แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่

แสดง 1 - 20 จาก 295
หน้า
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูสัตว์
    ประกาศแจ้งเตือนภัย เรื่องโรคลิชมาเนียจากริ้นฝอยทราย

    📢 ประกาศแจ้งเตือนภัยสุขภาพ ระวัง! ริ้นฝอยทรายพาหะโรคลิชมาเนีย ภัยเงียบที่อาจถึงชีวิต 

    ภาพริ้นฝอยทรายเพศเมีย ขณะกำลังดูดเลือดมนุษย์

    กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังโรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis) หลังพบผู้ป่วยในประเทศไทยแล้ว 2 รายในปี 2568 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ภาพริ้นฝอยทรายเพศเมีย ขณะกำลังดูดเลือดมนุษย์

    โรคลิชมาเนีย เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว Leishmania spp. ซึ่งแพร่กระจายผ่านการกัดของริ้นฝอยทราย (Sand fly) แมลงขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร มักพบในบริเวณที่ชื้น รกทึบ เช่น ป่ารก ซอกหิน หรือคอกสัตว์

    อาการที่ควรระวัง ตุ่มแดง คัน หรือแผลเรื้อรังที่ไม่หาย หากเชื้อรุนแรง อาจมีภาวะซีด ตับ-ม้ามโต และอันตรายถึงชีวิต

    วิธีป้องกัน
    ✅ สวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาว โดยเฉพาะเวลากลางคืน
    ✅ ใช้ยาทากันแมลงทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
    ✅ นอนในมุ้งตาข่ายที่มีรูละเอียด
    ✅ กำจัดแหล่งหลบซ่อนของแมลงรอบบ้าน เช่น กองไม้ กอหญ้า คอกสัตว์

    ข้อควรรู้
    1. ริ้นฝอยทรายตัวเมียเป็นพาหะในการแพร่เชื้อ
    2. เชื้อสามารถอยู่ในตัวแมลงได้นาน 10 วัน และฟักตัวในร่างกายมนุษย์หลังถูกกัด
    💡 แม้ตัวจะเล็ก...แต่ภัยไม่เล็ก! อย่าชะล่าใจ

    หากพบอาการผิดปกติของผิวหนังที่ไม่หายภายในระยะเวลาอันควร ควรรีบพบแพทย์ทันที สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 6 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ประกาศแจ้งเตือนภัยทางการเกษตร: การระวังโรคผลแกนในสับปะรดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

    เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้มีความร้อน แห้งแล้ง และมีฝนตก ผู้ปลูกสับปะรดควรระวังโรคผลแกนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีลักษณะอาการดังนี้

    ลักษณะอาการ

    • ภายนอกผล: ผลสับปะรดดูปกติ แต่เมื่อเคาะผลจะมีเสียงแตกต่างจากผลปกติ
    • ภายในผล: เนื้อเริ่มแรกเป็นสีขาว ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือแดง เนื้อกรอบและแข็งเป็นไต กระจายทั่วทั้งผล

    แนวทางป้องกันและกำจัด

    1. ควรมีระบบการให้น้ำและการระบายน้ำที่ดี
    2. ไม่ควรให้สับปะรดขาดน้ำเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในช่วงแล้ง ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและพ่นโพแทสเซียมคลอไรด์หลังการบังคับดอก 90-105 วัน โดยใช้อัตรา 1 กิโลกรัม/น้ำ 20 ลิตร
    3. ไม่ควรปลูกสับปะรดให้มีระยะเก็บเกี่ยวในช่วงแล้ง
    4. หลีกเลี่ยงการให้ปุ๋ยมากเกินไปเพื่อเร่งความหวาน ซึ่งมีส่วนทำให้โรคระบาดรุนแรงมากขึ้น

    ขอให้ผู้ปลูกสับปะรดทุกท่านปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคผลแกนในสับปะรด


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ทรัพยากรน้ำ
    ระดับน้ำเขื่อนเจ้าพระยาต่ำกว่าเกณฑ์ เตือนชะลอทำนา หวั่นน้ำไม่พอ

    สถานการณ์น้ำในเขื่อนเจ้าพระยา ณ ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา พบว่าระดับน้ำเหนือเขื่อนยังคงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แม้จะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทางตอนบนของประเทศ ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายังคงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน

    การปรับลดการระบายน้ำ เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับลดการระบายน้ำจาก 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลงมาอยู่ที่ 70 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อรักษาระบบนิเวศลำน้ำและผลักดันน้ำเค็มปากแม่น้ำ ขณะที่ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงเล็กน้อย ทำให้สามารถมองเห็นสันดอนทรายโผล่พ้นน้ำขึ้นมาจนสามารถเดินข้ามไปมาได้ในหลายจุด

    ประกาศเตือนจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานราชการในพื้นที่ได้ออกประกาศเตือนเกษตรกรให้ชะลอการทำนาปลูกข้าวออกไปก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในเกณฑ์น้อย ประกอบกับภาวะฝนทิ้งช่วงในพื้นที่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่นาข้าวจะเสียหายจากภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม พบว่ามีชาวนาจำนวนมากที่เริ่มไถดินเตรียมปลูกข้าวนาปีกันแล้ว เนื่องจากมั่นใจว่าฝนปีนี้จะมาตามกำหนดในเดือนพฤษภาคม


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวและพืชตระกูลปาล์มระวังด้วงแรดมะพร้าวระบาด

    ด้วงแรดมะพร้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryctes rhinoceros (Linnaeus)
    🔸การเข้าทำลาย ตัวเต็มวัยกัดเจาะโคนทางใบมะพร้าวทำให้ทางใบหัก และกัดเจาะทำลายยอดอ่อนทำให้ทางใบที่เกิดใหม่ไม่สมบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็นริ้วๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยม บริเวณรอยแผลที่ถูกด้วงแรดกัดทำให้ด้วงงวงเข้ามาวางไข่ หรือเป็นสาเหตุให้เกิดโรคยอดเน่าจนถึงตายได้ในที่สุด
    🔸พืชอาหาร ได้แก่ มะพร้าว พืชตระกูลปาล์ม
    🔸ฤดูการระบาด ระบาดตลอดทั้งปี โดยด้วงแรดผสมพันธ์และวางไข่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ‼️และมักพบความเสียหายในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม‼️


    🌴การป้องกันกำจัด
    1️⃣วิธีเขตกรรม กำจัดแหล่งขยายพันธุ์ ดังนี้
    🔸ฝังซากลำต้นหรือตอของมะพร้าว
    🔸️เกลี่ยกองซากพืช กองมูลสัตว์ให้กระจายออก โดยมีความสูงไม่เกิน 15 ซม.
    🔸หมั่นพลิกกลับกองมูลสัตว์ หรือนำใส่ถุงปุ๋ยผูกปากให้แน่น และนำไปเรียงซ้อนกันไว้
    2️⃣วิธีกล
    🔸หมั่นทำความสะอาดบริเวณคอมะพร้าวตามโคนทางใบ หากพบรอยแผลเป็นรูใช้เหล็กแหลมแทงหาด้วงแรดเพื่อกำจัด
    🔸ใช้กับดักฟีโรโมนล่อจับตัวเต็มวัยและนำมาทำลาย
    3️⃣ชีววิธี ทำกองล่อให้ตัวเต็มวัยมาไข่ เมื่อเจริญเป็นตัวอ่อน
    ใช้เชื้อราเมตาไรเซียมโรย หรือคลุกเพื่อทำลาย
    4️⃣การใช้สารเคมี โดยเลือกสารใดสารหนึ่ง ดังนี้ ไดอะซินอน 60% EC หรือคาร์โบซัลแฟน 20% EC อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ราดบริเวณคอหรือยอดมะพร้าว โดยใช้ปริมาณ 1-1.5 ลิตร ทุกๆ 15-20 วัน ควรใช้ 1-2 ครั้งช่วงระบาด


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    สวนเงาะติดผลอ่อนให้ระวังโรคราดำ

    คำแนะนำสำหรับเกษตรกรชาวสวนเงาะ ในช่วงที่อากาศร้อน มีลมกระโชกแรง และมีฝนตกในบางพื้นที่ ขอแนะนำให้เกษตรกรชาวสวนเงาะเฝ้าระวังการเกิดโรคราดำ ซึ่งมักพบในระยะที่ต้นเงาะเริ่มติดผลอ่อน โดยโรคราดำจะมีคราบราสีดำติดตามส่วนต่าง ๆ ของต้นเงาะ เช่น ใบ กิ่ง ก้านดอก ช่อดอก ขั้วผล และร่องขน หากมีคราบราดำบนใบ จะส่งผลให้พืชรับแสงได้ไม่เพียงพอ หากคราบราดำปกคลุมช่อดอก จะทำให้ไม่สามารถผสมเกสรได้และมีดอกร่วง หากคราบราดำปกคลุมผล จะทำให้ผิวผลไม่สวยและจำหน่ายไม่ได้ราคา

    แนวทางการป้องกันโรคราดำ

    1. พ่นน้ำเปล่า: หากพบโรค ให้พ่นน้ำเปล่าล้างคราบราดำที่ติดตามส่วนต่าง ๆ ของต้นเงาะ เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค
    2. กำจัดวัชพืช: หมั่นตรวจและกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก นำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความชื้นสะสมและทำลายแหล่งอาศัยของแมลงปากดูด
    3. พ่นสารกำจัดแมลง: หากพบเพลี้ยแป้ง ให้พ่นด้วยสารกำจัดแมลงคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หลีกเลี่ยงการพ่นสารในช่วงที่ดอกเงาะบานหรือเริ่มติดผลอ่อน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแมลงช่วยผสมเกสร
    4. ตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งเงาะเพื่อลดปริมาณมด จากนั้นใช้เศษผ้าชุบน้ำมันเครื่องผูกรอบโคนต้น เพื่อป้องกันมดและเพลี้ยแป้งที่อาศัยอยู่ในดินไต่ขึ้นมาบนต้นเงาะ
    5. ทำความสะอาดเครื่องมือ: เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ใช้ในแปลงที่มีการระบาด ควรนำมาทำความสะอาดด้วยการล้างและผึ่งแดดให้แห้งก่อนนำกลับไปใช้ในแปลงทุกครั้ง

    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    คำแนะนำสำหรับเกษตรกรชาวสวนเงาะในการรับมือแมลงค่อมทอง

    ช่วงที่อากาศเย็นและมีหมอกในตอนเช้า ขอเตือนผู้ปลูกเงาะให้เฝ้าระวังแมลงค่อมทอง โดยเฉพาะในระยะเตรียมต้นก่อนการออกดอก แมลงค่อมทองตัวเต็มวัยจะกัดกินใบ ยอดอ่อน และดอก ใบที่ถูกทำลายจะมีลักษณะเว้าแหว่ง หากระบาดรุนแรงจะเหลือแต่ก้านใบ และมีมูลที่ถ่ายออกมาปรากฏตามบริเวณยอด

    ลักษณะของแมลงค่อมทองตัวเต็มวัย
    - ตัวเต็มวัยเป็นระยะที่สำคัญที่สุด เพราะกัดกินส่วนต่าง ๆ ของพืช
    - สีของตัวเต็มวัยจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม จึงพบมีหลายสี เช่น สีเหลือง สีเทา สีดำ และสีเขียวปนเหลือง
    - มักพบเป็นคู่หรือรวมกันเป็นกลุ่มบนใบ
    - เมื่อถูกกระทบกระเทือน แมลงค่อมทองจะทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน

    แนวทางป้องกัน
    1. ใช้ผ้าพลาสติกรองใต้ต้น: ตัวเต็มวัยของแมลงค่อมทองมีอุปนิสัยชอบทิ้งตัวเมื่อกระทบกระเทือน ใช้ผ้าพลาสติกรองใต้ต้นแล้วเขย่าต้น ตัวเต็มวัยจะหล่นลงมา จากนั้นรวบรวมนำไปทำลาย
    2. พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชบริเวณที่พบการระบาด ควรพ่นด้วยสารคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์โบซัลแฟน 20% อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วในระยะที่เงาะแตกใบอ่อน 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 10-14 วัน


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ความผิดปกติของพืช
    ปัญหาผลไม้แตกก่อนเก็บเกี่ยว

    ในระยะก่อนเก็บเกี่ยว ชาวสวนมักประสบปัญหาผลไม้หลายชนิดแตกเสียหาย เช่น เงาะโรงเรียน มังคุด ลำไย ลองกอง และกระท้อน สร้างความเสียหายและเสียดาย เพราะผลไม้กำลังจะเก็บขายได้เงิน แต่มาแตกเสียก่อน ผลไม้ยิ้ม แต่ชาวสวนไม่ยิ้มด้วย

    สาเหตุการแตกของผล อาการแตกของผลเป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ
    1. ความไม่สมดุลของการขยายตัวของส่วนเปลือกกับเนื้อ โดยส่วนเนื้อมีการขยายรวดเร็วมากกว่าการขยายของเปลือกจึงทำให้เปลือกปริร้าวแตกออก
    2.เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ เช่นร้อนแล้งสลับฝน ทำให้พืชได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอ ในภาวะอากาศร้อนแล้งผนังเซลส์พืชจะมีอาการเหี่ยวเมื่อได้รับน้ำปริมาณมากกระทันหัน เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนพืชปรับตัวไม่ทันจึงเกิดการปริแตกของผนังเซลส์
    3.เกิดจากความไม่สมดุลของธาตุอาหารในพืช ผนังเซลส์พืชไม่แข็งแรง
    4.เกิดจากสาเหตุอื่นๆเช่นการไว้ผลดกมากเกินไป อาหารไม่เพียงพอทำให้เปลือกผลบางแตกง่าย หรือการเข้าทำลายของเชื้อราและแมลงที่เปลือกผลเกิดรอยแผลก็ทำให้แตกได้ง่ายเช่นกัน

    วิธีการป้องกันผลแตก
    1.รักษาระดับความชื้นให้คงที่ด้วยการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอต่อความต้องการของพืช ให้น้ำครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้งไม่เว้นช่วงให้น้ำห่างเกินไป
    2.ให้ธาตุอาหารรองแคลเซี่ยมแก่พืชอย่างเพียงพอเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของผนังเซลส์พืช
    3.ตัดแต่งผลให้เหลือปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพความสมบูรณ์ต้น และดูแลป้องกันกำจัดโรค-แมลงที่ทำลายผล


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังหนอนเจาะขั้วผลเงาะ

    ช่วงที่อากาศร้อน ลมกระโชกแรง และฝนตกหนัก ขอเตือนผู้ปลูกเงาะให้เฝ้าระวังหนอนเจาะขั้วผลเงาะ โดยเฉพาะในระยะผลอ่อน หนอนเจาะขั้วผลมักพบอยู่ภายในผลบริเวณขั้วหรือต่ำกว่าขั้วลงมาเล็กน้อย การทำลายของหนอนไม่สามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอก ต่อเมื่อรับประทานเงาะจึงจะพบหนอนอยู่ที่ขั้ว โดยหนอนจะกัดกินที่ขั้วและบางทีถึงเมล็ด

    แนวทางป้องกันและแก้ไข

    1. เก็บเกี่ยวผลเงาะในขณะที่ยังไม่สุกเกินไป: เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายของหนอน และเก็บผลเงาะที่ร่วงหล่นนำไปฝังหรือเผา เพื่อป้องกันการระบาดในฤดูต่อไป
    2. พ่นสารฆ่าแมลง: บริเวณที่มีการระบาด เมื่อผลเงาะเริ่มเปลี่ยนสี ควรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงคาร์บาริล อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน และหยุดพ่นสารก่อนเก็บ 7 วัน

    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    📢 ประกาศเตือนภัยทางการเกษตร: ระวังโรคราแป้งในเงาะ

    ช่วงที่อากาศแปรปรวน อากาศเริ่มอุ่นขึ้นและมีฝนฟ้าคะนองในหลายพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอเตือนผู้ปลูกเงาะให้เฝ้าระวังโรคราแป้ง (เชื้อรา Oidium nephelii) โดยเฉพาะในระยะออกดอกและผลอ่อน

    ลักษณะอาการของโรค
    - พบผงสีขาวหรือสีเทาอ่อนคล้ายแป้งเกาะบนช่อดอกและตามร่องขนของผล
    - ทำให้ติดผลน้อยหรือไม่ติดผล ถ้าติดผลจะมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์ หลุดร่วงง่าย หรือทำให้ผลเน่าแห้งติดคาที่ก้านช่อ
    - หากเป็นโรคในระยะผลโตจะทำให้ขนแห้ง แข็ง ผิวผลมีสีคล้ำไม่สม่ำเสมอ ถ้าอาการรุนแรงจะทำให้ขนกุด เรียกว่า เงาะขนเกรียน
    - ในระยะที่ผลกำลังสุก ส่วนที่มีเชื้อราปกคลุมจะมีสีซีดกว่าปกติ
    - อาจพบอาการของโรคได้ที่ส่วนยอดและใบ หากอาการรุนแรงจะทำให้ใบอ่อนร่วง

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. กำจัดวัชพืชและตัดแต่งทรงพุ่มเงาะให้โปร่ง เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก ลดความชื้นในทรงพุ่ม และไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อสาเหตุโรค
    2. ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบเริ่มมีอาการของโรค ตัดแต่งและเก็บส่วนที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูก เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค
    3. พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช หากพบการระบาดของโรค พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ซัลเฟอร์ 80% WP อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรโฟรีน 19% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เบโนมิล 50% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บผลผลิตอย่างน้อย 15 วัน

    ข้อควรระวัง
    - ไม่ควรพ่นสารในช่วงดอกบาน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการผสมเกสร
    - สำหรับสารซัลเฟอร์ ไม่ควรพ่นในสภาพอากาศร้อนหรือมีแดดจัด เพราะอาจทำให้เกิดอาการไหม้ที่ช่อดอกและผลอ่อนได้


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคใบจุดสีเทาในมะพร้าว

    สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักมากบางพื้นที่ (ภาคใต้) เตือนผู้ปลูกมะพร้าวในระยะยังไม่ให้ผลผลิต ให้ผลผลิตแล้ว รับมือโรคใบจุดสีเทา (เชื้อรา Pestalotiopsis palmarum


    อาการเริ่มแรกเกิดจุดเล็ก ๆ บนใบ ต่อมาขยายใหญ่เป็นแผลสีเทา ขอบแผลสีน้ำตาล มักพบมีสีเหลืองล้อมรอบ บริเวณแผลพบจุดเล็ก ๆ สีดำซึ่งเป็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อสาเหตุโรค หากอาการรุนแรงแผลจะขยายทำให้ใบไหม้ และใบแห้งตาย
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบโรคตัดส่วนที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูก
    2. พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น แมนโคเซบ 80% WP อัตรา 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอโรทาโลนิล 75% WP อัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์เบนดาซิม 50% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคสัตว์
    📢 เตือน! ประชาชนเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ดิบ

    กรมควบคุมโรคเตือนประชาชนเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก และไม่ชำแหละหรือสัมผัสสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะโค กระบือ แพะ แกะ หลังพบผู้เสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) 1 รายในจังหวัดมุกดาหาร

    รายละเอียดเหตุการณ์
    - ผู้ป่วยเป็นชายอายุ 53 ปี มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน อาชีพรับจ้างก่อสร้าง เริ่มมีตุ่มแผลขึ้นบริเวณมือข้างขวาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวันที่ 27 เมษายน 2568
    - แผลที่มือเริ่มมีสีดำ ต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ข้างขวาโต และมีอาการหน้ามืด ชักเกร็ง ก่อนเสียชีวิต
    - ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ Bacillus anthracis

    การสอบสวนโรค
    - คาดว่าปัจจัยเสี่ยงมาจากการชำแหละโคในงานบุญผ้าป่า และมีการนำเนื้อโคที่ชำแหละไปแจกจ่ายให้รับประทานกันในหมู่บ้าน
    - ทีมสอบสวนโรคพบผู้สัมผัสจำนวน 247 คน แบ่งเป็นผู้ที่ชำแหละโค 28 คน และผู้ที่บริโภคเนื้อโคดิบ 219 คน ได้ให้ยาในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง

    ข้อมูลโรคแอนแทรกซ์
    - โรคติดต่อร้ายแรงจากสัตว์สู่คน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis
    - การติดเชื้อในคนส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น การชำแหละเนื้อสัตว์ การบริโภคเนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงไม่สุก
    - อาการ ไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง มีแผลคล้ายบุหรี่จี้ หายใจขัด หายใจลำบาก หากอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 80%

    วิธีการป้องกัน
    1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโค กระบือ แพะ แกะ
    2. ล้างมือและชำระล้างร่างกายหลังสัมผัสสัตว์
    3. เลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่ได้รับการรับรองอาหารปลอดภัย
    4. หากพบสัตว์ป่วยตายผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที
    5. หากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์

    หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    เตือนภัย! โรคเหี่ยวเขียว หรือเหง้าเน่า (เชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum) คุกคามขิงในระยะปลูกใหม่

    ในช่วงนี้สภาพอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับลมกระโชกแรงและฝนฟ้าคะนองในบางพื้นที่ ขอเตือนเกษตรกรผู้ปลูกขิงในระยะปลูกใหม่ เฝ้าระวังโรคเหี่ยวเขียว หรือเหง้าเน่า ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ที่สามารถทำความเสียหายอย่างหนักแก่แปลงปลูกได้

    อ้างอิงภาพ https://www.opsmoac.go.th/kamphaengphet-warning-preview-442891791799

    อาการของโรคที่ควรสังเกต
    - เริ่มแรก ใบขิงจะเหี่ยวและม้วนเป็นหลอด มีสีเหลือง และจะลุกลามจากโคนต้นขึ้นไปยังยอด
    - ทั้งต้นจะแห้งตายอย่างรวดเร็ว
    - โคนต้นและหน่อใหม่จะมีลักษณะฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลเข้มถึงดำ
    - เมื่อผ่าลำต้นตามขวาง จะพบเมือกสีขาวขุ่นไหลซึมออกมา
    - ลำต้นเน่าและหลุดจากเหง้าได้ง่าย
    - เหง้ามีอาการฉ่ำน้ำ สีคล้ำ และสุดท้ายเหง้าจะเน่าเสีย

    แนวทางป้องกันและแก้ไขโรคเหี่ยวเขียว/เหง้าเน่าในขิง
    1. เลือกพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม
    - เลือกแปลงที่ไม่เคยมีประวัติการระบาดของโรค และมีการระบายน้ำดี
    2. เตรียมดินอย่างถูกวิธี
    - ไถพรวนดินลึกมากกว่า 20 เซนติเมตร และตากดินตากแดดนานกว่า 2 สัปดาห์ เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคในดิน
    3. ฆ่าเชื้อในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด
    - โรยยูเรียผสมปูนขาว อัตราส่วน 80 : 800 กิโลกรัมต่อไร่
    - ไถกลบดิน รดน้ำให้ดินชุ่ม และทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ ก่อนเริ่มปลูกขิงใหม่
    4. ใช้หัวพันธุ์ที่ปลอดโรคเท่านั้น
    - คัดเลือกหัวพันธุ์จากแหล่งผลิตที่ไม่มีประวัติการระบาดของโรค
    5. หมั่นตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ
    - หากพบต้นที่แสดงอาการเหี่ยว ควรขุดต้นไปทำลายนอกแปลงทันที
    - โรยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
    6. ทำลายซากพืชหลังเก็บเกี่ยว
    - หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรนำส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ติดเชื้อไปทำลายนอกแปลงอย่างถูกวิธี
    7. สลับปลูกพืชเพื่อตัดวงจรโรค
    - ในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด ควรงดปลูกพืชอาศัยของเชื้อ เช่น พืชตระกูลขิง มะเขือ มันฝรั่ง พริก และถั่วลิสง
    - สลับปลูกพืชที่ไม่ใช่พืชอาศัย เช่น ข้าว ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง เพื่อลดการสะสมของเชื้อในดิน


    อ่านต่อ
    วันที่ 29 เมษายน 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนผู้ปลูกกุหลาบ! ระวังเพลี้ยไฟพริกเข้าทำลายช่วงออกดอก

    ช่วงนี้อากาศร้อนและมีฝนตกบางพื้นที่ เกษตรกรผู้ปลูกกุหลาบควรเฝ้าระวังการระบาดของเพลี้ยไฟพริก ซึ่งจะเข้าทำลายในระยะที่กุหลาบกำลังออกดอก
    สังเกตอาการของกุหลาบที่ถูกเพลี้ยไฟทำลาย
    - เพลี้ยไฟตัวอ่อนและตัวเต็มวัย จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน
    - ทำให้ยอดอ่อนหงิกงอ มีรอยสีน้ำตาลดำ และเหี่ยวแห้ง
    - ถ้าเพลี้ยไฟทำลายส่วนดอก จะทำให้ดอกแคระแกร็น กลีบดอกมีสีน้ำตาลไหม้
    - ดอกเสียคุณภาพ ไม่ตรงตามความต้องการของตลาด

    แนวทางป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟพริกในกุหลาบ เมื่อพบการระบาดควรพ่นสารที่มีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนี้
    - สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 10-20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
    - ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
    - คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
    - ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร

    หมายเหตุ
    - พ่นสารให้ทั่วบริเวณยอดอ่อนและดอกที่กำลังบาน
    - หลีกเลี่ยงการพ่นซ้ำ ๆ ด้วยสารชนิดเดียวกันนานเกินไป เพื่อป้องกันการดื้อยา

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 29 เมษายน 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบในมะเขือเปราะ

    ช่วงนี้มีฝนตกและฝนตกหนักในบางพื้นที่ ขอเตือนผู้ปลูกมะเขือเปราะในทุกระยะการเจริญเติบโตให้ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใบ และเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสสาเหตุโรคใบด่างเหลืองในมะเขือเปราะ ทำให้ผลผลิตลดลง

    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ก่อนย้ายปลูก
    - รองก้นหลุมปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ไดโนทีฟูแรน 1% G อัตรา 2 กรัมต่อหลุม
    - ควบคุมการเข้าทำลายของแมลงหวี่ขาวได้ประมาณ 45 วัน
    - หลังใส่สารลงในหลุมแล้วให้โรยดินกลบสารบาง ๆ ก่อนย้ายกล้าลงหลุม เพื่อป้องกันรากพืชสัมผัสสารโดยตรง

    2. เมื่อพบการระบาด
    - พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามอัตราส่วนที่กำหนด
    - บูโพรเฟซิน 40% SC: 25 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    - ฟลอนิคามิด 50% WG: 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
    - สไปโรเตตระแมท 15% OD: 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    - ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD: 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    - ไบเฟนทริน 2.5% EC: 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    - ไดโนทีฟูแรน 10% WP: 15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
    - น้ำมันปิโตรเลียม เช่น ไวต์ออยล์ 67% EC: 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    ** ควรพ่นสารทุก 5 วัน 2-3 ครั้งติดต่อกันเมื่อพบการระบาด
    หมายเหตุ บูโพรเฟซินควรงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 5 วัน

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 29 เมษายน 2568
  • แจ้งเตือน
    อารักขาพืช
    แมลงศัตรูพืชและโรคพืชที่มักระบาดในฤดูร้อน

    ฤดูร้อนเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงและความชื้นต่ำ เอื้อต่อการเจริญเติบโตของศัตรูพืช รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคพืชหลายชนิด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของศัตรูพืชและโรคพืชที่ระบาดในช่วงนี้ รวมถึงแนวทางป้องกันและควบคุมที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสียหายและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ศัตรูพืชที่ระบาดในฤดูร้อน
    1. เพลี้ยไฟ
    - ทำลายใบอ่อน ดอก และผล ทำให้ใบหงิกงอ ผลผลิตลดลง
    - เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสพืช เช่น ไวรัสใบด่างพริก
    - การป้องกัน ใช้เชื้อราบิวเวอเรีย หรือสารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น สะเดา
    - การใช้สารเคมี ใช้สารกลุ่มสไปนีโทแรม (Spinetoram) หรืออิมิดาคลอพริด (Imidacloprid) โดยใช้ตามคำแนะนำ

    2. เพลี้ยแป้ง
    - ดูดกินน้ำเลี้ยงพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าและแคระแกร็น
    - ขับถ่ายสารหวาน ทำให้เกิดราดำที่ลดการสังเคราะห์แสง
    - การป้องกัน ใช้แตนเบียน (Anagyrus sp.) ควบคุมตามธรรมชาติ
    - การใช้สารเคมี ใช้สารไดโนทีฟูแรน (Dinotefuran) หรือไทอะมีทอกแซม (Thiamethoxam)

    3. แมลงหวี่ขาว
    - ดูดน้ำเลี้ยงพืช ทำให้ใบเหลืองและเป็นพาหะนำเชื้อไวรัส
    - แพร่ระบาดในพืชตระกูลแตงและพืชผักทั่วไป
    - การป้องกัน: ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง และปลูกพืชหลากหลายลดการสะสมของแมลง
    - การใช้สารเคมี: ใช้สารอเซทามิพริด (Acetamiprid) หรือไพริพรอกซีเฟน (Pyriproxyfen)

    4. หนอนกระทู้ผัก
    - กัดกินใบและต้นของพืชผัก เช่น คะน้า กะหล่ำปลี
    - การป้องกัน: ใช้แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt) ในการควบคุม
    - การใช้สารเคมี: ใช้คลอแรนทรานิลิโพรล (Chlorantraniliprole) หรือแลมบ์ดาไซฮาโลทริน (Lambda-cyhalothrin)

    โรคพืชที่ระบาดในฤดูร้อน
    1. โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)
    - พบมากในพริก มะม่วง และพืชตระกูลแตง ทำให้เกิดแผลเน่าและผลร่วง
    - การป้องกัน ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma sp.) ป้องกันการเกิดโรค
    - การใช้สารเคมี ใช้สารแมนโคเซบ (Mancozeb) หรือโพรคลอราซ (Prochloraz)

    2. โรคใบจุด (Leaf Spot)
    - พบในพืชผัก เช่น ผักชี ขึ้นฉ่าย ทำให้ใบมีจุดแผลและแห้งตาย
    - การป้องกัน หลีกเลี่ยงการให้น้ำแบบพ่นฝอย และใช้สารชีวภัณฑ์ควบคุมเชื้อรา
    - การใช้สารเคมี ใช้สารไตรฟลอกซีสโตรบิน (Trifloxystrobin) หรืออะซอกซีสโตรบิน (Azoxystrobin)

    3. โรครากเน่าโคนเน่า (Root and Stem Rot)
    - พบในพืชตระกูลแตงและพืชตระกูลถั่ว ทำให้รากและโคนต้นเน่า
    - การป้องกัน ปรับปรุงระบบระบายน้ำและหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป
    - การใช้สารเคมี ใช้สารเมทาแลกซิล (Metalaxyl) หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม (Fosetyl-Al)

    แนวทางป้องกันและควบคุมศัตรูพืชในฤดูร้อน
    1. การจัดการแปลงปลูก
    - ปลูกพืชหมุนเวียนลดการสะสมของศัตรูพืช
    - ใช้พืชคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นและลดอุณหภูมิของดิน

    2. การใช้ชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืช เช่น
    - ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาและเชื้อแบคทีเรียบีที (Bt) ควบคุมโรคพืชและศัตรูพืช
    - ใช้แมลงตัวห้ำ เช่น เต่าทองลายหยัก (Cryptolaemus montrouzieri) กำจัดเพลี้ยแป้ง

    3. การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น
    - สารสกัดสะเดาและน้ำส้มควันไม้ช่วยลดการระบาดของแมลงศัตรูพืช
    - สารสกัดข่าและตะไคร้หอมมีฤทธิ์ป้องกันเชื้อรา

    4. การใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม
    - เลือกใช้สารเคมีตามประเภทของแมลงศัตรูพืชและโรคพืชที่พบ
    - ใช้สารเคมีตามอัตราที่แนะนำและสลับกลุ่มสารเพื่อลดการดื้อยา
    - ปฏิบัติตามหลักการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

    5. การเฝ้าระวังและสำรวจแปลงปลูก
    - หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการแพร่ระบาดของศัตรูพืช
    - ใช้ระบบเตือนภัยแมลงศัตรูพืชเพื่อคาดการณ์และป้องกันล่วงหน้า

    การจัดการแมลงศัตรูพืชและโรคพืชในฤดูร้อนต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการ โดยรวมถึงการใช้ชีวภัณฑ์ การปลูกพืชหมุนเวียน การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร และการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสียหายต่อพืชผลและสิ่งแวดล้อม

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 28 มีนาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟในทุเรียน

    สภาพอากาศที่ร้อนแล้งจะมีการระบาดของเพลี้ยไฟรุนแรง เข้าทำลายใบอ่อน ดอก และผลอ่อนทุเรียนให้เสียหาย เกษตรกรควรหมั่นสำรวจและรีบทำการป้องกันกำจัดให้ทันท่วงทีเพื่อลดความเสียหาย

    การป้องกันกำจัด
    - การควบคุมด้วยสารเคมีกลุ่มต่างๆ เช่น
    กลุ่ม 1 คาร์โบซัลแฟน / คาบาริล
    กลุ่ม 2 พิโพรนิล
    กลุ่ม 4 อิมิดาโคลพริด / อะเซตทรามิพริด / ไดโนทีฟูแรน
    กลุ่ม 6 อะบาเม็กติน / อิมาแมคติน เบนโซเอต
    กลุ่ม 3A ไบเฟนทริน
    กลุ่ม 5 สไปนีโทแรม สปินโนแซด
    พ่นทุก 7-10 วัน และควรสลับกลุ่มยาต่างๆ เพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟดื้อยา
    *ในระยะทุเรียนเป็นดอกหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นสูตรน้ำมัน คือ สูตร EC (ที่ชาวสวนเรียกว่ายาร้อน) ในระยะทุเรียนเป็นดอก เพราะอาจเกิดทำให้ดอกฝ่อ ดอกร่วงได้


    อ่านต่อ
    วันที่ 27 มีนาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    เตือนภัยเกษตรกร! โรคกิ่งตายระบาดหนักในสวนทุเรียนภาคใต้ เสี่ยงรุนแรงช่วงหน้าแล้ง

    กรมส่งเสริมการเกษตรเตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคกิ่งตาย ที่กำลังแพร่ระบาดในสวนทุเรียนภาคใต้ โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งที่อาจทำให้โรครุนแรงขึ้น

    ภัยเงียบจากโรคกิ่งตาย

    เชื้อราฟิวซาเรียมแพร่กระจายผ่านทางน้ำและสารอาหาร ทำให้ใบเหี่ยว กิ่งแห้ง และอาจลุกลามถึงต้นตาย หากพบต้นที่ติดโรค ควรรีบตัดและเผาทำลายทันที เพื่อลดการแพร่ระบาด

    ภาวะแล้งซ้ำเติมโรคระบาด

    ภัยแล้งทำให้ต้นทุเรียนอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย เกษตรกรควรสำรองน้ำให้เพียงพอ ลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด

    แนวทางป้องกันและลดความเสียหาย

    - เฝ้าระวังอาการติดเชื้อ สังเกตใบเหลือง เหี่ยว และกิ่งแห้งผิดปกติ

    - กำจัดต้นที่ติดเชื้ออย่างถูกวิธี ตัดและเผากิ่งที่เป็นโรคทันที

    - บริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ สำรองน้ำและดูแลต้นทุเรียนให้แข็งแรง

    - ใช้สารชีวภัณฑ์และปรับปรุงดิน ใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อควบคุมเชื้อโรค

    แนวโน้มตลาดทุเรียนไทย

    ทุเรียนไทยเผชิญการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน เกษตรกรควรมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานการผลิต เพื่อลดปัญหาทุเรียนอ่อนและรักษาความสามารถในการแข่งขัน

    ขอให้เกษตรกรติดตามข่าวสาร และดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องผลผลิตทุเรียนไทยจากวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้


    อ่านต่อ
    วันที่ 26 มีนาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยแป้งในน้อยหน่า ศัตรูร้ายที่ต้องควบคุม

     

    ลักษณะการทำลาย
    เพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ยอดอ่อน ช่อดอก และผล เมื่อระบาดรุนแรงจะทำให้พืชเหี่ยวแห้งและผลเสียคุณภาพ เพลี้ยแป้งยังถ่ายมูลเป็นน้ำหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุของราดำ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผลผลิต เพลี้ยแป้งสามารถเคลื่อนย้ายจากพื้นดินขึ้นต้นน้อยหน่าตั้งแต่ระยะออกดอกจนถึงผลแก่ โดยมีมดเป็นพาหะช่วยแพร่กระจาย

    แนวทางป้องกันและกำจัด
    - หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบการระบาดตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยลดความเสียหายได้
    - ตัดแต่งส่วนที่ถูกทำลาย หากพบการระบาดเล็กน้อย ควรตัดแต่งส่วนที่พบเพลี้ยแป้งแล้วนำไปทำลายนอกแปลง
    - ใช้วิธีกายภาพกำจัด เช่น ใช้แปลงปัดออกจากผล หรือฉีดพ่นน้ำแรงดันสูงให้เพลี้ยแป้งหลุดไป
    - นอกจากนี้สามารถใช้น้ำผสมไวท์ออยล์ อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อเคลือบตัวเพลี้ยแป้งและลด

    การแพร่ระบาด
    ควบคุมมด เนื่องจากมดเป็นตัวพาเพลี้ยแป้งขึ้นต้น ควรใช้เหยื่อพิษกำจัดมด หรือฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงที่เหมาะสม
    ใช้สารเคมีเมื่อจำเป็น โดยเลือกใช้
    - อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
    - คาร์โบซัลแฟน 20% EC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    ควรพ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน และสลับกลุ่มสารเคมีเพื่อลดโอกาสดื้อยา

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในช่วงที่มีผึ้งหรือแมลงผสมเกสร
    หากใช้สารเคมี ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
    ส่งเสริมการใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่น เต่าทอง และแตนเบียน เพื่อลดปริมาณเพลี้ยแป้ง

    การป้องกันที่ดี คือการจัดการแปลงปลูกให้สะอาด ตรวจสอบสม่ำเสมอ และใช้วิธีผสมผสานเพื่อควบคุมเพลี้ยแป้งอย่างมีประสิทธิภาพ


    อ่านต่อ
    วันที่ 26 มีนาคม 2568
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    โรคใบจุดสีเทาในมะพร้าว
    วันที่ 26 มีนาคม 2568
แสดง 1 - 20 จาก 295
หน้า
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู