แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่างวันที่ 27 มิ.ย. 2568 ถึง 3 ก.ค. 2568
1–3 ก.ค. 68 เกษตรกรใน ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรระวังฝนตกหนักและฝนสะสม อาจทำให้เกิด น้ำท่วมฉับพลัน และ น้ำป่าไหลหลาก
เฝ้าระวังเป็นพิเศษในพื้นที่ลาดเชิงเขา ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มต่ำ
เตรียมพร้อมระบบระบายน้ำ ป้องกันความเสียหายล่วงหน้า
อ่านต่อ - กรมการข้าวแนะวิธีป้องกันด้วงดำบุกนา
“ด้วงดำ” หรือที่ชาวนาเรียกว่า ด้วงซัดดัม เป็นแมลงศัตรูพืชที่พบมากในนาข้าวภาคอีสาน โดยเฉพาะบริเวณ ทุ่งกุลาร้องไห้ มักระบาดช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ใน นาหว่านข้าวแห้ง ที่ปลูกเร็วกว่าฤดูปกติ
🔹 ด้วงดำจะกัดกินส่วนอ่อนใต้ดินของต้นข้าว (ช่วงรากกับลำต้น) ทำให้ต้นข้าว เหลือง เหี่ยว และแห้งตาย
🔹 ต้นข้าวที่ถูกทำลายมักอายุระหว่าง 15-45 วันหลังงอก
🔹 ลักษณะต้นข้าวที่เสียหายจะดูคล้ายขาดปุ๋ยหรือถูกเพลี้ยไฟ แต่จะมี รอยขุดในดินเป็นแนวยาว เพราะด้วงมุดดินไปกัดต้นใหม่วิธีป้องกันและกำจัด
1. ปลูกข้าวแบบ ปักดำ แทนการหว่านแห้ง
2. ถ้าหว่านแห้ง ควรปลูกตามฤดูกาล (เดือน สิงหาคม)
3 .ใช้ ไฟแบล็คไลท์ ล่อและทำลายตัวเต็มวัยของด้วง
4. เฝ้าระวัง ถ้าเจอด้วงในกับดักแสงไฟมากกว่าปกติ👉 ข้อมูลจาก กรมการข้าว
อ่านต่อ - 🌧️ เตือนภัยฤดูฝน! รู้ทัน โรคตายพรายกล้วย ก่อนผลผลิตเสียหาย เชื้อราร้ายแฝงในดิน ป้องกันได้ก่อนสาย!
ช่วงฤดูฝน เกษตรกรต้องเฝ้าระวัง โรคตายพรายกล้วย หรือที่เรียกอีกชื่อว่า โรคเหี่ยว/โรคปานามา ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อรา Fusarium oxysporum f.sp. cubense มักพบในกล้วยทุกช่วงการเจริญเติบโต โดยเฉพาะต้นที่ขาดการดูแลและมีความชื้นสูง
🔍 อาการของโรค
- ใบกล้วยรอบนอกเหลือง เหี่ยว หักพับ
- ลำต้นชะงักการเจริญเติบโต
- เมื่อตัดลำต้นตามยาวจะพบเนื้อเยื่อเน่าสีน้ำตาล🛡 แนวทางป้องกันกำจัดโรค อย่าใช้หน่อพันธุ์จากต้นที่เป็นโรค
- ชุบหน่อด้วยสารป้องกันเชื้อรา
- ปรับดินไม่ให้เป็นกรด และมีการระบายน้ำดี
- ขุดต้นที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลง และโรยปูนขาว
- หมั่นตรวจแปลง และเปลี่ยนปลูกพืชชนิดอื่นหากพบการระบาด
อ่านต่อ - 🐛 ระวังหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ศัตรูเงียบที่ทำลายคุณภาพผลผลิต
หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน หรือที่ชาวสวนเรียกว่า “หนอนรู” เป็นศัตรูพืชที่เข้าทำลายผลทุเรียนจากด้านในโดยไม่แสดงอาการภายนอก เมื่อหนอนโตจะเจาะเปลือกเป็นรูออกมา และทิ้งตัวลงดินเพื่อเข้าดักแด้ ทำให้เกษตรกรมักตรวจพบความเสียหาย หลังเก็บเกี่ยว แล้วเท่านั้น
🔍 ลักษณะการทำลาย
- หนอนจะฟักจากไข่ที่วางบนผลอ่อน แล้วเจาะเข้าไปกินเมล็ด
- มูลของหนอนปนกับเนื้อทุเรียน ทำให้ เนื้อเสียคุณภาพ ขายสดไม่ได้
- มักพบในผลที่เมล็ดแข็งแล้ว
- รูที่หนอนเจาะออกมีขนาด 5-8 มม.🛡 แนวทางป้องกันและกำจัด
- งดนำเมล็ดจากแหล่งอื่นโดยไม่คัดกรอง หรือแช่เมล็ดด้วยสารฆ่าแมลงก่อนปลูก
- ห่อผลทุเรียน ด้วยถุงพลาสติกขาวขุ่นขนาด 40x75 ซม. เริ่มห่าตั้งแต่ผลอายุ 6 สัปดาห์
- พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น คาร์บาริล หรือแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน ทุก 1 สัปดาห์ เริ่มเมื่อผลอายุ 6 สัปดาห์
- ใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราเขียวเมตาไรเซียมหรือบิวเวอร์เรีย พ่นลงดินช่วงฝนตกหรือดินชื้น
- ใช้กับดักแสงไฟแบล็คไลท์ เพื่อตรวจจับการระบาดของตัวเต็มวัย
- พ่นสารป้องกันกำจัดเมื่อพบการระบาด โดยเลือกใช้สารที่เหมาะสมตามคำแนะนำ
- เมื่อพบว่าตัวเต็มวัยเริ่มระบาดให้ใช้สารคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อ น้ำ20 ลิตร หรือ เดลทาเมทริน 3% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ20 ลิตร หรือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% ซีเอส อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อ น้ำ20 ลิตร หรือ เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ ๒๐ ลิตร ห่างกันครั้งละ 1 สัปดาห์ เริ่มเมื่อผลอายุ 6 สัปดาห์
อ่านต่อ - 🔔 แจ้งเตือนภัยการเกษตร: ระวังหนอนกระทู้ผักระบาดในพืชตระกูลกะหล่ำ
สภาพอากาศร้อน สลับกับฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่
⚠️ ส่งผลให้ หนอนกระทู้ผัก มีแนวโน้มระบาดเพิ่มขึ้นในแปลงผักตระกูลกะหล่ำ เช่น
คะน้า, กะหล่ำปลี, ผักกาดขาว, กะหล่ำดอก, บรอกโคลี ฯลฯ🐛 ลักษณะการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ผัก
- ระยะแรก: เข้าทำลายเป็นกลุ่ม
- ระยะต่อมา: ทำลายรุนแรง กัดกินใบ ก้าน หรือเจาะเข้าหัวกะหล่ำ
- การระบาดมักเกิดเป็นหย่อม ๆ บริเวณที่ตัวเต็มวัยวางไข่
- แพร่ระบาดรวดเร็ว และพบได้ตลอดปี✅ แนวทางป้องกันกำจัด
วิธีเขตกรรม ไถตากดิน เก็บเศษซากพืชอาหาร → เพื่อลดดักแด้และแหล่งขยายพันธุ์
วิธีกล เก็บกลุ่มไข่และตัวหนอน → ลดการระบาดได้อย่างปลอดภัย
ชีวภัณฑ์
เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt)
- อัตรา 40–80 กรัม / น้ำ 20 ลิตร (WDG, WG, WP)
- หรือ 60–100 มล. / น้ำ 20 ลิตร (SC)
- พ่นทุก 3–5 วัน ขณะพบการระบาด
- หากระบาดรุนแรงให้พ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง แล้วห่างทุก 5 วัน
ไวรัส NPV (Nucleopolyhedrovirus)
- อัตรา 40-50 มล. / น้ำ 20 ลิตร (SC)
- พ่นทุก 7-10 วัน
- หนอนขนาดเล็กควรพ่นทันที เพื่อควบคุมได้เร็ว
- หากระบาดรุนแรง ให้พ่น 50 มล. ทุก 4 วัน ติดต่อกัน 2 ครั้ง
สารเคมี (ใช้เมื่อจำเป็น และระบาดรุนแรง)
คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC → 30 มล. / น้ำ 20 ลิตร
อินดอกซาคาร์บ 15% EC → 30 มล. / น้ำ 20 ลิตร
อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC → 20 มล. / น้ำ 20 ลิตร
ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG → 6 กรัม / น้ำ 20 ลิตร
คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC → 30 มล. / น้ำ 20 ลิตร
ควรพ่นเมื่อพบการระบาด และสลับกลุ่มสารเพื่อลดการดื้อยา
อ่านต่อ - เตือนภัยการเกษตร : เตือนหนอนหัวดำมะพร้าวระบาดในช่วงอากาศร้อนและฝนตก
ด้วยในช่วงนี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนสลับกับฝนตกและฝนตกหนักบางแห่ง กรมส่งเสริมการเกษตรจึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว ให้เฝ้าระวังการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว ซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อผลผลิตและต้นมะพร้าวได้
ลักษณะการทำลาย
หนอนหัวดำมะพร้าวจะเข้าทำลายใบมะพร้าว โดยแทะกินผิวใบบริเวณใต้ทางใบ และสร้างอุโมงค์จากเส้นใยผสมกับมูลของตัวเองเพื่อหลบซ่อน ตัวหนอนจะกัดกินผิวใบจากภายในอุโมงค์ ซึ่งหากการระบาดรุนแรง อาจขยายไปถึงก้านใบ จั่น และผลมะพร้าวได้ นอกจากนี้ หนอนหัวดำมะพร้าวอาจทำให้ทางใบหลายทางเสียหายพร้อมกัน และหากปล่อยไว้นานโดยไม่ควบคุม อาจส่งผลให้ต้นมะพร้าวยืนต้นตาย
แนวทางป้องกันกำจัด
กรณีพบการระบาดน้อย–ปานกลาง
1. ทำลายแหล่งอาศัย ตัดใบที่ถูกทำลาย ย่อยสลาย ฝังกลบ หรือจมน้ำทันที เพื่อลดประชากรหนอน
2. ใช้ชีวภัณฑ์ Bacillus thuringiensis อัตรา 80-100 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทางใบต้นละ 5 ลิตร ทุก 7 วัน ติดต่อกัน 3 ครั้ง
3. ปล่อยแตนเบียนตัวห้ำศัตรูธรรมชาติ
* แตนเบียน *Goniozus nephantidis* อัตรา 200 ตัว/ไร่ หรือ
* แตนเบียน *Brachymeria nephantidis* อัตรา 120 ตัว/ไร่
* ปล่อยในช่วงเย็น ทุก 7 วัน ติดต่อกัน 4 ครั้งกรณีพบการระบาดรุนแรง
1. ต้นมะพร้าวสูงไม่เกิน 4 เมตร พ่นสารเคมีทางใบ ใช้สารเคมีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ โดยพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม 1–2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน
* ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 5 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
* คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร
* สปินโนแสด 12% SC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร *(พิษสูงต่อผึ้ง)*
* ลูเฟนนูรอน 5% EC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร *(พิษสูงต่อกุ้ง)*
หมายเหตุ หากจะปล่อยแตนเบียน ควรพ่นสารเคมีก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์2. ต้นมะพร้าวสูงเกิน 4 เมตร ความสูง 4-12 เมตร ฉีดสารเข้าลำต้น
* อีมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 5 มล./ต้น
* อะบาเมกติน 1.8% EC อัตรา 15 มล./ต้น
กรณีต้นมะพร้าวความสูงเกิน 12 เมตร ฉีดสารเข้าลำต้น
* อีมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 10 มล./ต้น
* อะบาเมกติน 1.8% EC อัตรา 30 มล./ต้น
วิธีฉีด: เจาะรูเอียง 45 องศา 1–2 รู สูงจากพื้นดิน 0.5-1 เมตร ใส่สารเคมีแล้วอุดรูด้วยดินน้ำมัน
> ประสิทธิภาพการควบคุมหนอนยาวนานประมาณ 90 วัน
> ไม่แนะนำให้ใช้วิธีฉีดสารกับต้นมะพร้าวที่สูงต่ำกว่า 4 เมตรจึงขอให้เกษตรกรติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากพบการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว ให้ดำเนินการควบคุมตามแนวทางข้างต้นทันที หากต้องการคำปรึกษาหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริการห้องสมุดเพื่อเกษตรกรไทยได้ที่ https://thaifarmer.lib.ku.ac.th/ หรือสอบถามผ่าน Line official ที่ @GuruKasetsart
อ่านต่อ - 🎯 เตือนภัยเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ช่วงนี้อากาศร้อนสลับฝนตกหนัก เสี่ยงโรคผลเน่าจากเชื้อรา Phytophthora palmivora
🔍 ลักษณะอาการ
– จุดแผลสีน้ำตาลดำบนผล
– แผลขยายใหญ่ตามการสุก
– ในความชื้นสูงพบเส้นใยสีขาวบนแผล
– ผลเน่าร่วงก่อนเก็บเกี่ยว
– พบตั้งแต่ผลอ่อนจนถึงช่วงบ่มผล
🛡️ แนวทางป้องกันกำจัด
1. ตรวจ-ตัด-ทำลาย
– ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
– ตัดผลที่มีอาการ
– เก็บผลเน่าร่วงหล่นไปเผาทำลายนอกแปลง
2. พ่นสารป้องกันโรคพืช เลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง
– เมทาแลกซิล 25% WP
– ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP
📌 อัตรา 30–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
📆 พ่น 1–2 ครั้ง ห่างกัน 7–10 วัน
⛔ หยุดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน3. ควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
– ห้ามใช้เครื่องมือร่วมระหว่างต้นเป็นโรคกับต้นปกติ
– ทำความสะอาดเครื่องมือตัดแต่งทุกครั้ง4. ป้องกันผลสัมผัสดิน
– ปูพื้นด้วยวัสดุสะอาดก่อนวางผล
– ขนย้ายระวังไม่ให้เกิดบาดแผล
– เหมาะสำหรับแปลงที่มีปัญหาโคนเน่ารากเน่าและความชื้นสูง🔎 รู้หรือไม่
โรคผลเน่าเกิดจากเชื้อรา Phytophthora palmivora ชนิดเดียวกับโรครากเน่าและโคนเน่า การป้องกันที่ดี คือ การจัดการเชื้อโรคตั้งแต่ในแปลงอย่างจริงจัง
อ่านต่อ - 🌿 เตือนภัยเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ระวังโรคใบติด หรือใบไหม้ (เชื้อรา Rhizoctonia solani)
🌦️ ช่วงนี้อากาศร้อนสลับฝนตกหนาแน่นบางพื้นที่ แปลงทุเรียนระยะพัฒนาผล-เก็บเกี่ยว ระวังโรคใบติดหรือใบไหม้
🔍 อาการที่ควรระวัง
– เริ่มที่ใบอ่อน มีแผลคล้ายถูกน้ำร้อนลวก
– แผลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลุกลามสู่ใบปกติ
– ความชื้นสูงทำให้เกิดเส้นใยคล้ายใยแมงมุม
– ใบแห้ง ติดกันเป็นกระจุก ห้อยอยู่ตามกิ่ง
– ใบร่วง จนเหลือแต่กิ่ง และกิ่งแห้งในที่สุด
→ ต้นเสียทรง พุ่มโปร่งไม่สมบูรณ์🛡️ แนวทางป้องกันกำจัด
✂️ 1. ตัดแต่งกิ่ง
– ให้ทรงพุ่มโปร่ง อากาศถ่ายเทดี ลดความชื้นสะสม
– แสงแดดส่องทั่วถึง ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา
🌱 2. ควบคุมการแตกใบ
– แปลงที่มีโรคระบาดบ่อย อย่าใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูง
– ลดความเสี่ยงใบอ่อนถูกเชื้อราโจมตี
🔎 3. ตรวจแปลง & พ่นสารป้องกัน
– ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
– ตัดใบและส่วนที่เป็นโรค เผาทำลายนอกแปลงแนะนำสารป้องกันกำจัด (เลือกใช้ตามความเหมาะสม)
* คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ 77% WP (30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% WP (30–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 65.2% WG (20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คิวปรัสออกไซด์ 86.2% WG (10–20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ + คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ WG (10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* เฮกซะโคนาโซล 5% SC (20 มล./น้ำ 20 ลิตร)
* เพนทิโอไพแรด 20% SC (10 มล./น้ำ 20 ลิตร)
* ฟลูไตรอะฟอล 12.5% SC (20 มล./น้ำ 20 ลิตร)
* ทีบูโคนาโซล + ไตรฟลอกซีสโตรบิน 50% + 25% WG (10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
* โทลโคลฟอส-เมทิล 50% WP (20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร)
📆 พ่นทุก 7 วัน ให้ทั่วทรงพุ่ม💡 คำแนะนำเพิ่มเติม
– หมั่นสังเกตอาการโรคหลังฝนตก
– ทำความสะอาดเครื่องมือตัดแต่งทุกครั้ง
– ใช้ร่วมกับแนวทางจัดการโรคใบจุดหรือโรคผลเน่า เพื่อการป้องกันเชื้อราหลายชนิดในฤดูฝน
อ่านต่อ - 🌾 ประกาศเตือนภัยทางการเกษตร ระวังโรครากและหัวเน่าในมันสำปะหลัง ระบาดหนักช่วงฤดูฝน
⚠️ สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา Phytophthora meadii ที่อยู่ในดินและเศษซากพืช เชื้อสามารถสร้างสปอร์ที่ว่ายน้ำได้ จึงแพร่กระจายได้รวดเร็วในช่วงฝนตกชุก
🔍 อาการที่ควรสังเกต
- เริ่มพบอาการตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป
- โคนต้นบวม มีปุ่มรากเหนือดิน
- ใบซีดเหลือง ใบล่างเหี่ยวแห้ง
- รากและหัวเน่า แต่ลำต้นยังดูปกติ
- หากใช้ลำต้นที่ติดเชื้อเป็นท่อนพันธุ์ จะทำให้โรคแพร่กระจาย🛡 แนวทางป้องกันและควบคุมโรค
1. เตรียมดินให้ดี ไถระเบิดชั้นดินดานและตากดิน 2 สัปดาห์
2. ยกร่องแปลงปลูก ป้องกันน้ำขัง
3. เลือกท่อนพันธุ์ปลอดโรค
4. แช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูก (แช่ 10 นาที)
- เมทาแลกซิล 25% WP: 20–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
- หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP: 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
5. จัดระยะปลูกให้โปร่ง ลดความชื้นสะสม
6. ตรวจแปลงสม่ำเสมอ
- ถอนต้นที่ติดโรค
- โรยปูนขาวหรือราดสารเคมีรอบจุดที่พบโรค
7. หลังเก็บเกี่ยว เก็บเศษซากพืชไปทำลายนอกแปลง
8. ทำความสะอาดเครื่องจักรกล ป้องกันเชื้อแพร่กระจาย
9. ปลูกพืชหมุนเวียน เช่น อ้อย ข้าวโพด ถั่ว🚨 แนวทางเมื่อพบการระบาดรุนแรง
- พบโรค > 50% ของพื้นที่ ไถทิ้ง ทำลายซากพืช และตากดิน
- พบโรค 30–50%
- อายุ 1–3 เดือน ไถทิ้งและตากดิน
- อายุ 4–7 เดือน หว่านปูนขาว + เร่งเก็บเกี่ยว
- อายุ 8 เดือนขึ้นไป เร่งเก็บเกี่ยวทันที
📌 ขอให้เกษตรกรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลัง
อ่านต่อ - 📢 ประกาศเตือนภัยเกษตรกร : ระวังการระบาดของแมลงนูนหลวงในไร่อ้อย
สภาพอากาศในช่วงนี้มีอากาศร้อนสลับฝนตก และบางพื้นที่มีฝนตกหนัก ขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โดยเฉพาะในช่วงอ้อยปลูกใหม่และอ้อยระยะแตกกอ ให้ระวังการระบาดของแมลงนูนหลวง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตอย่างรุนแรง
🐛 ลักษณะการทำลาย
- ตัวหนอนของแมลงนูนหลวงกัดกินรากอ้อย ทำให้ใบอ้อยเหลือง แห้ง และตายทั้งกอ
- กออ้อยที่ถูกทำลายสามารถดึงขึ้นจากดินได้ง่าย
- มักพบการระบาดเป็นหย่อม ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ดอน🛡 แนวทางป้องกันและกำจัด
✅ ระยะอ้อยปลูกใหม่
1. ไถพรวนดินหลายครั้ง เพื่อทำลายไข่ หนอน และดักแด้
2. จับตัวเต็มวัย โดยใช้ไม้ตีหรือเขย่าต้นไม้ช่วง 18.30–19.00 น. ต่อเนื่อง 15–20 วัน
3. ใช้สารเคมี ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 80 มล./น้ำ 20 ลิตร หรือ 320 มล./ไร่ พ่นบนท่อนพันธุ์ก่อนปลูกแล้วกลบดิน
✅ ระยะอ้อยแตกกอ
1. จับตัวเต็มวัย เช่นเดียวกับระยะปลูกใหม่
2. ใช้สารเคมี ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 80 มล./น้ำ 20 ลิตร
เปิดหน้าดินห่างจากกออ้อยประมาณ 8 นิ้ว พ่นสารลงร่องแล้วกลบดิน หรือใช้เครื่องผ่าตอแล้วพ่นสารลงในรอยผ่า📌 หมายเหตุ
- พื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังจะถูกทำลายน้อยกว่า
- หนอนเพียง 1 ตัวต่อกอสามารถทำให้อ้อยตายทั้งกอได้
อ่านต่อ - เตือนภัย! โรคกุ้งแห้งในพริกระบาดหนักช่วงฝนตก
ระวังโรคแอนแทรคโนส หรือโรคกุ้งแห้งในพริกช่วงนี้ อากาศร้อนสลับฝนตก ทำให้เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici แพร่ระบาดง่าย โดยเฉพาะในแปลงปลูกพริกที่มีความชื้นสูง
🚨 ลักษณะอาการ
1. เริ่มจากจุดแผลช้ำเล็ก ๆ บนผลพริกที่ใกล้สุก
2. แผลขยายใหญ่เป็นวงกลมหรือวงรี มีตุ่มดำเล็ก ๆ เรียงเป็นวงซ้อน
3. มีเมือกเยิ้มสีส้มอ่อน (กลุ่มสปอร์ของเชื้อรา)
4. ผลพริกโค้งงอคล้ายกุ้งแห้ง
5. ร่วงหล่นก่อนเก็บเกี่ยว🛡️ แนวทางป้องกันและรับมือ
1. ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งปลอดโรค หรือแช่น้ำอุ่น 50°C นาน 20–25 นาที
2. ปลูกแบบโปร่ง หลีกเลี่ยงความชื้นสะสม และกำจัดวัชพืชในแปลงสม่ำเสมอ
3. ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบผลเป็นโรคให้เก็บทำลายนอกแปลง
4. พ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น
อะซอกซีสโตรบิน 25% SC** 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
แมนโคเซบ 80% WP** 40–50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
โพรคลอราซ 50% WP** 20–30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
(พ่นทุก 5–7 วัน เมื่อพบการระบาด)
5. หมุนเวียนปลูกพืชชนิดอื่น เพื่อตัดวงจรของโรค
อ่านต่อ - 🚨 ประกาศเตือนภัยการเกษตร: ระวังเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ระบาดในช่วงอากาศร้อนแล้ง
📍 กลุ่มพืชเป้าหมาย: มันสำปะหลัง
📍 ช่วงอันตราย: ทุกระยะการเจริญเติบโต โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อน แห้งแล้ง🔍 ลักษณะการเข้าทำลาย เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังพบได้ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย
📌 อาศัยตาม ใบ, ยอด, ตา ของพืช
💧 ดูดน้ำเลี้ยง → ขับของเหลว → เกิด “ราดำ”
🌱 พืชสังเคราะห์แสงลดลง → ใบหงิก ยอดแห้ง ลำต้นโค้งงอ หรือพืชตาย🛡 แนวทางป้องกันและกำจัด
✅ ก่อนปลูก
ขั้นตอน รายละเอียด 🔁 ไถพรวนดิน ทำหลายครั้งเพื่อลดเพลี้ยแป้งในดิน 🌱 เลือกพันธุ์สะอาด ใช้ท่อนพันธุ์ที่ไม่มีเพลี้ยติดมาด้วย 🧪 แช่ท่อนพันธุ์ ในน้ำผสมสารเคมี 5–10 นาที (ดูตารางสารเคมีด้านล่าง) ✅ หลังปลูก (ช่วงอายุ 1–4 เดือน)
ขั้นตอน รายละเอียด 🌿 สำรวจแปลง เป็นประจำเพื่อดูการระบาด 🔥 ถอนทำลาย ต้นที่พบเพลี้ย ควรเก็บออกและเผาทำลาย 💨 พ่นสารเฉพาะจุด เฉพาะบริเวณที่พบการระบาด (ดูตารางด้านล่าง) ตารางสารเคมีกำจัดเพลี้ยแป้ง
ชื่อสาร รูปแบบ อัตราการใช้ (ต่อ น้ำ 20 ลิตร) ไทอะมีทอกแซม 25% WG 4 กรัม อิมิดาโคลพริด 70% WG 4 กรัม ไดโนทีฟูแรน 10% WP 20–40 กรัม โคลไทอะนิดิน 16% SG 10 กรัม โพรไทโอฟอส 50% EC 50 มิลลิลิตร พิริมิฟอส-เมทิล 50% EC 50 มิลลิลิตร ไทอะมีทอกแซม/แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 24.7% ZC 10 มิลลิลิตร 📌 ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ควร สลับกลุ่มสารเคมี เพื่อลดการดื้อยา
- หลีกเลี่ยงการพ่นยาในช่วงฝนตกหรือแดดจัด
อ่านต่อ - ประกาศเตือนภัยทางการเกษตร: ระวังไรสี่ขามะพร้าวระบาดช่วงแล้ง ‼️
📍 พืชเป้าหมาย: มะพร้าวน้ำหอม
📍 ช่วงระบาด: ฤดูแล้ง โดยเฉพาะช่วง มะพร้าวติดจั่น → ผลขนาดเล็ก (เส้นผ่านศูนย์กลาง 3–25 ซม.)🔍 ลักษณะการเข้าทำลาย
ไรสี่ขามะพร้าว มีขนาดเล็กมาก สีขาวใส มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อาศัยอยู่ใต้กลีบเลี้ยงผลมะพร้าว ตัวเมียวางไข่ได้ 30-50 ฟอง ใช้เวลาเพียง 7-8 วัน จากไข่ → ตัวเต็มวัย เข้าทำลายตั้งแต่ผลเล็กจนผลโต
❗ ผลกระทบ เกิดแผลปลายผลลึกสีน้ำตาล ผลลีบเล็ก หลุดร่วง ความเสียหายสูงสุดถึง 70%
🛡 แนวทางป้องกัน/กำจัด
✅ ก่อนระบาด
🔧 วิธีการ รายละเอียด ✂️ ตัดช่อดอก/ผล ในสวนที่ระบาดรุนแรง 🧹 เก็บเศษซาก เศษช่อดอก ช่อผล หรือเปลือกมะพร้าว นำไปเผาหรือฝังกลบ 🔁 ตัดวงจร เพื่อลดการฟักตัวและกลับมาระบาดซ้ำ
✅ ขณะระบาด
๐ พ่นสารกำจัดไรช่วงระยะติดจั่นถึงผลเล็ก พ่นห่างกันทุก 7 วัน
๐ ❗ ไม่ควรพ่นช่วงผลใหญ่ เพราะไรซ่อนในขั้วผล
๐ ต้องสลับกลุ่มสารเพื่อป้องกันการดื้อยา
🧪 ตารางสารกำจัดไรสี่ขามะพร้าว
🧪 ชื่อสาร 💧 รูปแบบ ⚖️ อัตราการใช้ (ต่อน้ำ 20 ลิตร) 🔁 หมายเหตุ โพรพาร์ไกต์ 30% WP 30 กรัม - อะมิทราซ 20% EC 40 มล. - ไพริดาเบน 20% WP 10 กรัม - กำมะถันผง 80% WP 60 กรัม ❌ ห้ามผสมกับสารอื่น สไปโรมีซิเฟน 24% SC 6 มล. - เฮกซีไทอะซอกส์ 1.8% EC 30 มล. - ไซฟลูมีโทเฟน 20% SC 10 มล. - ทีบูเฟนไพแรด 36% EC 3 มล. -
📌 ข้อแนะนำเพิ่มเติม
๐ เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในช่วงหน้าแล้ง
๐ หากพบระบาดหนัก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่
๐ เกษตรกรควรติดตามประกาศเตือนภัยจากกรมวิชาการเกษตรอย่างสม่ำเสมอ📞 สอบถามเพิ่มเติม
สำนักงานเกษตรอำเภอ ศูนย์วิจัยพืชสวนใกล้บ้าน หรือสายด่วนกรมวิชาการเกษตร
อ่านต่อ - ประกาศแจ้งเตือนภัย เรื่องโรคลิชมาเนียจากริ้นฝอยทราย
📢 ประกาศแจ้งเตือนภัยสุขภาพ ระวัง! ริ้นฝอยทรายพาหะโรคลิชมาเนีย ภัยเงียบที่อาจถึงชีวิต
ภาพริ้นฝอยทรายเพศเมีย ขณะกำลังดูดเลือดมนุษย์
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังโรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis) หลังพบผู้ป่วยในประเทศไทยแล้ว 2 รายในปี 2568 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาพริ้นฝอยทรายเพศเมีย ขณะกำลังดูดเลือดมนุษย์
โรคลิชมาเนีย เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว Leishmania spp. ซึ่งแพร่กระจายผ่านการกัดของริ้นฝอยทราย (Sand fly) แมลงขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร มักพบในบริเวณที่ชื้น รกทึบ เช่น ป่ารก ซอกหิน หรือคอกสัตว์
อาการที่ควรระวัง ตุ่มแดง คัน หรือแผลเรื้อรังที่ไม่หาย หากเชื้อรุนแรง อาจมีภาวะซีด ตับ-ม้ามโต และอันตรายถึงชีวิต
วิธีป้องกัน
✅ สวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาว โดยเฉพาะเวลากลางคืน
✅ ใช้ยาทากันแมลงทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
✅ นอนในมุ้งตาข่ายที่มีรูละเอียด
✅ กำจัดแหล่งหลบซ่อนของแมลงรอบบ้าน เช่น กองไม้ กอหญ้า คอกสัตว์ข้อควรรู้
1. ริ้นฝอยทรายตัวเมียเป็นพาหะในการแพร่เชื้อ
2. เชื้อสามารถอยู่ในตัวแมลงได้นาน 10 วัน และฟักตัวในร่างกายมนุษย์หลังถูกกัด
💡 แม้ตัวจะเล็ก...แต่ภัยไม่เล็ก! อย่าชะล่าใจหากพบอาการผิดปกติของผิวหนังที่ไม่หายภายในระยะเวลาอันควร ควรรีบพบแพทย์ทันที สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
อ่านต่อ - ระดับน้ำเขื่อนเจ้าพระยาต่ำกว่าเกณฑ์ เตือนชะลอทำนา หวั่นน้ำไม่พอ
สถานการณ์น้ำในเขื่อนเจ้าพระยา ณ ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา พบว่าระดับน้ำเหนือเขื่อนยังคงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แม้จะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทางตอนบนของประเทศ ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายังคงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน
การปรับลดการระบายน้ำ เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับลดการระบายน้ำจาก 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลงมาอยู่ที่ 70 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อรักษาระบบนิเวศลำน้ำและผลักดันน้ำเค็มปากแม่น้ำ ขณะที่ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงเล็กน้อย ทำให้สามารถมองเห็นสันดอนทรายโผล่พ้นน้ำขึ้นมาจนสามารถเดินข้ามไปมาได้ในหลายจุด
ประกาศเตือนจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานราชการในพื้นที่ได้ออกประกาศเตือนเกษตรกรให้ชะลอการทำนาปลูกข้าวออกไปก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในเกณฑ์น้อย ประกอบกับภาวะฝนทิ้งช่วงในพื้นที่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่นาข้าวจะเสียหายจากภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม พบว่ามีชาวนาจำนวนมากที่เริ่มไถดินเตรียมปลูกข้าวนาปีกันแล้ว เนื่องจากมั่นใจว่าฝนปีนี้จะมาตามกำหนดในเดือนพฤษภาคม
อ่านต่อ - เตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวและพืชตระกูลปาล์มระวังด้วงแรดมะพร้าวระบาด
ด้วงแรดมะพร้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryctes rhinoceros (Linnaeus)
การเข้าทำลาย ตัวเต็มวัยกัดเจาะโคนทางใบมะพร้าวทำให้ทางใบหัก และกัดเจาะทำลายยอดอ่อนทำให้ทางใบที่เกิดใหม่ไม่สมบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็นริ้วๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยม บริเวณรอยแผลที่ถูกด้วงแรดกัดทำให้ด้วงงวงเข้ามาวางไข่ หรือเป็นสาเหตุให้เกิดโรคยอดเน่าจนถึงตายได้ในที่สุด
พืชอาหาร ได้แก่ มะพร้าว พืชตระกูลปาล์ม
ฤดูการระบาด ระบาดตลอดทั้งปี โดยด้วงแรดผสมพันธ์และวางไข่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม
และมักพบความเสียหายในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม
การป้องกันกำจัด
วิธีเขตกรรม กำจัดแหล่งขยายพันธุ์ ดังนี้
ฝังซากลำต้นหรือตอของมะพร้าว
เกลี่ยกองซากพืช กองมูลสัตว์ให้กระจายออก โดยมีความสูงไม่เกิน 15 ซม.
หมั่นพลิกกลับกองมูลสัตว์ หรือนำใส่ถุงปุ๋ยผูกปากให้แน่น และนำไปเรียงซ้อนกันไว้
วิธีกล
หมั่นทำความสะอาดบริเวณคอมะพร้าวตามโคนทางใบ หากพบรอยแผลเป็นรูใช้เหล็กแหลมแทงหาด้วงแรดเพื่อกำจัด
ใช้กับดักฟีโรโมนล่อจับตัวเต็มวัยและนำมาทำลาย
ชีววิธี ทำกองล่อให้ตัวเต็มวัยมาไข่ เมื่อเจริญเป็นตัวอ่อน
ใช้เชื้อราเมตาไรเซียมโรย หรือคลุกเพื่อทำลายการใช้สารเคมี โดยเลือกสารใดสารหนึ่ง ดังนี้ ไดอะซินอน 60% EC หรือคาร์โบซัลแฟน 20% EC อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ราดบริเวณคอหรือยอดมะพร้าว โดยใช้ปริมาณ 1-1.5 ลิตร ทุกๆ 15-20 วัน ควรใช้ 1-2 ครั้งช่วงระบาด
อ่านต่อ - สวนเงาะติดผลอ่อนให้ระวังโรคราดำ
คำแนะนำสำหรับเกษตรกรชาวสวนเงาะ ในช่วงที่อากาศร้อน มีลมกระโชกแรง และมีฝนตกในบางพื้นที่ ขอแนะนำให้เกษตรกรชาวสวนเงาะเฝ้าระวังการเกิดโรคราดำ ซึ่งมักพบในระยะที่ต้นเงาะเริ่มติดผลอ่อน โดยโรคราดำจะมีคราบราสีดำติดตามส่วนต่าง ๆ ของต้นเงาะ เช่น ใบ กิ่ง ก้านดอก ช่อดอก ขั้วผล และร่องขน หากมีคราบราดำบนใบ จะส่งผลให้พืชรับแสงได้ไม่เพียงพอ หากคราบราดำปกคลุมช่อดอก จะทำให้ไม่สามารถผสมเกสรได้และมีดอกร่วง หากคราบราดำปกคลุมผล จะทำให้ผิวผลไม่สวยและจำหน่ายไม่ได้ราคา
แนวทางการป้องกันโรคราดำ
- พ่นน้ำเปล่า: หากพบโรค ให้พ่นน้ำเปล่าล้างคราบราดำที่ติดตามส่วนต่าง ๆ ของต้นเงาะ เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค
- กำจัดวัชพืช: หมั่นตรวจและกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก นำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความชื้นสะสมและทำลายแหล่งอาศัยของแมลงปากดูด
- พ่นสารกำจัดแมลง: หากพบเพลี้ยแป้ง ให้พ่นด้วยสารกำจัดแมลงคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หลีกเลี่ยงการพ่นสารในช่วงที่ดอกเงาะบานหรือเริ่มติดผลอ่อน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแมลงช่วยผสมเกสร
- ตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งเงาะเพื่อลดปริมาณมด จากนั้นใช้เศษผ้าชุบน้ำมันเครื่องผูกรอบโคนต้น เพื่อป้องกันมดและเพลี้ยแป้งที่อาศัยอยู่ในดินไต่ขึ้นมาบนต้นเงาะ
- ทำความสะอาดเครื่องมือ: เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ใช้ในแปลงที่มีการระบาด ควรนำมาทำความสะอาดด้วยการล้างและผึ่งแดดให้แห้งก่อนนำกลับไปใช้ในแปลงทุกครั้ง
อ่านต่อ