แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- ระวังโรคใบไหม้หรือใบจุดตาเสือ (เชื้อรา Phytophthora colocasiae) ในเผือก
ช่วงนี้สภาพอากาศมีฝนตกตอนกลางคืนและแดดจัดตอนกลางวัน เหมาะต่อการระบาดของโรคใบไหม้หรือใบจุดตาเสือ ทุกระยะการเจริญเติบโตของเผือก ควรเฝ้าระวังและป้องกันอย่างใกล้ชิด
อาการของโรค
บนใบ
- เริ่มพบจุดสีน้ำตาลฉ่ำน้ำ ขนาดเล็ก
- จุดจะขยายใหญ่เป็นวงซ้อนกันคล้ายดวงตา
- ช่วงเช้าหรืออากาศชื้นจะเห็นหยดสีส้มบริเวณแผล
- หากรุนแรง แผลจะขยายติดกัน ทำให้ใบไหม้ เหี่ยว ม้วนพับ และแห้ง หรือเน่าเมื่อมีฝนพรำ
บนก้านใบ
- พบจุดสีน้ำตาลฉ่ำน้ำ ขนาดเล็ก
- ขยายเป็นแผลยาวรี สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม
- ทำให้ก้านใบช้ำ ใบเหี่ยว ก้านหักง่ายผลกระทบ
แปลงที่เป็นโรครุนแรงจะมีจำนวนใบลดลง ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิต และเชื้ออาจเข้าทำลายหัวเผือก ทำให้หัวเน่าแนวทางป้องกันกำจัด
1. ตรวจแปลงปลูกสม่ำเสมอ เมื่อพบโรคให้พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น
- ไดเมโทมอร์ฟ 50% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไพราโคลสโตรบิน 25% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- อีทาบอกแซม 10.4% เอสซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
*พ่นให้ทั่วทั้งต้น ทั้งใบและก้าน ทุก 5-7 วัน
2. หลังเก็บเกี่ยวในแปลงที่มีโรคระบาด
- เก็บซากพืชไปเผาทำลายนอกแปลง
- หลีกเลี่ยงการปลูกเผือกซ้ำ ควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียนการป้องกันในฤดูถัดไป
1. หลีกเลี่ยงปลูกเผือกในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด
2. ไถพรวนดิน ใส่ปูนขาว และตากดินไว้นานกว่า 2 สัปดาห์
3. ใช้พันธุ์ต้านทาน เช่น พันธุ์ พจ.06
4. ใช้ส่วนขยายพันธุ์จากแหล่งที่ปลอดโรค
5. จัดระยะปลูกให้เหมาะสม ไม่ปลูกชิดเกินไป เพื่อลดการแพร่ระบาด
อ่านต่อ - เตือนภัยการเกษตร ระวังโรคต้นแตกยางไหลในเมล่อน
เชื้อราสาเหตุ : Mycosphaerella citrulline และ Didymella sp.
🔸 ช่วงการระบาด ระบาดมากในช่วงฤดูฝน
🔸 ข้อสังเกตลักษณะ/อาการที่อาจพบ แผลช้ำฉ่ำน้ำ เป็นยางเหนียวสีน้ำตาลแดงที่บริเวณโคนต้น ลำต้น และก้านใบ เมื่อแผลแห้งจะเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณแผล
แนวทางป้องกันกำจัด
- หมั่นสำรวจแปลงปลูกบ่อยครั้งในช่วงฤดูฝน
- ใช้ดินที่แสดงอาการแห้งแล้วเท่านั้น ใช้ปูนขาวโรยบริเวณรอบโคนต้นให้ครอบประมาณ 2 ทิศทางต่อครั้ง จะเป็นการป้องกันเชื้อราไม่ให้แพร่กระจายเข้าสู่ลำต้น และใช้ปูนขาวผสมฟางทาบริเวณแผลที่โคนต้น
- พ่นสารอาการอย่างรุนแรง ให้ใช้น้ำปูนใสโดยเจือจางผสมน้ำ 1:3 โดยใช้ไล้ตรงบริเวณแผลที่ทำการขูดผิวรอบ ๆนอกจากนี้ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ คือ เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการเพาะปลูก
โดยหากนำเมล็ดมาจากแหล่งปลูกที่มีการระบาดของเชื้อราใดชนิดหนึ่งในลำต้น
ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่อาจสามารถสะสมของโรคต้นแตกยางไหลได้อ้างอิงข้อมูล สำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว
📞 037-231196
อ่านต่อ - รัฐบาลคุมเข้ม รับมือ "ไข้หวัดนก H5N1" หลังพบระบาดรุนแรงในกัมพูชา
รัฐบาลไทยโดยกรมควบคุมโรคและกรมปศุสัตว์ เร่งยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรค “ไข้หวัดนก H5N1” หลังพบการระบาดในกัมพูชา โดยเฉพาะสายพันธุ์ย่อย Clade 2.3.2.1e ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงสูง และมีความเสี่ยงในการแพร่จากสัตว์สู่คน
📊 สถานการณ์ล่าสุดในกัมพูชา
ปี 2566–2568 พบผู้ป่วยสะสม 26 ราย เสียชีวิต 11 ราย
ปี 2568 เพียงปีเดียว พบผู้ป่วยแล้ว 13 ราย เสียชีวิต 6 ราย
จังหวัดเสียมราฐพบผู้ป่วยสะสมสูงสุด🛡️ มาตรการควบคุมในประเทศไทย
ฟาร์มระบบปิดต้องพ่นยาฆ่าเชื้อโรคสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ควบคุมยานพาหนะเข้า-ออกฟาร์มอย่างเข้มงวด
สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ปีกตามมาตรฐาน GAP และ GFM👩🌾 คำแนะนำสำหรับเกษตรกรและประชาชน
หมั่นสังเกตอาการสัตว์ปีก หากป่วยหรือตายผิดปกติ ห้ามบริโภคหรือจำหน่าย
แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อาสาสมัคร หรือสายด่วนทันที
เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงสุกจากแหล่งที่เชื่อถือได้
หากมีไข้ ไอ หรือหายใจลำบากหลังสัมผัสสัตว์ ควรพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติสัมผัส📞 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
📌 กรมปศุสัตว์ โทร. 06-3225-6888 หรือผ่านแอปฯ DLD 4.0
📌กรมควบคุมโรค โทร. 1422
อ่านต่อ - 📢 ประกาศเตือนภัยการเกษตร เรื่อง เตือนภัยโรคผลเน่าในทุเรียน
ด้วยในระยะนี้ สภาพอากาศมีแนวโน้มร้อนจัดสลับฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความชื้นสะสมในแปลงปลูก ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของโรคพืชโดยเฉพาะ โรคผลเน่าในทุเรียน ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อรา Phytophthora palmivora โดยเฉพาะในช่วงระยะพัฒนาผลจนถึงเก็บเกี่ยว และระยะเตรียมต้นสำหรับการเจริญทางใบ
อาการของโรค
เริ่มแรกจะปรากฏจุดแผลขนาดเล็กสีน้ำตาลดำบริเวณผิวผล จากนั้นแผลจะขยายใหญ่และลุกลามมากขึ้นตามการเจริญและการสุกของผล หากมีความชื้นสูง อาจพบเส้นใยสีขาวของเชื้อราบนผิวแผลได้
สามารถพบอาการได้ตั้งแต่ผลยังอยู่บนต้น และหากรุนแรง ผลจะเน่าและร่วงหล่นก่อนถึงเวลาเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนก่อนเก็บเกี่ยวไปจนถึงช่วงบ่มผลเพื่อให้สุกแนวทางการป้องกันและแก้ไข
- ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ
- ตัดผลที่แสดงอาการของโรค และเก็บผลเน่าที่ร่วงหล่นไปทำลายนอกแปลง
- พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30–50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 30–50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วทรงพุ่ม ทุก 7–10 วัน จำนวน 1–2 ครั้ง และ ควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 15 วันป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อผ่านเครื่องมือ
- ห้ามใช้เครื่องมือตัดแต่งจากต้นที่เป็นโรคกับต้นปกติ
- ทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งก่อนนำไปใช้กับต้นอื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสของผลกับเชื้อในดิน
- ในพื้นที่เสี่ยง เช่น แปลงที่มีปัญหาโรครากเน่า-โคนเน่า และมีความชื้นสูงในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวควรระมัดระวังไม่ให้ผลสัมผัสกับดินขณะเก็บเกี่ยว
- ปูพื้นด้วยวัสดุสะอาด เช่น กระสอบ หรือแผ่นรองผล
- ระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่ผลขณะขนย้ายหมายเหตุ โรคผลเน่าเกิดจากเชื้อรา Phytophthora palmivora ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับสาเหตุของโรครากเน่าและโคนเน่า ดังนั้นการป้องกันโรคผลเน่าจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากดำเนินการควบคู่กับการป้องกันโรครากเน่าและโคนเน่าอย่างต่อเนื่อง
ขอให้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเฝ้าระวังและดำเนินการตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อผลผลิตทุเรียนในฤดูกาลนี้
อ่านต่อ - 📢 ประกาศเตือนภัยการเกษตร เรื่อง โรครากเน่า โคนเน่าในทุเรียน
🌀 สถานการณ์ปัจจุบัน
จากสภาพอากาศในช่วงนี้ที่มีอุณหภูมิสูง สลับกับฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ความชื้นในแปลงปลูกสูงขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของ โรครากเน่า โคนเน่าในทุเรียน (เชื้อรา Phytophthora palmivora)🌀 สถานการณ์ปัจจุบัน
จากสภาพอากาศในช่วงนี้ที่มีอุณหภูมิสูง สลับกับฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ความชื้นในแปลงปลูกสูงขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของ โรครากเน่า โคนเน่าในทุเรียน โดยเฉพาะในช่วง
📍 ระยะพัฒนาผล - เก็บเกี่ยว และ
📍 ระยะเตรียมต้น (การเจริญทางใบ)🌿 อาการของโรค
🔸 เริ่มจากใบที่ปลายกิ่งซีด ไม่เงา เหี่ยวลู่ ใบร่วงเมื่ออาการรุนแรง หากขุดดูราก จะพบรากฝอยเปลือกล่อน เปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาล โรคลุกลามจากรากแขนงไปยังโคนต้น ทำให้ต้นโทรมและยืนต้นตาย
🔸 ที่กิ่งและลำต้น/โคนต้น ใบเหลืองเฉพาะบางกิ่ง พบคราบน้ำบนผิวเปลือก หรือของเหลวสีน้ำตาลแดงซึมจากแผล เมื่อถากดูพบเนื้อเยื่อเปลือก-เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาล หากแผลลุกลามรอบโคนต้น ต้นจะใบร่วงหมดและแห้งตาย
🔸 ที่ใบ ใบอ่อนเหี่ยว เหลือง แผลฉ่ำน้ำสีน้ำตาลอ่อน พัฒนาเป็นสีดำคล้ายน้ำร้อนลวก ใบไหม้แห้งติดต้นก่อนร่วง พบมากช่วงฝนตกต่อเนื่อง🛡️ แนวทางการป้องกันกำจัด
1️⃣ ปรับสภาพแปลงปลูก ให้ระบายน้ำดี ไม่มีน้ำขัง หากน้ำท่วม ควรรีบระบายออกทันที
2️⃣ ปรับปรุงดิน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปรับ pH ให้อยู่ที่ 6.5 ดินกรดจัดใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ 100–200 กก./ไร่
3️⃣ หลีกเลี่ยงการทำให้รากหรือลำต้นเกิดแผล เพราะเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าทำลายได้ง่าย
4️⃣ จัดการต้นที่เป็นโรครุนแรง ขุดต้นที่ยืนต้นตายออกไปทำลายนอกแปลง ราดหลุมและพื้นที่รอบ ๆ ด้วยสารฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP หรือเมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30-50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ปล่อยทิ้งไว้ก่อนปลูกทดแทน
5️⃣ ตรวจแปลงสม่ำเสมอ ตัดส่วนที่เป็นโรค และเก็บผลเน่าที่ร่วงหล่นไปทำลาย
พ่นสารที่ทรงพุ่ม
🧪 เมทาแลกซิล 25% WP
🧪 ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP
อัตรา 30–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ความถี่ ทุก 7–10 วัน จำนวน 1–2 ครั้ง หยุดพ่นก่อนเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 15 วัน
6️⃣ ทำความสะอาดเครื่องมือ ห้ามนำเครื่องมือจากต้นที่เป็นโรคไปใช้กับต้นปกติ ทำความสะอาดก่อนใช้งานใหม่ทุกครั้ง
7️⃣ เมื่อเริ่มพบอาการที่ใบ ใช้ฟอสโฟนิก แอซิด 40% SL ผสมน้ำสะอาด อัตรา 1:1 ฉีดเข้าลำต้นด้วยกระบอกฉีดยา อัตรา 20 มล./ต้น และ/หรือราดดินด้วยฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP หรือเมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
8️⃣ เมื่อพบอาการบนกิ่งหรือโคนต้น ถากหรือขูดแผล แล้วทาด้วยสาร
ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP → 70 กรัม/น้ำ 1 ลิตร
ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WG → 90 กรัม/น้ำ 1 ลิตร
เมทาแลกซิล 25% WP → 40–60 กรัม/น้ำ 1 ลิตร
แมนโคเซบ + วาลิฟีนาเลท (60% + 6%) WG → 100 กรัม/น้ำ 1 ลิตร
โพรพาโมคาร์บไฮโดรคลอไรด์ + เมทาแลกซิล (10% + 15%) WP → 60 กรัม/น้ำ 1 ลิตร หรือใช้ฟอสโฟนิก แอซิด 40% SL ฉีดเข้าลำต้นหรือกิ่ง อัตรา 20 มล./ต้น
9️⃣ หลังเก็บเกี่ยว ตัดแต่งกิ่งเป็นโรค กิ่งแห้ง และขั้วผลที่เหลืออยู่ นำไปทำลายนอกแปลง เพื่อลดการสะสมของเชื้อ✅ ขอให้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการป้องกันตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสุขภาพต้นทุเรียนและคุณภาพผลผลิตในฤดูกาลนี้
อ่านต่อ - การเตรียมการป้องกันและการบริหารจัดการภัยพิบัติในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ด้วย 453 Model
โมเดลการจัดการภัยพิบัติ 453 (Disaster Management 453 Model) ซึ่งจัดทำโดย สำนักงานเกษตรพื้นที่ 3 กรุงเทพมหานคร
อ่านต่อ - เตือนภัย! โรคกุ้งแห้งในพริกระบาดหนักช่วงฝนตก 🌧️โรคแอนแทรคโนส หรือโรคกุ้งแห้ง เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici พบมากในช่วงอากาศร้อนสลับฝนตก โดยเฉพาะในผลพริกที่เริ่มสุก
🔍 อาการของโรค
- จุดช้ำยุบตัวเล็กน้อยบนผลพริก
- แผลขยายเป็นวงรีหรือวงกลม มีตุ่มสีดำเรียงเป็นวง
- ในอากาศชื้นจะมีเมือกสีส้มอ่อน (กลุ่มสปอร์)
- ผลเน่า โค้งงอคล้ายกุ้งแห้ง และร่วงก่อนเก็บเกี่ยว✅ แนวทางป้องกันและรับมือ
- เลือกเมล็ดพันธุ์ปลอดโรค หรือเก็บจากผลพริกที่ไม่เป็นโรค แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50°C นาน 20–25 นาที ก่อนนำไปเพาะ
- จัดระยะปลูกให้เหมาะสม ไม่ปลูกชิดกัน กำจัดวัชพืช ลดความชื้นในแปลง
- ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
- พบผลเป็นโรคให้เก็บทำลายนอกแปลง แล้วพ่นสารป้องกันเชื้อรา เช่น อะซอกซีสโตรบิน 25% SC 10 มล./น้ำ 20 ลิตร แมนโคเซบ 80% WP 40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร โพรคลอราซ 50% WP 20–30 กรัม/น้ำ 20 ลิตรพ่นทุก 5-7 วัน
- ปลูกพืชหมุนเวียนในพื้นที่ระบาดหนักเพื่อตัดวงจรโรค📌 เกษตรกรผู้ปลูกพริกทุกระยะการเจริญเติบโต ควรเฝ้าระวังและป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลผลิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ
อ่านต่อ - กรมการข้าวแนะวิธีป้องกันด้วงดำบุกนา
“ด้วงดำ” หรือที่ชาวนาเรียกว่า ด้วงซัดดัม เป็นแมลงศัตรูพืชที่พบมากในนาข้าวภาคอีสาน โดยเฉพาะบริเวณ ทุ่งกุลาร้องไห้ มักระบาดช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ใน นาหว่านข้าวแห้ง ที่ปลูกเร็วกว่าฤดูปกติ
🔹 ด้วงดำจะกัดกินส่วนอ่อนใต้ดินของต้นข้าว (ช่วงรากกับลำต้น) ทำให้ต้นข้าว เหลือง เหี่ยว และแห้งตาย
🔹 ต้นข้าวที่ถูกทำลายมักอายุระหว่าง 15-45 วันหลังงอก
🔹 ลักษณะต้นข้าวที่เสียหายจะดูคล้ายขาดปุ๋ยหรือถูกเพลี้ยไฟ แต่จะมี รอยขุดในดินเป็นแนวยาว เพราะด้วงมุดดินไปกัดต้นใหม่วิธีป้องกันและกำจัด
1. ปลูกข้าวแบบ ปักดำ แทนการหว่านแห้ง
2. ถ้าหว่านแห้ง ควรปลูกตามฤดูกาล (เดือน สิงหาคม)
3 .ใช้ ไฟแบล็คไลท์ ล่อและทำลายตัวเต็มวัยของด้วง
4. เฝ้าระวัง ถ้าเจอด้วงในกับดักแสงไฟมากกว่าปกติ👉 ข้อมูลจาก กรมการข้าว
อ่านต่อ - 🌧️ เตือนภัยฤดูฝน! รู้ทัน โรคตายพรายกล้วย ก่อนผลผลิตเสียหาย เชื้อราร้ายแฝงในดิน ป้องกันได้ก่อนสาย!
ช่วงฤดูฝน เกษตรกรต้องเฝ้าระวัง โรคตายพรายกล้วย หรือที่เรียกอีกชื่อว่า โรคเหี่ยว/โรคปานามา ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อรา Fusarium oxysporum f.sp. cubense มักพบในกล้วยทุกช่วงการเจริญเติบโต โดยเฉพาะต้นที่ขาดการดูแลและมีความชื้นสูง
🔍 อาการของโรค
- ใบกล้วยรอบนอกเหลือง เหี่ยว หักพับ
- ลำต้นชะงักการเจริญเติบโต
- เมื่อตัดลำต้นตามยาวจะพบเนื้อเยื่อเน่าสีน้ำตาล🛡 แนวทางป้องกันกำจัดโรค อย่าใช้หน่อพันธุ์จากต้นที่เป็นโรค
- ชุบหน่อด้วยสารป้องกันเชื้อรา
- ปรับดินไม่ให้เป็นกรด และมีการระบายน้ำดี
- ขุดต้นที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลง และโรยปูนขาว
- หมั่นตรวจแปลง และเปลี่ยนปลูกพืชชนิดอื่นหากพบการระบาด
อ่านต่อ - 🐛 ระวังหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ศัตรูเงียบที่ทำลายคุณภาพผลผลิต
หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน หรือที่ชาวสวนเรียกว่า “หนอนรู” เป็นศัตรูพืชที่เข้าทำลายผลทุเรียนจากด้านในโดยไม่แสดงอาการภายนอก เมื่อหนอนโตจะเจาะเปลือกเป็นรูออกมา และทิ้งตัวลงดินเพื่อเข้าดักแด้ ทำให้เกษตรกรมักตรวจพบความเสียหาย หลังเก็บเกี่ยว แล้วเท่านั้น
🔍 ลักษณะการทำลาย
- หนอนจะฟักจากไข่ที่วางบนผลอ่อน แล้วเจาะเข้าไปกินเมล็ด
- มูลของหนอนปนกับเนื้อทุเรียน ทำให้ เนื้อเสียคุณภาพ ขายสดไม่ได้
- มักพบในผลที่เมล็ดแข็งแล้ว
- รูที่หนอนเจาะออกมีขนาด 5-8 มม.🛡 แนวทางป้องกันและกำจัด
- งดนำเมล็ดจากแหล่งอื่นโดยไม่คัดกรอง หรือแช่เมล็ดด้วยสารฆ่าแมลงก่อนปลูก
- ห่อผลทุเรียน ด้วยถุงพลาสติกขาวขุ่นขนาด 40x75 ซม. เริ่มห่าตั้งแต่ผลอายุ 6 สัปดาห์
- พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น คาร์บาริล หรือแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน ทุก 1 สัปดาห์ เริ่มเมื่อผลอายุ 6 สัปดาห์
- ใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราเขียวเมตาไรเซียมหรือบิวเวอร์เรีย พ่นลงดินช่วงฝนตกหรือดินชื้น
- ใช้กับดักแสงไฟแบล็คไลท์ เพื่อตรวจจับการระบาดของตัวเต็มวัย
- พ่นสารป้องกันกำจัดเมื่อพบการระบาด โดยเลือกใช้สารที่เหมาะสมตามคำแนะนำ
- เมื่อพบว่าตัวเต็มวัยเริ่มระบาดให้ใช้สารคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อ น้ำ20 ลิตร หรือ เดลทาเมทริน 3% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ20 ลิตร หรือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% ซีเอส อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อ น้ำ20 ลิตร หรือ เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ ๒๐ ลิตร ห่างกันครั้งละ 1 สัปดาห์ เริ่มเมื่อผลอายุ 6 สัปดาห์
อ่านต่อ - 🔔 แจ้งเตือนภัยการเกษตร: ระวังหนอนกระทู้ผักระบาดในพืชตระกูลกะหล่ำ
สภาพอากาศร้อน สลับกับฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่
⚠️ ส่งผลให้ หนอนกระทู้ผัก มีแนวโน้มระบาดเพิ่มขึ้นในแปลงผักตระกูลกะหล่ำ เช่น
คะน้า, กะหล่ำปลี, ผักกาดขาว, กะหล่ำดอก, บรอกโคลี ฯลฯ🐛 ลักษณะการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ผัก
- ระยะแรก: เข้าทำลายเป็นกลุ่ม
- ระยะต่อมา: ทำลายรุนแรง กัดกินใบ ก้าน หรือเจาะเข้าหัวกะหล่ำ
- การระบาดมักเกิดเป็นหย่อม ๆ บริเวณที่ตัวเต็มวัยวางไข่
- แพร่ระบาดรวดเร็ว และพบได้ตลอดปี✅ แนวทางป้องกันกำจัด
วิธีเขตกรรม ไถตากดิน เก็บเศษซากพืชอาหาร → เพื่อลดดักแด้และแหล่งขยายพันธุ์
วิธีกล เก็บกลุ่มไข่และตัวหนอน → ลดการระบาดได้อย่างปลอดภัย
ชีวภัณฑ์
เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt)
- อัตรา 40–80 กรัม / น้ำ 20 ลิตร (WDG, WG, WP)
- หรือ 60–100 มล. / น้ำ 20 ลิตร (SC)
- พ่นทุก 3–5 วัน ขณะพบการระบาด
- หากระบาดรุนแรงให้พ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง แล้วห่างทุก 5 วัน
ไวรัส NPV (Nucleopolyhedrovirus)
- อัตรา 40-50 มล. / น้ำ 20 ลิตร (SC)
- พ่นทุก 7-10 วัน
- หนอนขนาดเล็กควรพ่นทันที เพื่อควบคุมได้เร็ว
- หากระบาดรุนแรง ให้พ่น 50 มล. ทุก 4 วัน ติดต่อกัน 2 ครั้ง
สารเคมี (ใช้เมื่อจำเป็น และระบาดรุนแรง)
คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC → 30 มล. / น้ำ 20 ลิตร
อินดอกซาคาร์บ 15% EC → 30 มล. / น้ำ 20 ลิตร
อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC → 20 มล. / น้ำ 20 ลิตร
ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG → 6 กรัม / น้ำ 20 ลิตร
คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC → 30 มล. / น้ำ 20 ลิตร
ควรพ่นเมื่อพบการระบาด และสลับกลุ่มสารเพื่อลดการดื้อยา
อ่านต่อ - เตือนภัยการเกษตร : เตือนหนอนหัวดำมะพร้าวระบาดในช่วงอากาศร้อนและฝนตก
ด้วยในช่วงนี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนสลับกับฝนตกและฝนตกหนักบางแห่ง กรมส่งเสริมการเกษตรจึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว ให้เฝ้าระวังการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว ซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อผลผลิตและต้นมะพร้าวได้
ลักษณะการทำลาย
หนอนหัวดำมะพร้าวจะเข้าทำลายใบมะพร้าว โดยแทะกินผิวใบบริเวณใต้ทางใบ และสร้างอุโมงค์จากเส้นใยผสมกับมูลของตัวเองเพื่อหลบซ่อน ตัวหนอนจะกัดกินผิวใบจากภายในอุโมงค์ ซึ่งหากการระบาดรุนแรง อาจขยายไปถึงก้านใบ จั่น และผลมะพร้าวได้ นอกจากนี้ หนอนหัวดำมะพร้าวอาจทำให้ทางใบหลายทางเสียหายพร้อมกัน และหากปล่อยไว้นานโดยไม่ควบคุม อาจส่งผลให้ต้นมะพร้าวยืนต้นตาย
แนวทางป้องกันกำจัด
กรณีพบการระบาดน้อย–ปานกลาง
1. ทำลายแหล่งอาศัย ตัดใบที่ถูกทำลาย ย่อยสลาย ฝังกลบ หรือจมน้ำทันที เพื่อลดประชากรหนอน
2. ใช้ชีวภัณฑ์ Bacillus thuringiensis อัตรา 80-100 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทางใบต้นละ 5 ลิตร ทุก 7 วัน ติดต่อกัน 3 ครั้ง
3. ปล่อยแตนเบียนตัวห้ำศัตรูธรรมชาติ
* แตนเบียน *Goniozus nephantidis* อัตรา 200 ตัว/ไร่ หรือ
* แตนเบียน *Brachymeria nephantidis* อัตรา 120 ตัว/ไร่
* ปล่อยในช่วงเย็น ทุก 7 วัน ติดต่อกัน 4 ครั้งกรณีพบการระบาดรุนแรง
1. ต้นมะพร้าวสูงไม่เกิน 4 เมตร พ่นสารเคมีทางใบ ใช้สารเคมีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ โดยพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม 1–2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน
* ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
* คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร
* สปินโนแสด 12% SC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร *(พิษสูงต่อผึ้ง)*
* ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร *(พิษสูงต่อกุ้ง)*
หมายเหตุ หากจะปล่อยแตนเบียน ควรพ่นสารเคมีก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์2. ต้นมะพร้าวสูงเกิน 4 เมตร ความสูง 4-12 เมตร ฉีดสารเข้าลำต้น
* อีมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 5 มล./ต้น
* อะบาเมกติน 1.8% EC อัตรา 15 มล./ต้น
กรณีต้นมะพร้าวความสูงเกิน 12 เมตร ฉีดสารเข้าลำต้น
* อีมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 10 มล./ต้น
* อะบาเมกติน 1.8% EC อัตรา 30 มล./ต้น
วิธีฉีด: เจาะรูเอียง 45 องศา 1–2 รู สูงจากพื้นดิน 0.5-1 เมตร ใส่สารเคมีแล้วอุดรูด้วยดินน้ำมัน
> ประสิทธิภาพการควบคุมหนอนยาวนานประมาณ 90 วัน
> ไม่แนะนำให้ใช้วิธีฉีดสารกับต้นมะพร้าวที่สูงต่ำกว่า 4 เมตรจึงขอให้เกษตรกรติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากพบการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว ให้ดำเนินการควบคุมตามแนวทางข้างต้นทันที หากต้องการคำปรึกษาหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริการห้องสมุดเพื่อเกษตรกรไทยได้ที่ https://thaifarmer.lib.ku.ac.th/ หรือสอบถามผ่าน Line official ที่ @GuruKasetsart
อ่านต่อ - 🎯 เตือนภัยเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ช่วงนี้อากาศร้อนสลับฝนตกหนัก เสี่ยงโรคผลเน่าจากเชื้อรา Phytophthora palmivora
🔍 ลักษณะอาการ
– จุดแผลสีน้ำตาลดำบนผล
– แผลขยายใหญ่ตามการสุก
– ในความชื้นสูงพบเส้นใยสีขาวบนแผล
– ผลเน่าร่วงก่อนเก็บเกี่ยว
– พบตั้งแต่ผลอ่อนจนถึงช่วงบ่มผล
🛡️ แนวทางป้องกันกำจัด
1. ตรวจ-ตัด-ทำลาย
– ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
– ตัดผลที่มีอาการ
– เก็บผลเน่าร่วงหล่นไปเผาทำลายนอกแปลง
2. พ่นสารป้องกันโรคพืช เลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง
– เมทาแลกซิล 25% WP
– ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP
📌 อัตรา 30–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
📆 พ่น 1–2 ครั้ง ห่างกัน 7–10 วัน
⛔ หยุดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน3. ควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
– ห้ามใช้เครื่องมือร่วมระหว่างต้นเป็นโรคกับต้นปกติ
– ทำความสะอาดเครื่องมือตัดแต่งทุกครั้ง4. ป้องกันผลสัมผัสดิน
– ปูพื้นด้วยวัสดุสะอาดก่อนวางผล
– ขนย้ายระวังไม่ให้เกิดบาดแผล
– เหมาะสำหรับแปลงที่มีปัญหาโคนเน่ารากเน่าและความชื้นสูง🔎 รู้หรือไม่
โรคผลเน่าเกิดจากเชื้อรา Phytophthora palmivora ชนิดเดียวกับโรครากเน่าและโคนเน่า การป้องกันที่ดี คือ การจัดการเชื้อโรคตั้งแต่ในแปลงอย่างจริงจัง
อ่านต่อ - 🌿 เตือนภัยเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ระวังโรคใบติด หรือใบไหม้ (เชื้อรา Rhizoctonia solani)
🌦️ ช่วงนี้อากาศร้อนสลับฝนตกหนาแน่นบางพื้นที่ แปลงทุเรียนระยะพัฒนาผล-เก็บเกี่ยว ระวังโรคใบติดหรือใบไหม้
🔍 อาการที่ควรระวัง
– เริ่มที่ใบอ่อน มีแผลคล้ายถูกน้ำร้อนลวก
– แผลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลุกลามสู่ใบปกติ
– ความชื้นสูงทำให้เกิดเส้นใยคล้ายใยแมงมุม
– ใบแห้ง ติดกันเป็นกระจุก ห้อยอยู่ตามกิ่ง
– ใบร่วง จนเหลือแต่กิ่ง และกิ่งแห้งในที่สุด
→ ต้นเสียทรง พุ่มโปร่งไม่สมบูรณ์🛡️ แนวทางป้องกันกำจัด
✂️ 1. ตัดแต่งกิ่ง
– ให้ทรงพุ่มโปร่ง อากาศถ่ายเทดี ลดความชื้นสะสม
– แสงแดดส่องทั่วถึง ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา
🌱 2. ควบคุมการแตกใบ
– แปลงที่มีโรคระบาดบ่อย อย่าใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูง
– ลดความเสี่ยงใบอ่อนถูกเชื้อราโจมตี
🔎 3. ตรวจแปลง & พ่นสารป้องกัน
– ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
– ตัดใบและส่วนที่เป็นโรค เผาทำลายนอกแปลงแนะนำสารป้องกันกำจัด (เลือกใช้ตามความเหมาะสม)
* คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ 77% WP (30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% WP (30–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 65.2% WG (20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คิวปรัสออกไซด์ 86.2% WG (10–20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ + คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ WG (10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* เฮกซะโคนาโซล 5% SC (20 มล./น้ำ 20 ลิตร)
* เพนทิโอไพแรด 20% SC (10 มล./น้ำ 20 ลิตร)
* ฟลูไตรอะฟอล 12.5% SC (20 มล./น้ำ 20 ลิตร)
* ทีบูโคนาโซล + ไตรฟลอกซีสโตรบิน 50% + 25% WG (10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* โทลโคลฟอส-เมทิล 50% WP (20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
📆 พ่นทุก 7 วัน ให้ทั่วทรงพุ่ม💡 คำแนะนำเพิ่มเติม
– หมั่นสังเกตอาการโรคหลังฝนตก
– ทำความสะอาดเครื่องมือตัดแต่งทุกครั้ง
– ใช้ร่วมกับแนวทางจัดการโรคใบจุดหรือโรคผลเน่า เพื่อการป้องกันเชื้อราหลายชนิดในฤดูฝน
อ่านต่อ - 🌾 ประกาศเตือนภัยทางการเกษตร ระวังโรครากและหัวเน่าในมันสำปะหลัง ระบาดหนักช่วงฤดูฝน
⚠️ สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา Phytophthora meadii ที่อยู่ในดินและเศษซากพืช เชื้อสามารถสร้างสปอร์ที่ว่ายน้ำได้ จึงแพร่กระจายได้รวดเร็วในช่วงฝนตกชุก
🔍 อาการที่ควรสังเกต
- เริ่มพบอาการตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป
- โคนต้นบวม มีปุ่มรากเหนือดิน
- ใบซีดเหลือง ใบล่างเหี่ยวแห้ง
- รากและหัวเน่า แต่ลำต้นยังดูปกติ
- หากใช้ลำต้นที่ติดเชื้อเป็นท่อนพันธุ์ จะทำให้โรคแพร่กระจาย🛡 แนวทางป้องกันและควบคุมโรค
1. เตรียมดินให้ดี ไถระเบิดชั้นดินดานและตากดิน 2 สัปดาห์
2. ยกร่องแปลงปลูก ป้องกันน้ำขัง
3. เลือกท่อนพันธุ์ปลอดโรค
4. แช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูก (แช่ 10 นาที)
- เมทาแลกซิล 25% WP: 20–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
- หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP: 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
5. จัดระยะปลูกให้โปร่ง ลดความชื้นสะสม
6. ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
- ถอนต้นที่ติดโรค
- โรยปูนขาวหรือราดสารเคมีรอบจุดที่พบโรค
7. หลังเก็บเกี่ยว เก็บเศษซากพืชไปทำลายนอกแปลง
8. ทำความสะอาดเครื่องจักรกล ป้องกันเชื้อแพร่กระจาย
9. ปลูกพืชหมุนเวียน เช่น อ้อย ข้าวโพด ถั่ว🚨 แนวทางเมื่อพบการระบาดรุนแรง
- พบโรค > 50% ของพื้นที่ ไถทิ้ง ทำลายซากพืช และตากดิน
- พบโรค 30–50%
- อายุ 1–3 เดือน ไถทิ้งและตากดิน
- อายุ 4–7 เดือน หว่านปูนขาว + เร่งเก็บเกี่ยว
- อายุ 8 เดือนขึ้นไป เร่งเก็บเกี่ยวทันที
📌 ขอให้เกษตรกรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลัง
อ่านต่อ - 📢 ประกาศเตือนภัยเกษตรกร : ระวังการระบาดของแมลงนูนหลวงในไร่อ้อย
สภาพอากาศในช่วงนี้มีอากาศร้อนสลับฝนตก และบางพื้นที่มีฝนตกหนัก ขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โดยเฉพาะในช่วงอ้อยปลูกใหม่และอ้อยระยะแตกกอ ให้ระวังการระบาดของแมลงนูนหลวง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตอย่างรุนแรง
🐛 ลักษณะการทำลาย
- ตัวหนอนของแมลงนูนหลวงกัดกินรากอ้อย ทำให้ใบอ้อยเหลือง แห้ง และตายทั้งกอ
- กออ้อยที่ถูกทำลายสามารถดึงขึ้นจากดินได้ง่าย
- มักพบการระบาดเป็นหย่อม ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ดอน🛡 แนวทางป้องกันและกำจัด
✅ ระยะอ้อยปลูกใหม่
1. ไถพรวนดินหลายครั้ง เพื่อทำลายไข่ หนอน และดักแด้
2. จับตัวเต็มวัย โดยใช้ไม้ตีหรือเขย่าต้นไม้ช่วง 18.30–19.00 น. ต่อเนื่อง 15–20 วัน
3. ใช้สารเคมี ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 80 มล./น้ำ 20 ลิตร หรือ 320 มล./ไร่ พ่นบนท่อนพันธุ์ก่อนปลูกแล้วกลบดิน
✅ ระยะอ้อยแตกกอ
1. จับตัวเต็มวัย เช่นเดียวกับระยะปลูกใหม่
2. ใช้สารเคมี ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 80 มล./น้ำ 20 ลิตร
เปิดหน้าดินห่างจากกออ้อยประมาณ 8 นิ้ว พ่นสารลงร่องแล้วกลบดิน หรือใช้เครื่องผ่าตอแล้วพ่นสารลงในรอยผ่า📌 หมายเหตุ
- พื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังจะถูกทำลายน้อยกว่า
- หนอนเพียง 1 ตัวต่อกอสามารถทำให้อ้อยตายทั้งกอได้
อ่านต่อ