แจ้งเตือน
โรคใบสีส้มในข้าว เกิดจากเชื้อไวรัส Rice Tungro Bacilliform Virus (RTBV) และ Rice Tungro Spherical Virus (RTSV)

🌾อาการ
- ต้นข้าวเป็นโรคได้ทั้งระยะกล้า แตกกอ ตั้งท้อง หากได้รับเชื้อตอนข้าวอายุอ่อน (ระยะกล้าแตกกอ) ข้าวจะเสียหายมากกว่าได้รับเชื้อตอนข้าว (ระยะตั้งท้อง-ออกรวง) ข้าวเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 15-20 วัน ทั้งนี้ แล้วแต่ข้าวจะได้รับเชื้อระยะใด
- อาการเริ่มต้น ใบข้าวจะเริ่มมีสีเหลืองสลับเขียว ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เริ่มจากปลายใบเข้าหาโคนใบ ถ้าเป็นรุนแรงในระยะกล้า ต้นข้าวอาจถึงตาย ถ้าอาการแสดงหลังปักดำ เริ่มสังเกตได้ที่ใบเช่นกัน ต้นที่เป็นโรคจะเตี้ย แคระแกร็น ช่วงลำต้นสั้นกว่าปกติมาก ใบใหม่ที่โผล่ออกมามีตำแหน่งต่ำกว่าข้อต่อใบ ถ้าเป็นรุนแรงอาจตายทั้งกอ ถ้าไม่ตาย เมื่อถึงระยะออกรวง ให้รวงเล้ก หรือไม่ออกรวงเลย และออกรวงล่าช้ากว่าปกติ
🌾การแพร่ระบาด เพลี้ยจักจั่นสีเขียวเป็นแมลงพาหนะนำโรค
🌾การป้องกันกำจัด
2. กำจัดวัชพืชและพืชอาศัยของเชื้อไวรัสและแมลงพาหะนำโรค
3. ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงพาหะ ได้แก่ ใช้สารฆ่าแมลงในระยะที่แมลงเป็นตัวอ่อน เช่น ไดโนทีฟูเรน หรือ บูโพรเฟซิน หรืออีโทเฟนพรอกซ์ ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงผสมกันหลาย ๆ ชนิด หรือใช้สารฆ่าแมลงผสมสารกำจัดโรคพืชหรือสารกำจัดวัชพืช เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของสารฆ่าแมลงลดลง
4. ไม่ใช้สารกลุ่มไพรีทรอยสังเคราะห์ เช่น ไซเพอร์มิทริน ไซฮาโลทริน เดลต้ามิทริน
อ้างอิงข้อมูล สำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว https://www.facebook.com/sanakngan.kes.tr.xaphex.wangnayen/
อ่านต่อ
ช่วงนี้อากาศเย็น มีหมอกตอนเช้า แดดจัดตอนกลางวัน และความชื้นสูงตอนกลางคืน เป็นสภาพที่ทำให้โรคเน่าเละระบาดง่ายในผักตระกูลกะหล่ำและผักกาด เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี ผักกาดขาว ผักกาดหัว ฮ่องเต้ หางหงษ์ กวางตุ้ง คะน้า ฯลฯ

อาการของโรค
* เริ่มแรกจะมีจุดฉ่ำน้ำเล็ก ๆ บนใบหรือที่ลำต้น
* แผลจะขยายใหญ่และมีสีน้ำตาล–น้ำตาลเข้ม
* เนื้อเยื่อยุบตัว มีเมือกเยิ้ม และมีกลิ่นเหม็นเฉพาะโรค
* หากลุกลามมาก พืชจะยุบตายทั้งต้น
> โรคนี้รุนแรงมากในฤดูฝน และทำลายพืชได้ทั้งในแปลงและในโรงเก็บ
✅ วิธีป้องกันและแก้ไข
🟢 ก่อนปลูก
1. เลือกพื้นที่ที่ไม่เคยมีโรคระบาดมาก่อน และน้ำไม่ท่วมขัง
2. ไถพรวนลึกมากกว่า 20 ซม. แล้วตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์
3. อย่าปลูกแน่นเกินไป ลดความชื้นในแปลง
🟢 ระหว่างปลูก
4. เลี่ยงการให้น้ำแบบพ่นฝอย เพราะเชื้อจะแพร่กระจายง่าย
5. ระวังไม่ให้พืชเกิดแผล เพราะเชื้อจะเข้าทำลายได้ทันที
6. ดูแลไม่ให้พืชขาดแคลเซียมและโบรอน ป้องกันปลายใบไหม้–ไส้กลวง
7. หากพบต้นเป็นโรค ให้ขุดออกและเผาทำลายนอกแปลงทันที
8. ทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังใช้กับต้นป่วย
🟢 หลังเก็บเกี่ยว
9. ไถกลบเศษพืชทันที แล้วตากดินก่อนไถกลบอีกครั้ง เพื่อลดการสะสมเชื้อในดิน
10. แปลงที่มีโรคระบาด ควรปลูกพืชชนิดอื่นสลับปลูก เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวโพด เพื่อตัดวงจรโรค
อ่านต่อ
สภาพอากาศช่วงนี้ อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนตกบางพื้นที่ ความชื้นสูง และหมอกลงจัด เตือนผู้ปลูกมันฝรั่ง โรคนี้สามารถเกิดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

✅ อาการของโรค
เริ่มต้นที่ใบล่าง จุดแผลฉ่ำน้ำสีเขียวหม่นคล้ายถูกน้ำร้อนลวก
ลุกลาม แผลขยายใหญ่ กลางแผลแห้งสีน้ำตาล ขอบแผลฉ่ำน้ำสีดำ
อาการใต้ใบ พบละอองน้ำเล็ก ๆ สีขาวใส (สปอร์เชื้อรา)
ผลสุดท้าย ใบไหม้แห้งสีน้ำตาลทั้งต้น
ลำต้น/กิ่ง แผลสีน้ำตาลหรือดำ ทำให้หักพับและแห้งตาย
หัวมันฝรั่ง เน่าเสียเมื่อถูกเชื้อเข้าทำลาย
🛡️ แนวทางป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่เคยมีการระบาด
2. ไถพลิกดินตากแดด 1–2 สัปดาห์
3. ใช้พันธุ์ปลอดเชื้อ
4. ปรับระยะปลูกให้โปร่ง
5. ไม่ให้น้ำมากเกินไป และหลีกเลี่ยงการให้น้ำตอนเย็น
6. ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
⚔️ วิธีแก้ไขเมื่อพบโรค
- ถอนต้นที่เป็นโรครุนแรงและทำลายนอกแปลง
- พ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อราให้ทั่วทั้งบนใบและใต้ใบ ทุก 5 วัน
ตัวอย่างสารและอัตราการใช้
ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP (30–40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
ไซมอกซานิล + ฟามอกซาโดน 30%+22.5% WG (40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
ไซมอกซานิล + แมนโคแซบ 8%+64% WP (50–60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
เมทาแลกซิล-เอ็ม + แมนโคเซบ 4%+64% WG (40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
โพรพิเนบ + ไอโพรวาลิคาร์บ 61.3%+5.5% WP (40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
โพรพิเนบ + ฟลูโอพิโคไลด์ 66.7%+6% WP (20–30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
สิ่งสำคัญ ควรสลับชนิดสาร อย่าใช้ซ้ำชนิดเดียวกัน เพื่อป้องกันเชื้อราดื้อยา
📝 หลังเก็บเกี่ยว เก็บซากพืชและหัวมันฝรั่งตกค้างไปทำลายนอกแปลง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อ
อ่านต่อ
ข่าวสาร
อ่านต่อ
อ่านต่อ
อ่านต่อ
ถาม-ตอบ
อ่านต่อ
อ่านต่อ
อ่านต่อ
