แจ้งเตือน
ช่วง 7 – 12 มิ.ย. เกษตรกรทั่วประเทศโปรดระวัง!
ฝนตกหนักถึงหนักมาก + ฝนสะสม เสี่ยง น้ำท่วมฉับพลัน และ น้ำป่าไหลหลาก
โดยเฉพาะ ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด
ทะเลอันดามันคลื่นแรง เรือเล็กงดออกจากฝั่ง เพื่อลดความเสี่ยง!
อ่านต่อ
ข่าวสาร
ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเมล็ดพันธุ์ผักของประเทศไทย (Veg-SeedHub) ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานเสวนาในหัวข้อ จากสวนบนดาดฟ้าสู่จานอาหาร: กำหนดอนาคตของไทยด้วยเมล็ดพันธุ์ผักเพื่อความยั่งยืนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025)📅 วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2568🕘 เวลา 08.4
อ่านต่อ
อ่านต่อ
การปลูกปาล์มน้ำมันได้รับรับความนิยมมากขึ้น พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันก็เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคของไทย แม้แต่ภาคใต้เองที่มีการปลูกปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจอยู่แล้วก็ยังมีการขยายพื้นที่ปลูกอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในโซนที่เห็นได้ชัดเจนคือพื้นที่ลุ่ม หรือที่นา เมื่อเปลี่ยนจากนาข้าวมาเป็นปาล์มน้ำมัน กลับทำให้เกษ
อ่านต่อ
อ่านต่อ
กรมประมง โดยสำนักงานประมงจังหวัดพะเยา ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา จัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ด้านการเพาะพันธุ์ปลาด้วยชุดเพาะฟักแบบเคลื่อนที่ (Mobile hatchery) ให้แก่กลุ่มประมงชุมชนในตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ 27–28 พฤษภาคม 2568
กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการน
อ่านต่อ
อ่านต่อ
ถาม-ตอบ
นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
ตอบเมื่อ 9 มิถุนายน 2568
เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงพันธุ์ซูดานเป็นพันธุ์ผสมเปิด ไม่ใช่พันธุ์ลูกผสม จึงสามารถเก็บเมล็ดจากฝักแก่ไปปลูกในฤดูกาลถัดไปได้ โดยไม่เสื่อมคุณภาพมากนัก และกระเจี๊ยบแดงส่วนใหญ่มีกลไกการผสมเกสรแบบผสมตัวเอง ทำให้เมล็ดที่ได้จากต้นแม่มีลักษณะใกล้เคียงเดิม มีลักษณะทางพันธุกรรมคงตัว โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง ลักษณะที่ดีจะได้รับการถ่ายทอดอย่างสม่ำเสมอ
ข้อดีคือ ประหยัดต้นทุน ไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนร้อน ทนแล้ง คัดเลือกพันธุ์เองได้ สามารถเลือกต้นที่แข็งแรง ดอกใหญ่ เมล็ดดก เพื่อเก็บไว้ทำพันธุ์เองได้ ลดการพึ่งพาบริษัทเมล็ดพันธุ์
ข้อเสียและข้อควรระวัง คือ พันธุกรรมอาจแปรปรวน หากมีการผสมข้ามกับพันธุ์อื่น หรือแมลงนำเกสรไปผสมข้ามสายพันธุ์ คุณภาพเมล็ดอาจเสื่อมถ้าเก็บไม่ถูกวิธี (เช่น ความชื้นสูง เชื้อรา) ต้องมีความรู้ในการคัดเลือกต้นแม่พันธุ์ และการเก็บรักษาเมล็ด
ส่วนในด้านคุณสมบัติอื่น ๆ
ข้อดี คือ กลีบเลี้ยงใหญ่ สีแดงสด ให้ผลผลิตดี เหมาะสำหรับการแปรรูป เช่น น้ำกระเจี๊ยบ, ชา กลิ่นหอม รสเปรี้ยวเด่น เป็นที่ต้องการของตลาดสมุนไพรและกลุ่มผู้บริโภค มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีสารแอนโทไซยานิน วิตามินซี โพลีฟีนอล ฯลฯ ทนแล้ง ปลูกได้ดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและในดินค่อนข้างแห้ง ปลูกง่าย โตเร็ว
ข้อจำกัด คือ ไม่ทนทานกับการเข้าทำลายของหนอนเจาะฝัก เพลี้ยแป้ง ไม่ทนน้ำขัง หากปลูกในพื้นที่ระบายน้ำไม่ดีรากอาจเน่า แม้ทนแล้ง แต่ถ้าได้รับน้ำน้อยเกินไปในช่วงออกดอก/ติดฝัก ผลผลิตจะลดลง กลีบเลี้ยงบางเมื่อแก่จัด หากเก็บช้าอาจส่งผลต่อคุณภาพและต้นทุนการขนส่ง เหมาะกับการเก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อ่านต่อ
อ่านต่อ
นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
ตอบเมื่อ 9 มิถุนายน 2568
ไม่แน่ใจว่าต้องการใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดใด ขอแนะนำสูตรอาหารเบื้องต้นที่มีอัตราส่วนที่อ้างอิงจากงานวิจัยและปรับใช้ในงานทดลอง ดังนี้
แนะนำให้ผสมสาหร่ายขนาดเล็ก (Microalgae) ในสูตรอาหารสัตว์น้ำที่ 2–10% เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต
⇨ ปรับใช้จริง ตะไคร่น้ำ 5–10% รำข้าว 10–20% อาหารกุ้งบด 70–85%
📋 สรุปสูตรแนะนำเบื้องต้น (อ้างอิงงานวิจัย):
สูตร ตะไคร่น้ำ รำข้าว อาหารกุ้งบด
A 10% (Spirulina) 20% 70%
B 5% (Schizochytrium) 15% 80%
C 5–10% (General algae) 10–20% 70–85%
หมายเหตุ
- สูตร A เหมาะกับสัตว์น้ำขนาดเล็ก (Nauplii/post‑larvae)
- สูตร B ใช้ Biofloc เพิ่มประสิทธิภาพน้ำและอาหาร
- สูตร C เป็นสูตรกลางที่ทดลองได้ตั้งแต่ Juvenile ขึ้นไป
การผสมสูตรอาหารจากตะไคร่น้ำ (เช่น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินหรือสาหร่ายเซลล์เดียว) กับอาหารกุ้งบดและรำข้าว เพื่อนำไปใช้ในการทดลองเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น กุ้งหรือปลา สามารถกำหนดอัตราส่วนได้ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เช่น เพื่อทดสอบผลต่อการเจริญเติบโต การกินอาหาร หรือคุณภาพน้ำ โดยอัตราส่วนที่แนะนำเบื้องต้น ได้แก่
🔹 สูตรพื้นฐาน (เหมาะสำหรับทดลองเบื้องต้น)
ตะไคร่น้ำ : อาหารกุ้งบด : รำข้าว 1 : 1 : 1 (โดยน้ำหนัก)
ใช้เมื่อต้องการทดสอบผลโดยไม่มีส่วนใดโดดเด่นเกินไป
ให้ค่าทางโภชนาการพอเหมาะ มีไฟเบอร์ โปรตีน และพลังงาน
🔹 สูตรเน้นโปรตีนจากตะไคร่น้ำ
ตะไคร่น้ำ : อาหารกุ้งบด : รำข้าว 2 : 1 : 1
เหมาะกับการทดลองว่าสาหร่ายมีผลต่อการเจริญเติบโตหรือสุขภาพสัตว์น้ำอย่างไร
ควรระวังการเน่าเสียถ้าเก็บไว้นาน
🔹 สูตรประหยัด (ลดปริมาณอาหารกุ้ง)
ตะไคร่น้ำ : อาหารกุ้งบด : รำข้าว 2 : 0.5 : 1.5
ใช้รำข้าวมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน
เหมาะกับการศึกษาผลของอาหารต้นทุนต่ำ
หมายเหตุ
- ตะไคร่น้ำควรเก็บเกี่ยวใหม่ สด หรืออบแห้งให้สะอาด
- อาหารกุ้งบดควรเลือกสูตรโปรตีน 30–40%
- รำข้าวใช้รำละเอียด ไม่ขึ้นรา
* อัตราส่วนเหล่านี้สามารถปรับได้ตามชนิดของสัตว์น้ำที่เลี้ยง (เช่น กุ้งก้ามกราม ปลานิล ฯลฯ)
อ่านต่อ
อ่านต่อ
นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.
ตอบเมื่อ 21 พฤษภาคม 2568
ไม่ทราบว่า เป็นอาการโรครากเน่าในพืชชนิดใด
กรณีโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียน จะมีเชื้อราสาเหตุโรคคือ Phytophthora palmivora เชื้อราจะเริ่มเข้าทำลายระบบราก ทำให้รากต้นทุเรียนเน่าเป็นสีน้ำตาล เมื่อรากเน่ามากขึ้นใบทุเรียนระดับปลายกิ่งจะแสดงอาการซีดเหลือง ชะงักการเจริญเติบโตและใบร่วงในเวลาต่อมา ใบระดับโคนกิ่งจะร่วงช้ากว่าบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะอาการเน่าที่โคนจะปรากฏจุดฉ่ำน้ำและมักมีน้ำเยิ้มออกมา เมื่อใช้มีดถากดูจะพบว่ามีน้ำไหลทะลักออกมา เนื้อเยื่อเปลือกและเนื้อไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มแสดงอาการเน่าลุกลามรอบโคนต้นทำให้ทุเรียนใบร่วงหมดต้น ยืนต้นตายในเวลาต่อมา ในภาพที่มีความชื้นสูงและมีฝนตกชุก เชื้อราสามารถแพร่กระจายเข้าทำลายกิ่ง ใบ และ ผล บนต้นทุเรียนได้ แพร่กระจายโดยทางลม น้ำ ดิน ใบ กิ่งพันธุ์ และผล โดยส่วนมากเชื้อราแพร่ระบาดทำลายผ่านทางรากในสภาพดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี มีน้ำขัง และลุกลามสู่โคนต้น แต่ในฤดูฝนที่มีลมพายุและสภาพอากาศความชื้นสูงจะแพร่ระบาดทางลมเข้าทำลายใบ กิ่ง และผลได้
การป้องกันกำจัด ทำได้โดย
1. หมั่นติดตาม สำรวจโรครากเน่าและโคนเน่าในสวน
2. ตรวจวิเคราะห์และปรับปรุงบำรุงดินโดยใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยเคมี และปูนขาว (ตามอัตราคำแนะนำหลังจากการตรวจวิเคราะห์ดิน) เพื่อให้ดินมีสภาพเป็นดินดีทั้งทางด้านกายภาพ ชีวภาพ และเคมี (pH = 6.5)
3. จัดทำร่องระบายน้ำในบริเวณสวนที่มีพื้นที่ต่ำ เพื่อไม่ให้มีน้ำท่วมขัง
4. ตัดแต่ง กิ่ง ใบ ดอก และผลที่เป็นโรค ออกนอกแปลงนำไปฝังกลบลึกๆ
5. เมื่อพบอาการของโรคในระยะเริ่มต้นหรือมีอาการเล็กน้อยให้รีบทำการรักษา
6. ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรค เช่น metalaxyl (เชื้อโรคส่วนมากดื้อต่อสารนี้แล้ว) (เมธามอร์ป), fosetyl aluminum (วอแรนต์), bordeaux mixture, copper oxychloride (คอปเปอร์-ไฮ), dimethomorph (โทมาฮอค), pyraclostrobin, myclobutanil + kresoxim methyl (เออร์กอน) เป็นต้น
*อ้างอิงข้อมูลจาก ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ เลิศสุชาตวนิช ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์
กรณีเป็นในไม้ยืนต้น หรือต้นไม้ใหญ่ชนิดอื่น สามารถอ่านแนวทางป้องกันกำจัดได้จาก ภาพประกอบด้านล่างค่ะ
อ่านต่อ
อ่านต่อ
คลังความรู้
เนื้อหาเด่น
* ความรู้พื้นฐานเรื่องไส้เดือนดินและการจำแนกสายพันธุ์
* ประโยชน์ของไส้เดือนดินต่อระบบนิเวศและเกษตรกรรม
* ขั้นตอนการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อกำจัดขยะอินทรีย์ในระดับครัวเรือนและชุมชน
* เทคนิคการผลิตปุ๋ยหมักและน้ำหมักจากมูลไส้เดือน
* ตัวอย่างจริงจากการวิจัยในไทย โดยเฉพาะสายพันธุ์ท้องถิ่น “ขี้ตาแร่” ที่ปรับตัวได้ดีและให้ผลผลิตสูง
เหมาะสำหรับ
* เกษตรกรที่ต้องการลดการใช้ปุ๋ยเคมี
* ผู้สนใจเกษตรอินทรีย์และสิ่งแวดล้อม
* ครู นักเรียน นักศึกษา สายชีววิทยา–เกษตร
* คนเมืองที่อยากเริ่มเลี้ยงไส้เดือนในบ้านแบบง่าย ๆ
หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงให้ความรู้ทางวิชาการอย่างลึกซึ้ง แต่ยังเปิดโลกทัศน์ใหม่เกี่ยวกับการจัดการขยะ การลดต้นทุนเกษตร และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนผ่าน “สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่” อย่างไส้เดือน
📍ห้ามพลาด! สำหรับผู้ที่สนใจเกษตรธรรมชาติและการเปลี่ยนของเหลือใช้ให้เป็นคุณค่าที่จับต้องได้🌿📖
อินโฟกราฟิก แสดงแมลงศัตรูปาล์มน้ำมันที่สำคัญ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ การระบาด อาการของพืชเมื่อถูกศัตรูพืชเข้าทำลาย ภาพประกอบ เช่น หนอนหน้าแมว หนอนปลอกเล็ก ด้วงกุหลาบ ด้วงแรด
ชื่อหนังสือ: คู่มือเกษตรกร: การผลิตปาล์มน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เขียน: ธีระพงศ์ จันทรนิยม
จัดพิมพ์โดย: ศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมัน
สังกัด: คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปีที่พิมพ์: กรกฎาคม 2562
จำนวนหน้า: 128 หน้า
ISBN: 978-616-271-308-8
🟢 จุดเด่นของหนังสือ
หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกปาล์มน้ำมันอย่างถูกต้องและได้ผลผลิตคุ้มค่า โดยเนื้อหาเน้นการอธิบาย
- อย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย และนำไปใช้ได้จริง ครอบคลุมตั้งแต่
- ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของปาล์มน้ำมัน
- การเตรียมพื้นที่ปลูก การเลือกพันธุ์ การเพาะกล้า และการจัดการสวนในแต่ละช่วงอายุ
- การให้ปุ๋ย การเก็บเกี่ยว รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพทะลายปาล์ม
- โรคและศัตรูพืชที่พบบ่อย พร้อมแนวทางการป้องกันและแก้ไข
- เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรรายใหม่และรายเก่า ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนในระยะยาว