นำส่วนที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช โพรคลอราซ 45% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซอกซีสโตรบิน + ไดฟีโนโคนาโซล 20% + 12.5% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้น ทุก 5-7 วัน จำนวน 4 ครั้ง และพ่นอีกครั้งในระยะติดดอก โดยพ่นให้ทั่วต้น ทุก 7 วัน จำนวน 3 ครั้ง
6. ไม่นำเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรค ไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ใหม่ทุกครั้ง
*** ควรหยุดพ่นสารก่อนการเก็บเกี่ยว อย่างน้อย 15 วัน
อ่านต่อ - เตือนชาวสวนลองกองระวังโรคราสีชมพู
โรคราสีชมพู (เชื้อรา Erythricium salmonicolor หรือ Corticium salmonicolor) เป็นปัญหาที่สำคัญในการปลูกลองกอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูง เชื้อรานี้สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่กิ่งและลำต้นของต้นลองกอง ทำให้ยอดเหี่ยว ใบเหลืองและร่วง ส่งผลให้กิ่งแห้งตาย
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคราสีชมพูในลองกอง สามารถทำตามขั้นตอนดังนี้
การป้องกัน
1. ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง: การตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่งช่วยลดความชื้นสะสมและเพิ่มการระบายอากา
2. กำจัดวัชพืชในแปลงปลูก: เพื่อลดแหล่งที่อยู่และการแพร่กระจายของเชื้อราการแก้ไขเมื่อพบโรค
1. ตรวจสวนอย่างสม่ำเสมอ: ในช่วงฤดูฝนควรตรวจสอบสวนอย่างสม่ำเสมอเพื่อหาสัญญาณของโรค
2. ตัดกิ่งที่เป็นโรค: หากพบเส้นใยสีขาวหรือสีชมพูอ่อนบนกิ่ง ให้ตัดกิ่งที่เป็นโรคและนำไปทำลายนอกแปลงปลูก
3. ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช:- คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% WP: ผสมน้ำข้นๆ ทาบริเวณแผลที่ตัด
- พ่นสารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% WP: อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้น โดยเฉพาะบริเวณกิ่งและลำต้น
การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายจากโรคราสีชมพูในลองกองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านต่อ