• แนะนำการใช้งาน
  • ติดต่อ
  • เกี่ยวกับโครงการ
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

  • .
  • ข่าวสาร
  • ถาม-ตอบ
  • แจ้งเตือน
  • แหล่งความรู้
  • สมัครสมาชิก
  • ลงชื่อเข้าใช้
  • ติดต่อ
  • เกี่ยวกับโครงการ
  • แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่

    แสดง 1 - 20 จาก 345
    หน้า
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      เตือน ระวังโรคใบสีส้มในข้าว

      โรคใบสีส้มในข้าว เกิดจากเชื้อไวรัส Rice Tungro Bacilliform Virus (RTBV) และ Rice Tungro Spherical Virus (RTSV)

      🌾อาการ
      - ต้นข้าวเป็นโรคได้ทั้งระยะกล้า แตกกอ ตั้งท้อง หากได้รับเชื้อตอนข้าวอายุอ่อน (ระยะกล้าแตกกอ) ข้าวจะเสียหายมากกว่าได้รับเชื้อตอนข้าว (ระยะตั้งท้อง-ออกรวง) ข้าวเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 15-20 วัน ทั้งนี้ แล้วแต่ข้าวจะได้รับเชื้อระยะใด
      - อาการเริ่มต้น ใบข้าวจะเริ่มมีสีเหลืองสลับเขียว ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เริ่มจากปลายใบเข้าหาโคนใบ ถ้าเป็นรุนแรงในระยะกล้า ต้นข้าวอาจถึงตาย ถ้าอาการแสดงหลังปักดำ เริ่มสังเกตได้ที่ใบเช่นกัน ต้นที่เป็นโรคจะเตี้ย แคระแกร็น ช่วงลำต้นสั้นกว่าปกติมาก ใบใหม่ที่โผล่ออกมามีตำแหน่งต่ำกว่าข้อต่อใบ ถ้าเป็นรุนแรงอาจตายทั้งกอ ถ้าไม่ตาย เมื่อถึงระยะออกรวง ให้รวงเล้ก หรือไม่ออกรวงเลย และออกรวงล่าช้ากว่าปกติ
      🌾การแพร่ระบาด เพลี้ยจักจั่นสีเขียวเป็นแมลงพาหนะนำโรค

      🌾การป้องกันกำจัด
      2. กำจัดวัชพืชและพืชอาศัยของเชื้อไวรัสและแมลงพาหะนำโรค
      3. ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงพาหะ ได้แก่ ใช้สารฆ่าแมลงในระยะที่แมลงเป็นตัวอ่อน เช่น ไดโนทีฟูเรน หรือ บูโพรเฟซิน หรืออีโทเฟนพรอกซ์ ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงผสมกันหลาย ๆ ชนิด หรือใช้สารฆ่าแมลงผสมสารกำจัดโรคพืชหรือสารกำจัดวัชพืช เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของสารฆ่าแมลงลดลง
      4. ไม่ใช้สารกลุ่มไพรีทรอยสังเคราะห์ เช่น ไซเพอร์มิทริน ไซฮาโลทริน เดลต้ามิทริน

      อ้างอิงข้อมูล สำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว https://www.facebook.com/sanakngan.kes.tr.xaphex.wangnayen/

      อ่านต่อ
      วันที่ 2 ธันวาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      เตือนภัยเกษตรกรผู้ปลูกผักตระกูลกะหล่ำ–ผักกาด ระวังโรคเน่าเละ จากเชื้อแบคทีเรีย Pectobacterium carotovorum subsp. carotovorum

      ช่วงนี้อากาศเย็น มีหมอกตอนเช้า แดดจัดตอนกลางวัน และความชื้นสูงตอนกลางคืน เป็นสภาพที่ทำให้โรคเน่าเละระบาดง่ายในผักตระกูลกะหล่ำและผักกาด เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี ผักกาดขาว ผักกาดหัว ฮ่องเต้ หางหงษ์ กวางตุ้ง คะน้า ฯลฯ

      อาการของโรค
      * เริ่มแรกจะมีจุดฉ่ำน้ำเล็ก ๆ บนใบหรือที่ลำต้น
      * แผลจะขยายใหญ่และมีสีน้ำตาล–น้ำตาลเข้ม
      * เนื้อเยื่อยุบตัว มีเมือกเยิ้ม และมีกลิ่นเหม็นเฉพาะโรค
      * หากลุกลามมาก พืชจะยุบตายทั้งต้น
      > โรคนี้รุนแรงมากในฤดูฝน และทำลายพืชได้ทั้งในแปลงและในโรงเก็บ

      ✅ วิธีป้องกันและแก้ไข
      🟢 ก่อนปลูก
      1. เลือกพื้นที่ที่ไม่เคยมีโรคระบาดมาก่อน และน้ำไม่ท่วมขัง
      2. ไถพรวนลึกมากกว่า 20 ซม. แล้วตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์
      3. อย่าปลูกแน่นเกินไป ลดความชื้นในแปลง
      🟢 ระหว่างปลูก
      4. เลี่ยงการให้น้ำแบบพ่นฝอย เพราะเชื้อจะแพร่กระจายง่าย
      5. ระวังไม่ให้พืชเกิดแผล เพราะเชื้อจะเข้าทำลายได้ทันที
      6. ดูแลไม่ให้พืชขาดแคลเซียมและโบรอน ป้องกันปลายใบไหม้–ไส้กลวง
      7. หากพบต้นเป็นโรค ให้ขุดออกและเผาทำลายนอกแปลงทันที
      8. ทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังใช้กับต้นป่วย
      🟢 หลังเก็บเกี่ยว
      9. ไถกลบเศษพืชทันที แล้วตากดินก่อนไถกลบอีกครั้ง เพื่อลดการสะสมเชื้อในดิน
      10. แปลงที่มีโรคระบาด ควรปลูกพืชชนิดอื่นสลับปลูก เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวโพด เพื่อตัดวงจรโรค


      อ่านต่อ
      วันที่ 2 ธันวาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      ประกาศแจ้งเตือนภัย🚨 ระวังโรคใบไหม้ในมันฝรั่ง Late Blight เชื้อรา Phytophthora infestans

      สภาพอากาศช่วงนี้ อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกบางพื้นที่ ความชื้นสูง และหมอกลงจัด เตือนผู้ปลูกมันฝรั่ง โรคนี้สามารถเกิดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

      ✅ อาการของโรค
      เริ่มต้นที่ใบล่าง จุดแผลฉ่ำน้ำสีเขียวหม่นคล้ายถูกน้ำร้อนลวก
      ลุกลาม แผลขยายใหญ่ กลางแผลแห้งสีน้ำตาล ขอบแผลฉ่ำน้ำสีดำ
      อาการใต้ใบ พบละอองน้ำเล็ก ๆ สีขาวใส (สปอร์เชื้อรา)
      ผลสุดท้าย ใบไหม้แห้งสีน้ำตาลทั้งต้น 
      ลำต้น/กิ่ง แผลสีน้ำตาลหรือดำ ทำให้หักพับและแห้งตาย
      หัวมันฝรั่ง เน่าเสียเมื่อถูกเชื้อเข้าทำลาย

      🛡️ แนวทางป้องกัน
      1. หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่เคยมีการระบาด
      2. ไถพลิกดินตากแดด 1–2 สัปดาห์
      3. ใช้พันธุ์ปลอดเชื้อ
      4. ปรับระยะปลูกให้โปร่ง
      5. ไม่ให้น้ำมากเกินไป และหลีกเลี่ยงการให้น้ำตอนเย็น
      6. ตรวจแปลงสม่ำเสมอ

      ⚔️ วิธีแก้ไขเมื่อพบโรค
      - ถอนต้นที่เป็นโรครุนแรงและทำลายนอกแปลง
      - พ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อราให้ทั่วทั้งบนใบและใต้ใบ ทุก 5 วัน 

      ตัวอย่างสารและอัตราการใช้
      ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP (30–40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
      ไซมอกซานิล + ฟามอกซาโดน 30%+22.5% WG (40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
      ไซมอกซานิล + แมนโคแซบ 8%+64% WP (50–60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
      เมทาแลกซิล-เอ็ม + แมนโคเซบ 4%+64% WG (40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
      โพรพิเนบ + ไอโพรวาลิคาร์บ 61.3%+5.5% WP (40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
      โพรพิเนบ + ฟลูโอพิโคไลด์ 66.7%+6% WP (20–30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)

      สิ่งสำคัญ ควรสลับชนิดสาร อย่าใช้ซ้ำชนิดเดียวกัน เพื่อป้องกันเชื้อราดื้อยา

      📝 หลังเก็บเกี่ยว เก็บซากพืชและหัวมันฝรั่งตกค้างไปทำลายนอกแปลง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อ


      อ่านต่อ
      วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      การเพาะเลี้ยง
      ไทยเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมกุ้งคาร์บอนต่ำ นำร่องฉะเชิงเทรา–จันทบุรี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน

      อุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทยเร่งปรับตัวรับความต้องการตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยกรมประมงร่วมกับ FAO ผลักดันโครงการเพาะเลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำ และเริ่มต้นนำร่องเกษตรกรต้นแบบ 27 รายในจังหวัดฉะเชิงเทราและจันทบุรีเข้าสู่การรับรอง “คาร์บอนฟุตพรินต์แบบกลุ่ม”

      ด้านบริษัทซีพีเอฟ ผู้ผลิตรายใหญ่ ระบุว่าได้พัฒนาระบบเลี้ยงกุ้งยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการใช้วัตถุดิบโปร่งใส พลังงานทดแทน การติดตั้งโซลาร์ในฟาร์ม รวมถึงระบบนำน้ำกลับใช้ใหม่ตามหลัก 3R เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันสินค้ากุ้งกว่า 40 รายการได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์แล้ว

      การขับเคลื่อนดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความสามารถแข่งขันของกุ้งไทย และสร้างภาพลักษณ์ประเทศในฐานะผู้นำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนเวทีโลก


      อ่านต่อ
      วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      หนอนหัวดำมะพร้าว ศัตรูตัวร้ายของสวนมะพร้าว


      อ่านต่อ
      วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      🐛 เตือนภัย! หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ศัตรูพืชตัวร้ายของชาวไร่ข้าวโพด

      ช่วงนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเข้าสู่ระยะที่ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด มีแนวโน้มระบาดรุนแรง ศัตรูพืชชนิดนี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อผลผลิต หากไม่เฝ้าระวังและควบคุมอย่างทันท่วงที

      หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเริ่มทำลายตั้งแต่ระยะต้นอ่อน หลังฟักออกจากไข่ หนอนขนาดเล็กจะกัดกินผิวใบข้าวโพดจนเกิดเป็นรอยสีขาวคล้ายรอยขีด เมื่อเข้าสู่ระยะตัวโต (วัย 3–6) จะเป็นช่วงที่สร้างความเสียหายมากที่สุด เพราะหนอนจะเข้าไปอาศัยและกัดกินบริเวณยอดข้าวโพด ทำให้ใบที่คลี่ออกมาใหม่ขาดเป็นรูพรุน บางครั้งยังเจาะเข้าทำลายถึงฝัก ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด

      เพื่อป้องกันและลดความเสียหาย เกษตรกรควรดำเนินการตามแนวทางต่อไปนี้

      1️⃣ สำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 30 วันแรกหลังปลูก หากพบกลุ่มไข่ (1 กลุ่มอาจฟักเป็นหนอนได้ 100–200 ตัว) ให้รีบเก็บและทำลายทันที เพื่อหยุดการแพร่ระบาดตั้งแต่ต้นทาง

      2️⃣ ใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมหนอนขนาดเล็ก เช่น เชื้อแบคทีเรีย บีที (Bt) ฉีดพ่นทุก 4–7 วัน ในระยะที่หนอนยังไม่โต เพื่อควบคุมประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

      3️⃣ ส่งเสริมศัตรูธรรมชาติในแปลง เช่น แมลงหางหนีบ มวนพิฆาต หรือแตนเบียน โดยหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง เพื่อให้แมลงเหล่านี้สามารถช่วยควบคุมหนอนได้ตามธรรมชาติ

      4️⃣ ไถกลบทำลายเมื่อมีการระบาดรุนแรง หากพบการแพร่กระจายมาก ควรไถกลบเพื่อกำจัดหนอนและดักแด้ที่อาศัยอยู่ในดิน พร้อมพักแปลงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนปลูกใหม่ เพื่อหยุดวงจรชีวิตของหนอน

      5️⃣ ใช้สารเคมีอย่างระมัดระวังและตามคำแนะนำ ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีอื่น ให้ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม

      หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดอาจเป็นภัยร้ายในแปลง แต่ด้วยการเฝ้าระวังและจัดการอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้น จะช่วยให้เกษตรกรสามารถป้องกันความเสียหายและรักษาผลผลิตข้าวโพดไว้ได้อย่างยั่งยืน 🌽


      อ่านต่อ
      วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โลจิสติกส์ผลิตผลทางการเกษตร
      แมลงศัตรูในโรงเก็บและการป้องกันกำจัด


      อ่านต่อ
      วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      โรคราแป้งในเมล่อน

      เชื้อสาเหตุโรค
      สาเหตุของโรคนี้ คือ Erysiphe cichoracearum ผง (Oidium melonis) สีขาวที่เห็นคล้ายเป็นผงแป้งนั้น จะปลิวไปกับลมได้โดยง่าย แล้วจะงอกเข้าทำลายเกิดโรคนี้ต่อไปได้อีก ซึ่งผงสีขาวคือสปอร์ conidia ชนิดหนึ่งที่แพร่ระบาดไปได้ง่ายมาก โดยมีลักษณะอาการจะเป็นจุดเล็ก ๆ สีเหลืองบนใบ และขยายการทำลายไปทั่วหรือแม้แต่ตามผิวของลำต้น โดยบนผิวของพืชส่วนนั้นจะเกิดเป็นสีขาวคล้ายกับการโรยแป้งฝุ่น ในที่เป็นโรคมักจะเหี่ยวและแห้งไป อาจจะติดลำต้น

      การแพร่ระบาดของโรค

      • มักจะเข้ามาทำลายพืชที่มีอายุค่อนข้างมากหรือใกล้เก็บเกี่ยว เนื่องจากราที่ก่อให้เกิดโรคราแป้งจะมีพืชที่อาศัยอยู่จำนวนมาก และมีการปลูกอยู่ตลอดฤดูกาล หรือมีการปลูกตลอดเกือบทั้งปี ไม่ได้คำนึงถึงฤดูกาลแต่อย่างใด
      • แหล่งกำเนิดของราที่เป็นสาเหตุของโรคราแป้งนั้น จะสามารถแพร่ระบาดได้ตลอดเวลา สปอร์แพร่กระจายโดยตัวกลางที่หลากหลาย เช่น ลม อากาศ ติดไปกับแมลง ในฤดูหนาวช่วงเวลาในกลางคืน จะมีอากาศที่หนาวเย็นและมีความชื้นสูง ในตอนเช้าก็จะมีหมอก เวลากลางวัน จะมีอากาศที่อบอุ่นไปจนถึงร้อน เป็นสภาพที่เหมาะสมที่รา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคราแป้งจะเข้าไปทำลายพืชผลผลิตได้รุนแรงในสภาพอากาศที่แห้ง
      • อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของสปอร์ของเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคราแป้งนั้น อยู่ที่ 15-25 องศาเซลเซียสและระยะฟักตัวของเชื้อราอยู่ที่ 10-12 วัน เชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคราแป้ง คือ Oidium sp. มักระบาดเป็นอย่างมากและรุนแรงในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

      การป้องกันกำจัด
      1.ใช้พันธุ์ไม้ที่มีความแข็งแรง สามารถต้านทานโรคได้
      2.หมั่นสำรวจแปลง หากพบโรคราแป้งเข้าทำลายให้เด็ดหรือตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลาย
      3.เมื่อเริ่มพบการระบาดให้ทำการฉีดพ่นด้วยกำมะถันชนิดผง หรือสารเคมีกำมะถันเป็นส่วนผสม เช่น ไมโครไธออล สเปเชียล (กำมะถัน เนื้อทอง) ถ้ามีการระบาดอย่างรุนแรงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีป้องกันสารเคมีกำจัดโรคพืช เช่น เบนโนมิล ไตรโฟลีน โพรฟิเนบ ไพราโซฟอส และคาร์เบนดาร์ซิม เป็นต้น ควรใช้ในปริมาณหรืออัตราส่วนการใช้ตามฉลากเท่านั้น

      คำแนะนำ : อัตราส่วนตามฉลากข้างขวด การฉีดพ่นในเวลาที่ไม่มีแสงแดดหรืออากาศไม่ร้อนจัด ถ้าใช้ความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดอาการใบไหม้ และเนื่องจากเส้นใบของเชื้อราเจริญอยู่ด้านใต้ใบ ดังนั้น ในการฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชให้ได้ผลดีต้องพยายามพ่นให้ถูก ส่วนบริเวณใต้ใบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะสารเคมีประเภทสัมผัส สำหรับกำมะถันชนิดผง ถ้าพ่นแต่ด้านบนใบแทบจะไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด

      4.เมื่อมีโรคเกิดขึ้นควรพ่นป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี เช่น เบโนมีล 10 กรัมต่อน้ำปริมาณ 20 ลิตร หรือไดโนแคะ 30 กรัมต่อน้ำปริมาณ 20 ลิตร

      5.ถ้าเกิดโรคราแป้งที่ส่วนของผล ดังนั้น จะต้องพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อก่อนดอกจะเริ่มบานให้พ่นทั่วช่อดอกและผลอ่อน หรือแม้แต่ผลขนาดใหญ่ที่ใกล้แก่ที่กำลังมีลักษณะอาการของโรคนี้อยู่

      6.การตัดแต่งกิ่ง ใบ ให้ทรงต้นโปร่ง เก็บรวบรวมเศษซากพืชที่เป็นโรคเผาทำลาย เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้งที่ตัดแต่ง หรือใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชเบนโนมิลผสมน้ำพ่นในระยะที่มีการระบาดอย่างสม่ำเสมอ

      7.ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา โดยใช้คลุกเมล็ดพันธุ์ ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาฉีดพ่น อัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 200 ลิตร หรือเชื้อแบคทีเรีย บีเอส (บาซิลลัส ซับทิลิส) ฉีดพ่นเมื่อเริ่มงอกทุก 5 วัน จำนวน 3 ครั้ง

      จัดทำโดย : สำนักงานเกษตรอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว


      อ่านต่อ
      วันที่ 31 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      เตือนภัยการเกษตร ถั่วเหลืองระยะฝักเต็ม-ฝักแก่ ระวังหนอนเจาะฝักและมวนถั่วเหลือง

      เตือนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในระยะฝักเต็ม-ฝักแก่ ให้ระวังการเข้าทำลายของหนอนเจาะฝักและมวนถั่วเหลือง หากเริ่มพบแมลงศัตรูพืช ให้รีบทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำเพื่อไม่ให้ระบาดและส่งผลกระทบต่อผลผลิตถั่วเหลือง

       

       

       

       


      อ่านต่อ
      วันที่ 30 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      ระวัง หนอนกระทู้หอม ในหอมแดง, หอมหัวใหญ่
       
      สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกหอมแดง, หอมหัวใหญ่ ในระยะ ทุกระยะเจริญเติบโต รับมือหนอนกระทู้หอม
      หนอนกระทู้หอมจะเจาะเข้าไปอาศัยในใบหอมและกัดกินเนื้อเยื่อใบหอมทำให้ใบมีสีขาว และจะกัดกินไปถึงหัวหอมทำให้ไม่สามารถเก็บผลผลิตได้
      แนวทางป้องกันกำจัด
      1. เก็บกลุ่มไข่และหนอนทำลายเพื่อช่วยลดการระบาด
      2.ใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ทูริงเยนซิส Bacillus thuringiensis (Bt) อัตรา 200 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (SC)
      3. ใช้นิวเคลียร์โพลีฮีโดรซีสไวรัส หรือ เอ็นพีวีหนอนกระทู้หอม อัตรา 20 - 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7 วัน เมื่อพบต้นที่มีรอยทำลายเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ กรณีพบการะบาดรุนแรง มีความเสียหายเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ควรพ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง ทุก 4 วัน
      4. สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพ เช่น โทลเฟนไขแรด 16% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 6 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบกลุ่มไข่เฉลี่ย 0.5 กลุ่มต่อ 1 ตารางเมตร โดยการสุ่มนับแบบทแยงมุม 25 จุดต่อไร่ พ่นจนกว่าการทำลายจะลดลงต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์

      อ่านต่อ
      วันที่ 30 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      โรคพืช
      📰 เตือนเกษตรกรระวังหนอนแมลงวันชอนใบและโรคเหี่ยวเขียวในมะเขือเทศ

      แจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศให้หมั่นสำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากช่วงนี้พบการระบาดของหนอนแมลงวันชอนใบ และโรคเหี่ยวเขียวจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญที่สร้างความเสียหายต่อผลผลิต หากปล่อยให้ระบาดรุนแรงอาจทำให้ต้นมะเขือเทศเหี่ยวตายทั้งแปลงได้


      🐛1. หนอนแมลงวันชอนใบ (Leafminer fly)
      ลักษณะอาการ หนอนของแมลงชนิดนี้จะชอนไชอยู่ในเนื้อเยื่อใบ เกิดเป็นรอยเส้นสีขาวคดเคี้ยว เมื่อระบาดมากใบจะเสียหาย เหลืองและร่วงหล่น ทำให้ต้นอ่อนแอและให้ผลผลิตลดลง
      แนวทางการป้องกันและกำจัด
      1. สำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะใบอ่อน หากพบรอยเส้นขาวหรือหนอนโปร่งแสงภายในใบ ให้รีบเก็บทำลาย
      2. เผาทำลายเศษใบที่ถูกทำลาย** เนื่องจากดักแด้ของหนอนมักอยู่ตามเศษใบ หากเผาจะช่วยตัดวงจรแมลงและลดการระบาดรุ่นต่อไป
      3. พ่นสารกำจัดแมลงอย่างถูกวิธีและหมุนเวียนสารออกฤทธิ์ เพื่อป้องกันการดื้อยา โดยสามารถใช้สารดังนี้
      * อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
      * อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
      * โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
      * เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
      พ่นเมื่อพบการระบาด โดยพ่น 2 ครั้งติดต่อกัน ห่างกันทุก 5 วัน
      4. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีซ้ำกลุ่มเดิมบ่อย ๆ เพื่อป้องกันแมลงสร้างความต้านทาน
      5. ส่งเสริมให้ใช้ชีวภัณฑ์หรือศัตรูธรรมชาติ เช่น ตัวห้ำและตัวเบียน เพื่อช่วยควบคุมแมลงในระยะยาว

      🌱 2. โรคเหี่ยวเขียว (Bacterial Wilt) จากเชื้อ Ralstonia solanacearum
      ลักษณะอาการ ต้นมะเขือเทศที่ติดเชื้อจะเริ่มเหี่ยวจากใบล่างก่อน ใบเหลือง ขอบใบม้วนลง เมื่อตัดลำต้นแช่น้ำจะเห็นเมือกสีขาวขุ่นไหลออกมา อาการจะลามขึ้นสู่ยอดจนเหี่ยวทั้งต้นและตายในที่สุด
      แนวทางการป้องกันและกำจัด
      1. เลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยมีประวัติโรคระบาด และมีระบบระบายน้ำดี ไม่ชื้นแฉะ
      2. เตรียมดินก่อนปลูกให้สะอาด
      * ไถพรวนลึกกว่า 20 เซนติเมตร แล้วตากดินไว้ 2 สัปดาห์ เพื่อฆ่าเชื้อโรคตามธรรมชาติ
      * หากพื้นที่เคยมีการระบาด ให้ หว่านยูเรียผสมปูนขาว (อัตรา 80:800 กก./ไร่) แล้วไถกลบ รดน้ำให้ชื้น ทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ก่อนปลูก
      3. หมั่นตรวจแปลงเป็นประจำ หากพบต้นที่แสดงอาการเหี่ยวให้ขุดถอนทั้งต้นไปเผาทำลายนอกแปลงทันที
      4. โรยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุดต้นออก เพื่อฆ่าเชื้อที่อาจเหลืออยู่ในดิน
      5. ฆ่าเชื้อเครื่องมือเกษตรก่อนใช้งานทุกครั้งด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือคลอรอกซ์ 10%
      6. ควบคุมความชื้นในดิน โดยปรับระบบให้น้ำไม่ให้แฉะเกินไป เพราะความชื้นสูงจะส่งเสริมการเจริญของเชื้อ
      7. ไม่ปลูกพืชอาศัยของเชื้อในพื้นที่ที่เคยระบาด เช่น มะเขือ พริก ขิง ถั่วลิสง
      8. หลังเก็บเกี่ยวให้เผาทำลายซากพืช และหมุนเวียนปลูกพืชที่ไม่เป็นพืชอาศัย เช่น ข้าวโพด ฝ้าย หรือถั่วเหลือง อย่างน้อย 1 ปี

      ✅ ข้อควรปฏิบัติ
      * ตรวจแปลงบ่อย สังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
      * เผาทำลายเศษพืชหรือต้นที่ติดโรคทันที
      * ใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีและสลับกลุ่มสาร
      * ควบคุมความชื้นและสุขอนามัยในแปลงปลูก
      * หมุนเวียนพืชเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อ


      อ่านต่อ
      วันที่ 30 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      🌾 เตือนเกษตรกรระวังมวนถั่วเหลืองระบาดในช่วงฝักเต็ม-ฝักแก่

      ช่วงนี้สภาพอากาศในหลายพื้นที่ของประเทศมีอากาศเย็นในตอนเช้าและมีฝนตกบางแห่ง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการแพร่ระบาดของ มวนถั่วเหลือง (Riptortus linearis)
      กรมวิชาการเกษตรเตือนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองให้เฝ้าระวัง โดยเฉพาะแปลงที่อยู่ในระยะ ฝักเต็มถึงฝักแก่ ซึ่งเป็นช่วงที่มวนเข้าทำลายมากที่สุด
      🐞 ลักษณะการทำลาย
      1. ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของมวนถั่วเหลืองจะ ดูดน้ำเลี้ยงจากใบ ลำต้น ดอก และฝัก
      2. ฝักอ่อนที่ถูกทำลายจะ ลีบ แห้ง หรือร่วงหล่นก่อนแก่
      3. ผลที่เหลืออยู่มักมีเมล็ดลีบ น้ำหนักลดลง ส่งผลให้ ผลผลิตโดยรวมลดลงอย่างมาก
      4. มวนชนิดนี้มักออกหากินในช่วงเช้าและเย็น และมักอาศัยอยู่ใต้ใบหรือตามพุ่มต้น ทำให้ตรวจพบได้ยากหากไม่สำรวจอย่างใกล้ชิด
      แนวทางการป้องกันและกำจัด
      🔹 1. การป้องกันเบื้องต้น
      หมั่น สำรวจแปลงถั่วเหลืองเป็นประจำ โดยเฉพาะในระยะที่ต้นเริ่มติดฝัก
      กำจัดวัชพืชรอบแปลง ที่อาจเป็นแหล่งอาศัยของมวน เช่น ถั่วป่า หรือหญ้ารก
      เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ควร ไถกลบซากพืชทันที เพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์
      🔹 2. การพ่นสารกำจัดแมลง (เมื่อพบการระบาด)
      ให้พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร โดย เลือกใช้สลับกลุ่มสารออกฤทธิ์ เพื่อลดการดื้อยา เช่น

       

      🌱 การดูแลหลังการพ่นยา
      หลังพ่นควรสำรวจซ้ำอีกครั้งใน 3–5 วัน เพื่อประเมินประสิทธิภาพ
      หากยังพบตัวเต็มวัย ให้เปลี่ยนกลุ่มสารออกฤทธิ์
      ไม่ควรพ่นสารเกินความจำเป็น เพื่อป้องกันผลกระทบต่อศัตรูธรรมชาติ เช่น ตัวห้ำตัวเบียน

      ✅ สรุปข้อควรปฏิบัติสำหรับเกษตรกร
      ตรวจแปลงถั่วเหลืองทุกสัปดาห์ในช่วงติดฝัก
      ทำลายวัชพืชและซากพืชหลังเก็บเกี่ยวทันที
      พ่นสารเคมีเมื่อพบการระบาด และสลับกลุ่มสารทุกครั้ง
      ใช้อุปกรณ์ป้องกันและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างปลอดภัย


      อ่านต่อ
      วันที่ 30 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      ระวังโรคลำต้นเน่าในปาล์มน้ำมัน

      สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ในระยะ ต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือปาล์มที่ปลูกซ้ำแปลงเดิม รับมือโรคลำต้นเน่า (เชื้อรา Ganoderma boninense)

      ระยะแรกไม่พบลักษณะอาการผิดปกติของต้นปาล์มน้ำมัน ต่อมาจะพบอาการใบมีสีซีดกว่าปกติและแห้ง ทางใบล่างหักพับทิ้งตัวห้อยลงรอบ ๆ ลำต้น ทางยอดที่ยังไม่คลี่มีจำนวนมากกว่าปกติ บริเวณโคนต้นจะหักพับทำให้ต้นล้ม บางต้นยืนต้นตาย ภายในลำต้นพบเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรค ลำต้นกลวงเนื้อเยื่อภายในผุเปื่อย เปลือกรากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อเยื่อภายในรากเปลี่ยนเป็นสีดำ ที่โคนต้นหรือรากบริเวณผิวดินจะพบดอกเห็ดซึ่งเกิดจากเชื้อสาเหตุโรค

      แนวทางป้องกันกำจัด
      1. ตรวจสอบต้นที่คาดว่าจะเป็นโรคโดยใช้ไม้เคาะลำต้นเพื่อฟังเสียงบริเวณโคนต้นที่ถูกทำลาย ซึ่งจะมีเสียงโปร่งไม่แน่นทึบเหมือนต้นปกติ
      2. ตรวจหาดอกเห็ดบริเวณโคนต้นและราก เก็บดอกเห็ดซึ่งเป็นส่วนของเชื้อราสาเหตุโรคที่พบ นำไปทำลายนอกแปลงปลูก
      3. ขุดหลุมรอบ ๆ ต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปยังต้นปกติ
      4. ต้นที่มีอาการรุนแรง หรือตายให้ขุดล้อมต้นออกไปทำลายนอกแปลงปลูก
      5. สังเกตต้นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต้นที่เป็นโรค หากพบเริ่มมีอาการของโรคให้รีบป้องกันกำจัด
      6. แปลงที่มีการระบาดของโรค หากปลูกใหม่ควรใช้พันธุ์ต้านทานโรค


      อ่านต่อ
      วันที่ 24 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      🚨 ระวัง! หนอนคืบกินใบเงาะ

      ช่วงอากาศร้อนสลับฝนตก เสี่ยงระบาดมาก 🌿 ระยะวิกฤต ต้นเงาะแตกใบอ่อน มีใบอ่อนและใบแก่ผสมกัน
      หนอนคืบกัดกินทั้งใบเพสลาดและใบแก่ → ทำให้พืชปรุงอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการเจริญเติบโต

      ✅ แนวทางป้องกันกำจัด

      1. เขย่ากิ่ง – จับหนอนทำลาย

        ถ้าโคนต้นโล่ง ไม่มีหญ้ารก → เขย่ากิ่งให้หนอนตก แล้วจับทำลาย

      2. ใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย (เมื่อจำเป็น)

        หากพบหนอนระบาด ช่วงแตกใบอ่อน

        → พ่น สารคาร์บาริล 85% WP

        🔸 อัตรา: 60 กรัม / น้ำ 20 ลิตร

      📌 คำแนะนำ ตรวจแปลงบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังฝนตก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีโดยไม่จำเป็น


      อ่านต่อ
      วันที่ 22 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      แจ้งเตือนภัยการเกษตร ระวังโรคแอนแทรคโนส/โรคกุ้งแห้งในพริก

      พืชเสี่ยง พริกทุกระยะการเจริญเติบโต โดยเฉพาะระยะผลเริ่มสุก/ก่อนเปลี่ยนสี
      สาเหตุโรค เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici
      สภาพอากาศเอื้อต่อการระบาด อากาศร้อน ความชื้นสูง มีฝน/ฝนตกหนักเป็นช่วง ๆ
      ระดับความเสี่ยงสูง ในแปลงที่ชื้น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือมีประวัติโรคเดิม


      อาการเฝ้าระวัง
      * จุด/แผลช้ำยุบเล็กน้อยบนผล → ขยายเป็นวงรี/วงกลม
      * มีตุ่มสีดำเล็ก ๆ เรียงเป็นวงซ้อนกัน
      * อากาศชื้นเห็นเมือกเยิ้มสีส้มอ่อน (กลุ่มสปอร์)
      * อาการรุนแรงผลเน่า โค้งงอ บิดเบี้ยวคล้าย “กุ้งแห้ง” และร่วงก่อนเก็บเกี่ยว

      แนวทางรับมือ
      1. คัดทิ้งและทำลาย ผล/ส่วนที่เป็นโรค ออกนอกแปลง ลดแหล่งเชื้อ
      2. ลดความชื้นในแปลง ตัดแต่งกิ่งใบแน่น จัดการวัชพืช เปิดทางลม ระบายน้ำหลังฝน
      3. พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบสลับกลุ่มฤทธิ์ (ตามฉลาก และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล)
      * อะซอกซีสโตรบิน 25% SC 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
      * แมนโคเซบ 80% WP 40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
      * โพรคลอราซ 50% WP 20–30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
      * ความถี่ ทุก 5–7 วัน ในช่วงสภาพอากาศเสี่ยงหรือพบอาการ
      หมายเหตุ หมุนเวียนสารต่าง “กลุ่มฤทธิ์” เพื่อลดดื้อยา และปฏิบัติตามฉลากเรื่องระยะเว้นก่อนเก็บเกี่ยว

      การป้องกันเชิงระบบ (ระยะสั้น–กลาง)
      - เมล็ด/ต้นกล้า เลือกจากแหล่งปลอดโรค หรือแช่น้ำอุ่น ~50°C 20–25 นาที ก่อนเพาะ
      - ระยะปลูก จัดให้โปร่ง ไม่ชิดเกินไป ลดการค้างน้ำและไอน้ำในทรงพุ่ม
      - สุขอนามัยแปลง เก็บซากพืชป่วยออกจากแปลง สะอาดถัง/ตะกร้าเก็บเกี่ยว
      - หมุนเวียนพืช พื้นที่ระบาดหนัก ควรปลูกพืชชนิดอื่นตัดวงจรโรค

      เช็กลิสต์ตรวจแปลง (ใช้หลังฝนทุกครั้ง)
      [ ] ใบ/ผลมีจุดช้ำยุบหรือไม่
      [ ] พบเมือกสีส้มอ่อนหรือไม่
      [ ] พุ่มแน่น อับลมหรือไม่
      [ ] พื้นแปลงชื้นแฉะ/มีน้ำขังหรือไม่
      [ ] อุปกรณ์เก็บเกี่ยวสะอาดหรือไม่

      > เคล็ดลับจัดการช่วงฝน พ่นสารช่วงใบ/ผลแห้ง ลดชั่วโมงใบเปียก, ติดตามพยากรณ์ฝน, จัดร่องระบายน้ำให้ไหลออกเร็ว

       


      อ่านต่อ
      วันที่ 6 ตุลาคม 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      เตือนผู้ปลูกมะพร้าว ระวังหนอนหัวดำมะพร้าวระบาดช่วงอากาศร้อน-ฝนตก
      เตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวที่ยังไม่ให้ผลผลิตและที่ให้ผลผลิตแล้ว ให้เฝ้าระวังการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศร้อน สลับฝนตกหนักหลายพื้นที่
      ลักษณะการทำลาย
      หนอนหัวดำมะพร้าวจะกัดกินผิวใบบริเวณใต้ทางใบ
      ถักใยผสมกับมูลที่ถ่ายออกมา สร้างเป็นอุโมงค์เพื่ออาศัยและกินผิวใบต่อเนื่อง
      มักพบทำลายใบแก่ และหากรุนแรงจะลุกลามไปถึงก้านทางใบ จั่น และผลมะพร้าว
      ต้นที่ถูกทำลายหลายใบ ใบจะถูกรวบเป็นแพ ทำให้แสงสังเคราะห์ลดลง จนต้นโทรมและอาจตายได้
      แนวทางป้องกันกำจัด
      1. เมื่อพบการระบาดน้อยถึงปานกลาง
      เขตกรรม ตัดทางใบที่ถูกทำลายลงมาแล้วนำไปฝังกลบหรือจมน้ำทันที
      ชีวภัณฑ์ ใช้เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis พ่นทางใบอัตรา 80-100 มล./น้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน ติดต่อกัน 3 ครั้ง
      ชีววิธี ปล่อยแตนเบียน เช่น Goniozus nephantidis (200 ตัว/ไร่) หรือ Brachymeria nephantidis (120 ตัว/ไร่) ในช่วงเย็น ติดต่อกัน 4 ครั้ง
      2. เมื่อพบการระบาดรุนแรง
      - ต้นสูง < 4 เมตร พ่นสารเคมี เช่น ฟลูเบนไดอะไมด์, คลอแรนทรานิลิโพรล, สปินโนแสด (ระวังพิษต่อผึ้ง) หรือ ลูเฟนนูรอน (พิษสูงต่อกุ้ง) ให้ทั่วทรงพุ่ม
      - ต้นสูง 4-12 เมตร ฉีดเข้าลำต้นด้วยสาร อีมาเมกติน เบนโซเอต 5 มล./ต้น หรือ อะบาเมกติน 15 มล./ต้น
      - ต้นสูง > 12 เมตร เพิ่มปริมาณเป็น อีมาเมกติน เบนโซเอต 10 มล./ต้น หรือ อะบาเมกติน 30 มล./ต้น โดยเจาะรู 1-2 รู เอียง 45° ที่ความสูง 0.5-1 เมตร จากพื้น ใส่สารแล้วอุดด้วยดินน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วซึม มีประสิทธิภาพยาวนาน 90 วัน

       


      อ่านต่อ
      วันที่ 26 กันยายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      ศัตรูพืช
      ประกาศเตือนภัยการเกษตร เรื่อง การระบาดของไรกระเทียม ในพื้นที่ปลูกกระเทียม

      ช่วงนี้มีฝนตกกระจายและบางพื้นที่ตกหนัก ส่งผลให้ไรกระเทียมระบาดได้ง่าย ขอให้เกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมระมัดระวัง เนื่องจากสามารถทำลายได้ทั้ง ระยะต้นกล้า-ปลูกลงดิน และระยะหลังเก็บเกี่ยว

      อาการที่พบ
      * ใบมีด่างสีขาว/เหลืองเป็นหย่อม โดยเฉพาะขอบใบ
      * ใบพับเข้าหากัน ปลายใบม้วนงอพันกัน
      * ใบอ่อนด่างขาว บิดเป็นคลื่น ไม่ยืดตรง
      * ระยะลงหัว → หัวเล็ก ไม่สมบูรณ์
      * หลังเก็บเกี่ยว → ไรย้ายมาทำลายหัวกระเทียม ทำให้กลีบแห้ง เหี่ยว เปลี่ยนเป็นเหลือง–น้ำตาล และฝ่อเสียหาย

      แนวทางป้องกัน
      1. คัดเลือกพันธุ์
      * ใช้หัวพันธุ์สมบูรณ์ จากแหล่งที่ไม่เคยมีการระบาด
      * แยกเก็บหัวพันธุ์ออกจากหัวที่บริโภค
      2. จัดการแปลง
      * กำจัดวัชพืชในแปลงและคันนา ก่อนปลูก
      3. สำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ
      * เริ่มตรวจเมื่อกระเทียมอายุ 3 สัปดาห์
      * หากพบใบเหลือง–ม้วนงอเกิน 25% → พ่นสารฆ่าไร พร้อมสารจับใบ
      * ตรวจทุก 14 วัน และพ่นซ้ำหากยังพบการระบาด
      สารที่แนะนำ
      * อะมิทราซ 20% EC อัตรา 40 มล./น้ำ 20 ลิตร
      * กำมะถันผง 80% WP อัตรา 55–70 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
      * ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 30 มล./น้ำ 20 ลิตร
      4. ป้องกันช่วงเก็บรักษา
      * แขวนหัวกระเทียมให้แห้ง แล้วรมด้วยอลูมิเนียมฟอสไฟด์ (ฟอสฟีน)
      * อัตรา 1 เม็ด/1 ลบ.ม. คลุมด้วยพลาสติก รมทิ้งไว้ 5 วัน
      * ถ้าเป็นหัวพันธุ์ → ควรรมซ้ำอีก 1 ครั้ง ก่อนนำไปปลูก

      ข้อควรระวัง
      * อะลูมิเนียมฟอสไฟด์/ฟอสฟีน เป็นสารพิษอันตราย
      * หลีกเลี่ยงการสูดดม ขณะเปิดผ้าพลาสติกต้องทำในที่โล่ง อากาศถ่ายเท

      📢 ขอให้เกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมในทุกพื้นที่เฝ้าระวังและดำเนินการตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสียหายต่อผลผลิต


      อ่านต่อ
      วันที่ 18 กันยายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคสัตว์
      📢 ประกาศแจ้งเตือนภัยการเกษตร เรื่อง เฝ้าระวังเชื้อไข้หวัดนก (H5N1) ในโคนม

      กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ได้ยืนยันการพบเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในฝูงโคนมที่รัฐเนบราสกาเป็นครั้งแรก (กันยายน 2568) โดยพบเชื้อจากตัวอย่างนมดิบ ก่อนการเคลื่อนย้ายโคนม ฟาร์มที่พบเชื้อถูกกักกันทันที และมีการสอบสวน–เก็บข้อมูลเพิ่มเติม แม้การระบาดในโคนมไทยยังไม่พบรายงาน แต่เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยง เกษตรกรควรเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและป้องกัน
      ✅ แนวทางป้องกันและเฝ้าระวังในฟาร์มโคนม
      1. เพิ่มมาตรการชีวอนามัย (Biosecurity)
      * จำกัดการเข้าออกของบุคคลและยานพาหนะในฟาร์ม
      * ล้างมือและฆ่าเชื้อรองเท้า/อุปกรณ์ก่อนเข้าพื้นที่เลี้ยง
      2. เฝ้าสังเกตอาการโคนม
      * หากพบอาการผิดปกติ เช่น นมมีลักษณะข้น สีเปลี่ยน หรือโคนมกินอาหารลดลง ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์
      3. การจัดการน้ำนม
      * ห้ามบริโภคนมดิบ (Raw milk) ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
      * ควรส่งนมเข้ากระบวนการ **พาสเจอไรซ์** เพื่อความปลอดภัย
      4. ติดตามข่าวสารการระบาด
      * อัปเดตข้อมูลจากกรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
      * ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการเคลื่อนย้ายสัตว์อย่างเคร่งครัด

      ⚠️ H5N1 พบในโคนมต่างประเทศแล้ว แม้ไทยยังไม่พบ แต่เกษตรกรโคนมควรเฝ้าระวังเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องการจัดการน้ำนมและมาตรการชีวอนามัย เพื่อรักษาความปลอดภัยของฟาร์มและผู้บริโภค


      อ่านต่อ
      วันที่ 18 กันยายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      ชี้เกษตรกรเฝ้าระวังโรคเหี่ยวเขียวในมะเขือเทศช่วงหน้าฝน

      ช่วงสภาพอากาศฝนตกชุกและฟ้าคะนองในหลายพื้นที่ เป็นช่วงเสี่ยงที่มะเขือเทศอาจเผชิญโรค เหี่ยวเขียวหรือเหง้าเน่า ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum โรคนี้สามารถเกิดได้ทุกระยะการเจริญเติบโตและสร้างความเสียหายรุนแรงจนต้นมะเขือเทศตายในที่สุด

      อาการสำคัญ
      - ใบล่างเหี่ยวลู่ลง ใบแก่เหลือง ขอบใบม้วนลง
      - ช่วงแรกเหี่ยวเฉพาะตอนกลางวัน สุดท้ายเหี่ยวถาวรจนลามถึงยอด
      - เมื่อถอนต้น พบว่ารากเน่า และเมื่อตัดลำต้นแช่น้ำ จะมีเมือกสีขาวขุ่นไหลออกมา
      - ต้นที่อาการรุนแรงจะกลวงภายในจากการถูกทำลายของเนื้อเยื่อ

      แนวทางป้องกันและแก้ไข
      - เลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยมีการระบาด และมีการระบายน้ำดี
      - อบดินฆ่าเชื้อด้วยยูเรีย (80 กก./ไร่) ร่วมกับปูนขาว (800 กก./ไร่) ทิ้งไว้ 2–3 สัปดาห์ก่อนปลูก
      - ทำความสะอาดอุปกรณ์ด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือคลอรอกซ์ 10% ทุกครั้งก่อนใช้
      - ตรวจแปลงสม่ำเสมอ หากพบต้นเป็นโรคให้ขุดออกไปทำลายนอกแปลงและโรยปูนขาวในหลุม
      - หลีกเลี่ยงปลูกพืชอาศัย เช่น พืชตระกูลมะเขือ พริก ขิง และถั่วลิสง ใกล้แปลงปลูก
      - ปรับระบบให้น้ำ ไม่ให้ดินชื้นเกินไป
      - ใช้การปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่เป็นพืชอาศัย เช่น ข้าวโพด ข้าว ฝ้าย หรือถั่วเหลือง อย่างน้อย 1 ปี

       


      อ่านต่อ
      วันที่ 16 กันยายน 2568
      screen_shareแชร์
    • แจ้งเตือน
      โรคพืช
      🚨 แจ้งเตือนภัยทางการเกษตร โรคเหี่ยวหรือเหง้าเน่าในขิง

      สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum
      🌦 สภาพอากาศเสี่ยง
      * อากาศร้อนชื้น และฝนตกหนักบางพื้นที่
      * ทุกช่วงการเจริญเติบโตของขิงมีความเสี่ยง

      🛑 อาการของโรค
      * ใบม้วนห่อ สีซีด เหลือง และแห้ง
      * โคนต้นฉ่ำน้ำ ลำต้นเน่า หลุด/หักจากเหง้าได้ง่าย
      * ไม่มี “กลิ่นเหม็น” (ต่างจากเชื้อรา)
      * ท่อลำเลียงสีน้ำตาลเข้ม
      * เมื่อตัดลำต้นแช่น้ำ 5–10 นาที มีของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนมไหลออก

      ✅ แนวทางป้องกัน
      1. เลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยระบาด และระบายน้ำได้ดี
      2. ไถพรวนลึก >20 ซม. ตากดิน 2 สัปดาห์
      3. แปลงเคยระบาด → ผสม **ยูเรีย : ปูนขาว** อัตรา 80:800 กก./ไร่ ไถกลบ + รดน้ำ ทิ้งไว้ 3–4 สัปดาห์ ก่อนปลูกใหม่
      4. ใช้หัวพันธุ์ปลอดโรค
      5. ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
      * พบต้นเป็นโรค → ขุดทำลายนอกแปลง + โรยปูนขาว
      6. หลังเก็บเกี่ยว → เผาทำลายซากพืชที่เป็นโรค
      7. หลีกเลี่ยงปลูกพืชอาศัย (ขิง มะเขือ พริก มันฝรั่ง ถั่วลิสง)
      * แนะนำสลับปลูกกับพืชไม่ใช่พืชอาศัย (ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง)


      อ่านต่อ
      วันที่ 15 กันยายน 2568
      screen_shareแชร์
    แสดง 1 - 20 จาก 345
    หน้า
    ศูนย์สนเทศทางการเกษตรแห่งชาติ ศูนย์ประสานงานสารนิเทศ สาขาเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    ตู้ ปณ. 1084 ปทฝ. เกษตรศาสตร์ ถ.งามวงศ์วาน ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพฯ 10903
    โทรศัพท์ 0-2942-8616 ต่อ 333, 345, 346 โทรสาร 0-2940-6688 อีเมล kulibagkc@gmail.com
    © 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
    forumถามกูรู