แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- ระวังไรขาวพริกสภาพอากาศในช่วงนี้ อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกพริกในระยะออกดอกติดผล เจริญเติบโตทางลำต้น รับมือไรขาวพริกตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ยอดและดอก ทำให้ใบและยอดหงิกงอ ขอบใบม้วนงอลงด้านล่าง ทำให้ใบมีลักษณะเรียวแหลม ก้านใบยาว เปราะหักง่าย อาการขั้นรุนแรงส่วนยอดจะแตกเป็นฝอย ถ้าทำลายดอกกลีบดอกจะบิดแคระแกร็น ชะงักการเกิดดอก หากระบาดรุนแรง ต้นพริกจะแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต มักพบระบาดในช่วงที่มีอากาศชื้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนแนวทางป้องกันกำจัด
1. สุ่มสำรวจพริกทุกสัปดาห์ หากพบอาการใบหงิกม้วนงอลงที่เกิดจากการทำลายของไรขาวพริก ให้ทำการป้องกันกำจัด
2. เมื่อพบการระบาดใช้สารฆ่าแมลง-ไร ที่มีประสิทธิภาพ เช่น อะมิทราซ 20% EC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิจร หรือ ไพริดาเบน 20% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ กำมะถัน 80% WP อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นซ้ำตามการระบาด
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยจักจั่นฝ้ายในทานตะวันสภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นลง และมีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกทานตะวัน ในระยะ ต้นกล้า รับมือเพลี้ยจักจั่นฝ้าย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ทำลายพืชโดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบทานตะวัน ขณะเดียวกันแมลงจะปล่อยสารพิษเข้าไปในใบพืช ทำให้ขอบใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้และงอลง ซึ่งอาการดังกล่าวเรียกว่า hopper burn ถ้ามีการระบาดรุนแรง ใบทานตะวันจะเหี่ยวแห้งและร่วงไปในที่สุด ถ้าลงทำลายในระยะต้นกล้า ทำให้ทานตะวันชะงักการเจริญเติบโต ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโตแนวทางป้องกันกำจัดหมั่นสุ่มสำรวจทานตะวันทุกสัปดาห์ หากพบตัวอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝ้ายมากกว่า 2 ตัวต่อใบ ในระยะทานตะวันอายุไม่เกิน 45 วัน ให้ทำการป้องกันกำจัดโดยการ พ่นสารฆ่าแมลง อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ บูโพรเฟซิน 25% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 6-12 พ.ย. 2567
สภาพอากาศทั่วไป
ในช่วงวันที่ 6-11 พ.ย. 2567 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้มีฝนเล็กน้อยในบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียสโดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนวันที่ 12 พ.ย. มวลอากาศเย็นจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีอุณหภูมิลดลงเพิ่มอีก 1-2 องศาเซลเซียสคำแนะนำสำหรับเกษตรกร
ภาคเหนือ: ควรเตรียมป้องกันพืชจากลมแรง และระวังการระบาดของศัตรูพืชเนื่องจากอากาศเย็นชื้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เกษตรกรควรเพิ่มการป้องกันพืชจากความเสียหายที่อาจเกิดจากฝนเล็กน้อยในช่วงแรกของสัปดาห์ และเตรียมพร้อมสำหรับอุณหภูมิลดต่ำ
ภาคกลาง: ระวังศัตรูพืชที่จะระบาดในช่วงอากาศเย็น อาจใช้วิธีการคลุมพืชเพื่อรักษาอุณหภูมิ
ภาคตะวันออก: เตรียมจัดการน้ำให้เพียงพอในพื้นที่เกษตร เพื่อป้องกันการระบาดของโรคเชื้อราในพืชสวนจากความชื้น
ภาคใต้: มีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ควรระบายน้ำออกจากแปลงเกษตรเพื่อป้องกันน้ำขังสรุป เกษตรกรในประเทศไทยช่วงนี้ควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งเรื่องอุณหภูมิและความชื้นในแต่ละภาค เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรคงคุณภาพและป้องกันการเสียหายจากสภาพอากาศ
อ่านต่อ - เตือนภัยชาวสวนปาล์มระวังหนอนปลอกเล็กระบาดพบพื้นที่ ระบาดหนัก 5 จังหวัด (จ.ชลบุ รี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี) จำนวน 679 ไร่ โดยลักษณะการทำลายของหนอนปลอกเล็กจะแทะผิวใบ กินตรงส่วนผิวใบเอามาทำปลอกหุ้มตัว ทำให้ใบแห้งเป็นสีน้ำตาล และกัดทะลุใบเป็นรูและขาด แหว่ง ถ้ารุนแรงจะเห็นทางใบทั้งต้นเป็นสีน้ำตาลแห้งคล้ายใบไหม้ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลงแนวทางการป้องกันกำจัด
หากพบการระบาดเริ่มทำลายเล็กน้อย ให้ตัดทางใบที่หนอนกำลังกินมาเผาทำลาย แต่หากอยู่ในพื้นที่การระบาดของด้วงงวงหรือด้วงสาคูไม่ควรตัดทางใบ เพราะรอยแผลจะเป็นช่องทางเข้าทำลายของด้วงงวง ให้พ่นเชื้อบีที (Bacillus thuringiensis) ทันที โดยใช้เชื้อบีที อัตรา 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ 5 มิลลิลิตร พ่นให้ทั่วบริเวณใต้ใบและต้องพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงยูวีที่จะทำลายเชื้อบีที โดยใช้เครื่องพ่นที่ปรับความดันได้ไม่น้อยกว่า 30 บาร์ และพ่นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ห่างกัน 5-7 วันกรณีพบการระบาดรุนแรง ใช้วิธีพ่นสารทางใบ โดยเลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้ ฟลูเบนไดเอไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร สปินโนแสด 12% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังโรคราน้ำค้างในข้าวโพด
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกข้าวโพด (ข้าวโพดฝักสด, ข้าวโพดหวาน, ข้าวโพดเทียน, ข้าวโพดข้าวเหนียว) ในระยะเริ่มปลูกถึงอายุประมาณ 30 วัน รับมือโรคราน้ำค้าง (เชื้อรา Peronosclerospora sorghi)
โรคเกิดได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก โดยพบจุดเล็ก ๆ สีเขียวฉ่ำน้ำบนใบอ่อน ต่อมาใบข้าวโพดมีสีเหลืองซีดโดยเฉพาะบริเวณยอด หรือใบลายเป็นทางสีเขียวอ่อนสลับเขียวแก่ ในเวลาเช้าที่มีอากาศค่อนข้างเย็นและความชื้นสูง มักพบส่วนของเชื้อรา ลักษณะเป็นผงสีขาวจำนวนมากด้านใต้ใบ บางครั้งพบยอดข้าวโพดแตกเป็นพุ่ม ต้นแคระแกร็น ข้อถี่ ไม่มีฝัก หรือมีฝักขนาดเล็ก ก้านฝักมีความยาวมาก หรือมีจำนวนฝักมากกว่าปกติ แต่จะไม่สมบูรณ์ เช่น มีเมล็ดจำนวนน้อย หรือไม่มีเมล็ดเลย
* ข้าวโพดในระยะเริ่มปลูกถึงอายุประมาณ 30 วัน จะอ่อนแอต่อโรคนี้มากแนวทางป้องกันกำจัด
1. ควรใช้พันธุ์ต้านทาน และคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ เมทาแลกซิล-เอ็ม 35% ES อัตรา 3.5 มิลลิลิตรต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 30 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม
2. ในแหล่งที่เคยมีการระบาดของโรคหากพบว่ามีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเกิดโรค คือ อุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง เมื่อข้าวโพดอายุ 5-7 วัน ควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 20-30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30 - 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน จำนวน 3-4 ครั้ง
3. ถอนต้นที่แสดงอาการของโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูก
4. พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน
* เชื้อสาเหตุโรคสามารถเข้าทำลายได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก ซึ่งการพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช หลังจากข้าวโพด อายุ 20 วันขึ้นไป จะไม่สามารถป้องกันกำจัดโรค
อ่านต่อ - ระวังอาการเนื้อแก้วและยางไหลในมังคุด
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้) เตือนผู้ปลูกมังคุดในระยะติดผล-เก็บเกี่ยว รับมืออาการเนื้อแก้วและยางไหล เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของผล เมื่อได้รับน้ำมากเกินไป มังคุดเกิดอาการเนื้อเป็นสีใส มีลักษณะฉ่ำน้ำอยู่ภายใน หรือพบน้ำยางสีเหลืองไหลอยู่ภายในผล และบางส่วนไหลออกมาภายนอกเห็นเป็นจุด ๆ บนเปลือก ถ้าอาการรุนแรงผิวเปลือกจะมีรอยร้าว
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอตามความต้องการน้ำของมังคุด โดยให้น้ำทุก 3 วัน ในกรณีที่ฝนไม่ตก แต่ถ้าฝนตกหนักควรระบายน้ำออกจากแปลงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้มังคุดได้รับน้ำมากเกินไป
2. บำรุง รักษาต้นมังคุดให้มีความสมบูรณ์
อ่านต่อ - ระวังโรคแอนแทรคโนส หรือโรคใบไหม้สีน้ำตาล หรือโรคกิ่งแห้ง หรือโรคผลแห้งในกาแฟโรบัสต้า
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะภาคใต้) เตือนผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า ในระยะเก็บเกี่ยวผลสุก รับมือโรคแอนแทรคโนส หรือโรคใบไหม้สีน้ำตาล หรือโรคกิ่งแห้ง หรือโรคผลแห้ง (เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides, Colletotrichum coffeanum)
อาการที่ใบ: พบได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล เมื่ออาการรุนแรงแผลจะขยายขนาดเป็นแผลใหญ่ ทำให้ใบแห้งไหม้ทั้งใบ
อาการที่กิ่ง: เกิดอาการไหม้บนกิ่งเขียว ทำให้ใบเหลืองและร่วง กิ่งเหี่ยวและแห้งทั้งกิ่ง
อาการที่ผล: พบได้ทั้งผลอ่อน และผลแก่ เริ่มแรกผลเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจุดจะขยายรวมกันเป็นแผลรูปร่างไม่แน่นอน และเนื้อเยื่อของแผลยุบตัว ผลที่เป็นโรคจะหยุดการเจริญ เปลี่ยนเป็นสีดำ แต่ผลยังคงติดอยู่บนกิ่งกาแฟแนวทางป้องกันกำจัด
1. รักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสม เพื่อรักษาระดับความชื้น เป็นการป้องกันการเกิดโรค
2. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เก็บผล ตัดแต่งกิ่ง ใบ และดอก ที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช แมนโคเซบ 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เบโนมิล 50% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ควรหยุดพ่นสารเมื่อผลเริ่มแก่จนกระทั่งเก็บเกี่ยว
3. ในระยะติดผลหมั่นสำรวจ และป้องกันกำจัดมอดเจาะผลกาแฟอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมอดเจาะผลจะทำให้เกิดแผล เป็นช่องทางให้เชื้อราเข้าทำลายผลได้มากขึ้น
5. หลังเก็บเกี่ยวผลกาแฟควรตัดแต่งกิ่งและให้ปุ๋ยบำรุงต้น เพื่อให้ต้นกาแฟมีความแข็งแรง
อ่านต่อ - ระวังโรคผลเน่าในกาแฟโรบัสต้าสภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ (โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้) เตือนผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า ในระยะเก็บเกี่ยว ผลสุก รับมือโรคผลเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Aspergillus sp.ผลกาแฟสุกที่ร่วงหล่นบริเวณใต้ต้น อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อรา หรือผลผลิตกาแฟมีความชื้น เนื่องจากเก็บผลกาแฟที่สุกเกินระยะเก็บเกี่ยว หรือเก็บไว้ในกระสอบเป็นเวลานาน หรือโดนฝนหรือความชื้นขณะตากผลกาแฟ หากเชื้อราเข้าทำลาย เมื่อนำมาสี จะทำให้เมล็ดกาแฟแตก หัก คุณภาพลดลง
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ไม่ควรเก็บผลกาแฟที่ร่วงหล่นบริเวณใต้ต้นไปใช้ เนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อรา
2. เลือกเก็บผลกาแฟที่สุกเต็มที่ และนำไปตากทันที ไม่ควรเก็บผลกาแฟไว้ในกระสอบนาน การตากควรตากบนลานพื้นปูนซีเมนต์ แคร่ไม้ไผ่ หรือตาข่ายสีฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผลกาแฟสัมผัสดินและความชื้น และควรพลิกกลับผลกาแฟในระหว่างตากเป็นช่วง ๆ เพื่อให้สีของผลสม่ำเสมอ และป้องกันการเกิดเชื้อรา
3. เมื่อพบเมล็ดกาแฟที่มีเชื้อรา รีบเก็บออกนำไปทำลาย
4. ทำความสะอาดเก็บกวาดเศษซากพืช หรือเศษเมล็ดกาแฟที่ตกค้างบนลานตาก เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อ
5. หลีกเลี่ยงการตากกาแฟไม่ให้โดนฝน ควรมีหลังคาหรือผ้ากันความชื้นในเวลากลางคืนเพื่อป้องกันน้ำค้าง
อ่านต่อ - ระวังการเข้าทำลายของหนอนหน้าแมว
เตือนภัยการเกษตร เกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมันในทุกระยะการเจริญเติบโต สภาพอากาศช่วงนี้มีอากาศเย็นในตอนเช้า และมีฝนตกบางพื้นที่ ให้ระวังการเข้าทำลายของหนอนหน้าแมว
อ่านต่อ - เตือนระวังโรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง
โรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง อาการเริ่มแรกพบจุดสีเหลืองหรือน้ำตาลขนาดเล็ก และขยายใหญ่ขึ้นเป็นปื้นสีเหลือง โดยจะพบที่ใบล่าง ใบแก่หรือโคนเถา ในเวลาเช้ามืดจะเห็นเส้นใยเชื้อราสีขาวหรือเทาที่ใต้ใบ ขอบใบจะม้วนและร่วง ปื้นสีเหลืองนั้นต่อไปจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
*ในเมล่อน แคนตาลูป และแตงโม จะทำให้ความหวานลดลงวิธีการดูแลรักษา
1. ก่อนปลูกควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียล นาน 20-30 นาที หรือคลุกเมล็ดด้วยสารเมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7 กรัม ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม
2. ไม่ปลูกพืชแน่นเกินไป เพราะจะทำให้มีความชื่นสูง และหมั่นกำจัดวัชพืช เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศในแปลงได้ดี และทำลายแหล่งอาศัยของด้วงเต่าแดง
3. กำจัดด้วงเต่าแดง ซึ่งอาจเป็นแมลงพาหนะโรค โดยการจับทำลาย หรือพ่นด้วยสารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด
4. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบโรคเริ่มระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช
5. แปลงที่เป็นโรค ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำในตอนเย็น เพื่อลดความชื้นในแปลงและหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้เก็บซากพืชไปทำลายนอกแปลงปลูก ไม่ปลูกพืชตระกูลแตงซ้ำและควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน
อ่านต่อ - ระวังโรคแอนแทรคโนสในทุเรียน
แนวทางป้องกันกำจัดโรค
- ดูแลต้นทุเรียนให้ มีความแข็งแรงโดยการให้น้ำ และธาตุอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอโดยเฉพาะในช่วงติดผลของทุเรียน
- ในแหล่งปลูกที่พบโรคเสมอในช่วงทุเรียนแตกใบอ่อน ควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรค เช่น เบนโนมิล คาร์เบนดาซิม หรือคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์** สามารถฟังคลิปเสียงบรรยาย ได้ที่ ระวังโรคแอนแทรคโนสในทุเรียนและแนวทางป้องกันกำจัด
อ่านต่อ - อัปเดตสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 12.00 น.ปริมาณน้ำไหลผ่าน C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 1,664 ลบ.ม./วินาที -60 ลบ.ม./วินาที จาก 29 ต.ค.67 เวลา 18.00 น. (1,724 ลบ.ม./วินาที)ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท 1,551 ลบ.ม./วินาที -49 ลบ.ม/วินาที จาก 29 ต.ค.67 เวลา 18.00 น. (1,600 ลบ.ม./วินาที)จะส่งผลกระทบในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองโผงเผง คลองบางบาล แม่น้ำน้อย และพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทองคลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยาแม่น้ำน้อย ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ และ ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
อ่านต่อ - ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 2-12 พฤศจิกายน 2567สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 2-12 พฤศจิกายน 2567เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำมีระดับเพิ่มสูงขึ้น จึงมีโอกาสเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวในจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง
แนวทางป้องกันกำจัด - ถ้าพบไม่มากให้ตัดส่วนที่แมลงระบาดไปเผาทิ้ง เพราะเพลี้ยไฟมักอยู่กันเป็นกลุ่มบริเวณส่วนยอดอ่อนของพืช
- การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ควรพ่นระยะติดดอกอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ระยะเริ่มแทงช่อดอกและระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร) ถ้าหากพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรงให้พ่นซ้ำในระยะก่อนดอกบาน
- สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่แนะนำ คือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะบาเมกติน 1.8% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซแอนทรานิลิโพรล 10% โอดี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
* ในขณะที่ดอกบานควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสรได้
อ่านต่อ - ระวังด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นมะม่วง
ตัวเต็มวัยเป็นด้วงหนวดยาว เพศเมียวางไข่ในเวลากลางคืนโดยฝังไว้ใต้เปลือก หนอนจะกัดกินชอนไชตามเปลือกไม้ด้านใน ทำให้เกิดยางไหล หนอนอาจควั่นเปลือกจนรอบลำต้น ทำให้ท่อน้ำท่ออาหารถูกตัดทำลายเป็นเหตุให้ต้นมะม่วงทรุดโทรม ใบแห้ง และยืนต้นตายได้ สังเกตรอยทำลายได้จากขุยไม้ที่หนอนถ่ายออกมาบริเวณเปลือกลำต้น
แนวทางป้องกันกำจัด
1.หมั่นสำรวจตรวจแปลงสม่ำเสมอ โดยสังเกตรอยแผล ซึ่งเป็นแผลเล็กและชื้น ที่ตัวเต็มวัยทำขึ้นเพื่อการวางไข่ พบให้ทำลายไข่ทิ้ง หรือถ้าพบขุยและการทำลายที่เปลือกไม้ให้ใช้มีดแกะและจับหนอนทำลาย
2.กำจัดแหล่งขยายพันธุ์โดยตัดต้นที่ถูกทำลายรุนแรง จนไม่สามารถให้ผลผลิตเผาทิ้ง
3.กำจัดตัวเต็มวัย โดยใช้ไฟส่องจับตัวเต็มวัยตามต้น ในช่วงเวลา 20.00 น. ถึงเช้ามืด หรือใช้ตาข่ายดักปลาตาถี่พันรอบต้นหลายๆทบ เพื่อดักตัวด้วง
4.กรณีที่มีการระบาดรุนแรง ควรป้องกันการเข้าทำลายของด้วงหนวดยาวโดยใช้สารป้องกันกำจัดแมลง เช่น อิมิดาคลอพริด 10% เอสเอล อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะเซทามิพริด 20% เอสพี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไธอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วบริเวณต้นและกิ่งขนาดใหญ่
อ่านต่อ - ระวังโรคลำต้นเน่าปาล์มน้ำมัน พบระบาดบริเวณพื้นที่ 12 จังหวัด กว่าหมื่นไร่โรคลำต้นเน่าปาล์มน้ำมัน พบพื้นที่การระบาดบริเวณพื้นที่ 12 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ ชุมพร ตรัง สงขลา นครศรีธรรมราช สตูล และสุราษฎร์ธานี) จำนวน 11,812 ไร่ เป็นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมากกว่า 20 ปี โดยโรคลำต้นเน่าปาล์มน้ำมันเกิดจากเชื้อเห็ดกาโนเดอร์มา สามารถเข้าทำลายปาล์มน้ำมันได้ทุกระยะการเจริญเติบโตลักษณะการเข้าทำลาย
ระยะแรกต้นปาล์มจะไม่พบลักษณะอาการผิดปกติ ต่อมาทรงพุ่มจะบางลง มีใบยอดไม่คลี่คล้ายกับอาการขาดน้ำ แสดงว่าภายในลำต้นถูกทำลายกว่า 60% ลำต้นกลวง เนื้อเยื่อผุเปื่อย พบดอกเห็ดบริเวณโคนต้น ปาล์มน้ำมันจะหักพับล้ม ในพื้นที่ปลูกทดแทนและเคยเป็นโรคจะพบโรคจะพบไวขึ้น ทำให้อายุของปาล์มน้ำมันสั้นลงเนื่องจากเชื้อสะสมอยู่ในดิน ซึ่งมีผลต่อความคุ้มทุนในการเก็บเกี่ยวผลผลิต หากสามารถตรวจพบโรคได้เร็วจะทำให้สามารถจัดการและควบคุมการระบาดของโรคได้ทันท่วงทีวิธีป้องกันกำจัด ในปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศ เพื่อชะลอการเข้าทำลายของเชื้อสาเหตุ รักษาสภาพต้นเพื่อให้ยังสามารถเก็บผลผลิตได้ หากสามารถพบต้นที่เป็นโรคได้เร็ว รีบดำเนินการจัดการจะสามารถลดการแพร่กระจายของเชื้อและยืดอายุต้นได้1. ตรวจสอบต้นที่คาดว่าจะเป็นโรคโดยใช้ไม้เคาะลำต้นเพื่อฟังเสียงบริเวณที่ถูกทำลาย2. เก็บดอกเห็ดซึ่งเป็นส่วนของเชื้อราสาเหตุโรค ที่พบจากต้นที่เป็นโรค นำไปทำลายนอกแปลงปลูก3. ต้นที่เป็นโรคที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ให้ถากส่วนที่เป็นโรคออก นำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วทาแผลด้วยสารเคมี เช่น โคลทาร์ สารที่มีส่วนผสมของ โคลทาร์ สารไทแรม หรือสารเคมีกำจัดเชื้อรากลุ่มไตรอะโซล4. สังเกตต้นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต้นที่เป็นโรค หากพบเริ่มมีอาการของโรคให้รีบป้องกันกำจัด5. แปลงที่มีการระบาดของโรค หากปลูกใหม่ควรใช้พันธุ์ต้านทานโรคข้อมูลจากรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 22 ตุลาคม 2567
อ่านต่อ - ตอกย้ำชาวสวนเฝ้าระวัง 2 ด้วงแท็กทีมบุกสวนอินทผลัม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้เตือนให้เฝ้าระวังการระบาดของด้วงแรดมะพร้าวและด้วงงวงมะพร้าวหรือด้วงสาคู โดยเริ่มพบการระบาดในสวนอินทผลัม ซึ่งเป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกมากขึ้น เตือนภัยชาวสวนระวัง 2 ด้วงบุกเข้าทำลายต้นอินทผลัม เผยเป็นภัยเงียบยากต่อการมองเห็น ชี้ด้วงแรดเป็นด่านหน้าเข้าทำลายกัดกินยอด ก่อนเปิดทางด้วงงวงรุกทำลายต่อ จนเข้าขั้นโคม่า ทำให้ต้นตายในที่สุด เน้นย้ำเกษตรกรต้องตัดวงจรแพร่ระบาด หมั่นทำความสะอาดสวน พร้อมติดกับดักฟีโรโมนล่อตัวเต็มวัยมาทำลาย และลดการวางไข่ ได้ผลเกินคาด
โดยด้วงแรดมะพร้าวจะเป็นศัตรูด่านหน้าเข้าไปเจาะกินก่อน หลังจากนั้นด้วงงวงมะพร้าวตามเข้ามาทำลายโดยวางไข่บริเวณบาดแผลตามลำต้น บริเวณที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้ หรือบริเวณรอยแตกของเปลือก รวมทั้งยังสามารถเจาะส่วนที่อ่อน รวมถึงส่วนลำต้นบริเวณซอกโคนกาบใบเพื่อวางไข่ได้
โดยหนอนที่ฟักออกจากไข่จะกัดกินชอนไชไปในลำต้นทำให้เกิดแผลเน่าภายใน บางครั้งอาจมีของเหลวข้นสีน้ำตาล มีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากบริเวณรอยแผลที่โดนเจาะ ต้นอินทผลัมที่ถูกทำลายจะแสดงอาการใบเหี่ยวเฉา เพราะท่อน้ำท่ออาหารภายในลำต้นถูกทำลายไม่สามารถส่งน้ำและอาหารไปถึงยอดได้ บริเวณที่หนอนทำลายจะเป็นโพรงรูและแผลเน่าต่อเนื่องไปในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งตัวหนอนจะกัดกินไปจนกระทั่งต้นเป็นโพรงใหญ่และทำให้ต้นอินทผลัมตายในที่สุด
การป้องกันกำจัด ให้ตัดโค่นทอนเป็นท่อนแล้วผ่า พร้อมกับจับหนอนไปทำลาย และไม่ควรให้ต้นอินทผลัมเกิดแผลเพราะจะเป็นช่องทางให้ด้วงงวงมะพร้าววางไข่และตัวหนอนที่ฟักจากไข่จะเจาะเข้าทำลายในต้นอินทผลัมได้ อย่างไรก็ตามหากลำต้นเป็นรอยแผลควรทาด้วยน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ที่ใช้แล้วหรือชันยาเรือผสมกับน้ำมันยางเพื่อป้องกันการวางไข่ พร้อมกับใช้กับดักฟีโรโมนชนิดดึงดูดด้วงงวงมะพร้าวเพื่อล่อตัวเต็มวัยมาทำลาย ซึ่งกับดักฟีโรโมนสามารถลดจำนวนประชากรด้วงงวงมะพร้าวได้โดยตรง และลดการวางไข่ได้ผลอีกด้วย โดยกับดักทำจากถังพลาสติกใส่น้ำไว้ และใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีดําประกอบกันเป็นฉากที่ด้านบนเหนือตัวถัง ซึ่งฟีโรโมนในกับดักจะมีกลิ่นดึงดูดด้วงงวงมะพร้าวให้บินเข้าหาชนฉากฟิวเจอร์บอร์ดและร่วงลงในถังจมน้ำตายในที่สุด แนะนำเกษตรกรให้ติดกับดักในอัตรา 1 กับดักต่อพื้นที่ 10-12 ไร่ ส่วนสารป้องกันกำจัดตามคำแนะนำของสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช ใช้ไดอะซินอน 60% อีซี อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือพ่นบริเวณลำต้นอินทผลัมตั้งแต่โคนยอดอ่อนลงมา เน้นบริเวณซอกกาบใบให้เปียก ปริมาณการใช้จำนวน 1-1.5 ลิตรต่อต้น ทุก 15-20 วัน และควรใช้ 1-2 ครั้งในช่วงระบาด
ด้วงงวงมะพร้าวเป็นศัตรูพืชที่พบการเข้าทำลายในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มะพร้าว อินทผลัม และพืชตะกูลปาล์มอื่น ๆ โดยมักพบเข้าทำลายตามรอยแผลที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้เป็นช่องทางให้ด้วงงวงมะพร้าววางไข่และฟักออกเป็นตัวหนอนเข้าไปทำลายในต้นอินทผลัมได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงต้องป้องกันกำจัดด้วงแรดมะพร้าวไม่ให้ระบาดในสวน โดยแหล่งขยายพันธุ์ของด้วงแรดมะพร้าวส่วนใหญ่มาจากการทิ้งเศษพืช ซากเน่าเปื่อยของตอมะพร้าวหรือปาล์มน้ำมัน กองมูลสัตว์เก่า กองปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว เกษตรกรจึงควรทำความสะอาดสวนไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ขยายพันธุ์ของด้วงแรดมะพร้าว ซึ่งทั้งด้วงแรดมะพร้าวและด้วงงวงมะพร้าวเป็นศัตรูพืชที่พบการกระจายได้ทั่วประเทศและระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยการเข้าทำลายในระยะแรก ๆยากต่อการมองเห็น ดังนั้นเกษตรกรจึงควรเฝ้าระวังและป้องกันกำจัดแต่ต้น
อ่านต่อ - เตือนเกษตรกรระวังโรคบนหน้ากรีดยางในฤดูฝน
ขณะนี้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้หลายพื้นที่มีฝนตกและความชื้นสูง เหมาะสมต่อการเจริญและแพร่ระบาดของเชื้อรา สาเหตุของโรคต่าง ๆ ของยางพาราที่สามารถเกิดได้ทั้งส่วนใบ ลำต้นและราก และเกิดได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต ซึ่งมีระดับความรุนแรงของโรคมากน้อยแตกต่างกันไปตามแหล่งปลูกยาง และจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของแปลงปลูกสภาวะอากาศในแต่ละพื้นที่ รวมถึงพันธุ์ยางที่ใช้ปลูก อย่างไรก็ตามโรคยางพาราส่วนใหญ่มักระบาดไม่รุนแรงมาก จนทำให้ต้นยางตาย แต่มีผลทำให้ผลผลิตลดลง สำหรับโรคที่เกิดส่วนลำต้นและมีความสำคัญ ได้แก่ โรคเส้นดำ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นบนหน้ากรีดยาง ทำให้ไม่สามารถกรีดยางซ้ำบนหน้ากรีดเดิมได้อีก เป็นผลให้ระยะเวลาการให้ผลผลิตสั้นลง ดังนั้นเกษตรกรควรทำความเข้าใจกับโรคที่เกิดขึ้นเพื่อสามารถป้องกันและรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
โรคเส้นดำ (Black stripc) เป็นโรคของยางพาราที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปธอรา (Phytophthora botryosa, P. palmivora) เป็นโรคทางลำต้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื้อเข้าทำลายหน้ากรีด ซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บเกี่ยวน้ำยาง หากอาการรุนแรงจะไม่สามารถกรีดยางซ้ำบนหน้ากรีดเดิมได้อีก ทำให้ระยะเวลาการให้ผลผลิตสั้นลง โรคเส้นดำเป็นโรคที่แพร่ระบาดในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคใบร่วงและฝักเน่าที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปธอราเป็นประจำ เนื่องจากเชื้อราที่เข้าทำลายฝักยาง ใบ และก้านใบเป็นแห่งเชื้อที่สามารถแพร่ระบาดเข้าทำลายหน้ากรีด
เกษตรกรสามารถสังเกตลักษณะอาการของโรคเส้นดำได้ ตรงเหนือรอยกรีดจะมีลักษณะเป็นรอยช้ำ ต่อมาจะกลายเป็นรอยบุ๋มสีดำตามแนวยาวของลำต้น เมื่อเฉือนเปลือกบริเวณรอยบุ๋มสีดำจะเห็นลายเส้นสีดำบนเนื้อไม้ และอาจลุกลามลงใต้รอยกรีด ถ้าอาการรุนแรง บริเวณที่เป็นโรคจะปริเน่า มีน้ำยางไหล เปลือกเน่าหลุดออกมา ถ้าการเข้าทำลายของเชื้อไม่รุนแรง เปลือกงอกใหม่จะเป็นปุ่มปม ทำให้ไม่สามารถกรีดยางได้
เชื้อราสาเหตุของโรคเส้นดำแพร่ระบาดโดยเชื้อบนฝักและใบที่เป็นโรคถูกชะล้างโดยน้ำฝนลงมาที่หน้ากรีด และจะระบาดรุนแรงเมื่อกรีดยางติดต่อกันในฤดูฝนโดยไม่มีการป้องกันรักษาหน้ากรีด เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความชื้นสูง ๆ หน้ากรีดจะเปียกอยู่ตลอดเวลา เหมาะต่อการขยายพันธุ์ของเชื้อ พบว่าเชื้อราสาเหตุของโรคสามารถเข้าทำลายพืชอื่นได้หลายชนิด เช่น มะละกอ แตงโม ส้ม ทุเรียน พริกไทย โกโก้ มะพร้าว ยาสูบ กล้วยไม้
ดังนั้น เกษตรกรจึงควรหลีกเลี่ยง ไม่ปลูกพืชเหล่านี้เป็นพืชแซมยางหรือพืชร่วมยาง และไม่ควรเปิดกรีดยางในช่วงฤดูฝนในพื้นที่ที่มีโรคระบาดรุนแรง ระยะที่มีโรคใบร่วงไฟทอปธอราระบาด
แนะนำให้ใช้สารเคมีทาป้องกันโรคที่หน้ากรีด สารเคมีที่มีประสิทธิภาพคือ เมทาแลคซิล เช่น เอพรอน หรือ ฟอสเอทธิล อะลูมินัม เช่น อาลีเอท ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง อัตรา 7-10 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ทาพื้นที่หน้ากรีดหรือทาเหนือรอยกรีดภายใน 12 ชั่วโมง หลังการกรีดยางทุกสัปดาห์ แต่หากพบอาการที่หน้ากรีดต้องเฉือนเปลือกส่วนที่เป็นโรคออกเสียก่อน แล้วจึงทาแผลด้วยสารเคมี สารเคมีที่มีประสิทธิภาพ คือ เมทาแลคซิล เช่น เอพรอน อัตรา 14 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือฟอสเอทธิล-อลูมินั่ม เช่น อลีเอท อัตรา 20-25 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ ออกซาไดซิล+แมนโคเซนโดแฟน-เอ็ม อัตรา 40-60 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งผสมสารจับใบ 2 ซีซี. พ่นหรือทาหน้ากรีดยางทุก 5-7 วัน อย่างน้อย 4 ครั้ง
ในช่วงที่ฝนตกชุก เกษตรกรควรหมั่นตรวจตราดูแลสวนยางอย่างสม่ำเสมอ และสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของต้นยางที่เกิดขึ้น เพื่อตรวจวินิฉัยพิจารณาแก้ไขปัญหาเบื้องต้น และป้องกันกำจัด ก่อนที่การระบาดของโรคจะรุนแรงมากขึ้น การบำรุงต้นยางให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ดี
อ่านต่อ - เตือนนาชลประทานระวังโรคใบหงิก (โรคจู๋)
โรคใบหงิก (โรคจู๋) (Rice Ragged Stunt Disease) พบมากในนาชลประทานภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Rice Ragged Stunt Virus (RRSV)
การแพร่ระบาด เชื้อไวรัสสาเหตุโรคถ่ายทอดได้โดยแมลงพาหะ คือ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และเชื้อไวรัสสามารถคงอยู่ในตอซัง และหญ้าบางชนิด
อาการ ต้นข้าวเป็นโรคได้ ทั้ง ระยะกล้า แตกกอ ตั้งท้อง อาการของต้นข้าวที่เป็นโรค สังเกตได้ง่าย คือ ข้าวต้นเตี้ยกว่าปกติ ใบแคบและสั้นสีเขียวเข้ม แตกใบใหม่ช้ากว่าปกติ แผ่นใบไม่สมบูรณ์ ปลายใบบิดเป็นเกลียว ขอบใบแหว่งวิ่นและเส้นใบบวมโป่งเป็นแนวยาวทั้งที่ใบและกาบใบ ข้าวที่เป็นโรคออกรวงล่าช้าและให้รวงไม่สมบูรณ์ เมล็ดลีบ ผลผลิตลดลง 30 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และข้าวพันธุ์อ่อนแอที่เป็นโรคในระยะกล้า ต้นข้าวอาจตายและไม่ได้ผลผลิตเลย
การป้องกันกำจัด
• กำจัดหรือทำลายเชื้อไวรัส โดยไถกลบหรือเผาตอซังในนาที่มีโรค กำจัดวัชพืช โดยเฉพาะวัชพืชใกล้แหล่งน้ำซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของแมลงพาหะ
• ใช้พันธุ์ที่ต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เช่น พันธุ์สุพรรณบุรี 90 สุพรรณบุรี 3 และชัยนาท 2 แต่ไม่ควรปลูกข้าวพันธุ์ดังกล่าว ติดต่อกันเป็นแปลงขนาดใหญ่ เนื่องจากแมลงสามารถปรับตัว เข้าทำลายพันธุ์ข้าวที่ต้านทานได้• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงพาหะ ได้แก่ ใช้สารฆ่าแมลงในระยะที่แมลงเป็นตัวอ่อน เช่น ไดโนทีฟูเรน หรือ บูโพรเฟซิน หรือ อีโทเฟนพรอกซ์ ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงผสมกันหลายๆ ชนิดหรือใช้สารฆ่าแมลงผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชหรือสารกำจัดวัชพืช เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของสารฆ่าแมลงลดลง
• ไม่ใช้สารกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ เช่น ไซเพอร์มิทริน ไซฮาโลทริน เดลต้ามิทริน เนื่องจากสารกลุ่มนี้ไปทำลายแมลงศัตรูธรรมชาติ จึงทำให้เกิดการระบาดรุนแรงของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
• ถ้าปฏิบัติได้ เมื่อมีโรคระบาดรุนแรงควรงดปลูกข้าว 1-2 ฤดู เพื่อตัดวงจรชีวิตของแมลงพาหะ
ข้อมูล : กรมการข้าว กองวิจัยและพัฒนาข้าว
อ่านต่อ