แนวทางป้องกันกำจัด
1. ต้นมะพร้าวที่ถูกด้วงงวงชนิดใหญ่ทำลาย ควรตัดโค่นทอนเป็นท่อนแล้วผ่าจับหนอนทำลาย
2. ไม่ควรให้ต้นมะพร้าวเกิดแผลหรือปลูกโคนลอย เพราะจะเป็นช่องทางให้ด้วงงวงมะพร้าววางไข่ และตัวหนอนที่ฟักจากไข่จะเจาะเข้าทำลายในต้นมะพร้าวได้ หากลำต้นเป็นรอยแผล ควรทาด้วยน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ที่ใช้แล้ว หรือชันผสมกับน้ำมันยาง เพื่อป้องกันการวางไข่
3. ป้องกันกำจัดด้วงแรดมะพร้าวอย่าให้ระบาดในสวนมะพร้าว เพราะรอยแผลที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้จะเป็นช่องทางให้ด้วงงวงมะพร้าววางไข่ และเมื่อฟักออกเป็นตัวหนอนของด้วงงวงมะพร้าวก็จะเข้าไปทำลายในต้นมะพร้าวได้ง่ายขึ้น
แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- ระวังด้วงงวงมะพร้าวชนิดเล็ก และด้วงงวงมะพร้าวชนิดใหญ่สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกชุก อากาศชื้น เตือนผู้ปลูกมะพร้าวในระยะยังไม่ให้ผลผลิตและให้ผลผลิตแล้ว รับมือด้วงงวงมะพร้าวชนิดเล็ก และด้วงงวงมะพร้าวชนิดใหญ่
มักทำลายตามรอยทำลายของด้วงแรดมะพร้าว โดยวางไข่บริเวณบาดแผลตามลำต้นหรือบริเวณที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้ หรือบริเวณรอยแตกของเปลือก ด้วงงวงมะพร้าวก็สามารถเจาะส่วนที่อ่อนของมะพร้าวเพื่อวางไข่ได้ หนอนที่ฟักออกจากไข่จะกัดกินชอนไชไปในต้นมะพร้าว ทำให้เกิดแผลเน่าภายใน ต้นมะพร้าวที่ถูกทำลายจะแสดงอาการเฉาหรือยอดหักพับ เพราะบริเวณที่หนอนทำลายจะเป็นโพรง มีรูและแผลเน่าต่อเนื่องไปในบริเวณใกล้เคียง หนอนจะกัดกินไปจนกระทั่งต้นเป็นโพรงใหญ่ไม่สามารถส่งน้ำและอาหารไปถึงยอดได้ และทำให้ต้นมะพร้าวตายในที่สุด
อ่านต่อ - เตือน 2 หนอนบุกสวนเงาะระยะแตกใบอ่อนช่วงที่มีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่เช่นนี้ แนะเกษตรกรผู้ปลูกเงาะให้เฝ้าระวัง 2 แมลงศัตรูพืช คือ หนอนคืบกินใบ และหนอนร่านกินใบ สามารถพบได้ในระยะที่เงาะเตรียมความพร้อมในการออกดอกและในระยะแตกใบอ่อน เกษตรกรควรสังเกตหนอนคืบกินใบ มักพบหนอนกัดกินใบเพสลาด ใบอ่อน และใบแก่ ส่งผลให้การปรุงอาหารของใบไม่เพียงพอ และไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้หากพบหนอนคืบกินใบ ในกรณีที่โคนต้นเงาะโล่งเตียนไม่มีหญ้ารก ให้เกษตรกรเขย่ากิ่งเงาะเพื่อให้ตัวหนอนคืบกินใบทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน จากนั้นให้จับตัวหนอนคืบกินใบไปทำลายทิ้งนอกแปลงปลูก สำหรับในระยะที่ต้นเงาะแตกใบอ่อน ถ้าพบหนอนคืบกินใบ ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรหนอนร่านกินใบ จะพบลักษณะการเข้าทำลายของหนอนร่านกินใบเมื่อฟักออกจากไข่จะแทะกินผิวใบ ทำให้ใบแห้งและร่วงหล่น โดยหนอนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต่อมาหนอนโตขึ้นจะแยกกระจายไปทำลายกัดกินตามใบแก่ กรณีที่พบหนอนร่านกินใบระบาดในระยะที่ต้นเงาะกำลังออกดอก จะส่งผลให้เกิดความเสียหายมาก เพราะต้นเงาะที่ถูกหนอนร่านกินใบเข้าทำลายจะติดผลขนาดเล็กและด้อยคุณภาพสำหรับในระยะที่หนอนร่านกินใบยังเล็กจะอยู่รวมกันกัดแทะผิวใบ ส่งผลทำให้ใบเงาะแห้ง ให้เกษตรกรหมั่นสำรวจตรวจดูภายในสวนอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นเงาะมีใบแห้งหรือมีรอยทำลายของหนอนร่านกินใบ ให้เกษตรกรเก็บและนำใบเงาะที่มีรอยทำลายไปกำจัดเผาทิ้งนอกสวนทันที ถ้าพบหนอนร่านกินใบระบาดมาก ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบในกะเพรา โหระพา แมงลัก
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกกะเพรา โหระพา แมงลัก ในระยะเก็บเกี่ยวรับมือแมลงหวี่ขาวยาสูบ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ มักพบบริเวณหลังใบ ส่วนกลางของลำต้น นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
แนวทางป้องกันกำจัด
เมื่อพบการระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น สไปโรเตตระแมท 15% OD อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟลอนิคามิด 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ซัลฟอกซาฟลอร์ 50% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพมีโทรซีน 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วเมื่อพบการระบาด
* ไม่ควรพ่นสารชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันหลายครั้ง เพราะจะทำให้แมลงหวี่ขาวยาสูบต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้
อ่านต่อ - ระวังโรคลำต้นเน่าในปาล์มน้ำมัน
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ในระยะ ต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือปาล์มที่ปลูกซ้ำแปลงเดิม รับมือโรคลำต้นเน่า (เชื้อรา Ganoderma boninense)
ระยะแรกไม่พบลักษณะอาการผิดปกติของต้นปาล์มน้ำมัน ต่อมาจะพบอาการใบมีสีซีดกว่าปกติและแห้ง ทางใบล่างหักพับทิ้งตัวห้อยลงรอบ ๆ ลำต้น ทางยอดที่ยังไม่คลี่มีจำนวนมากกว่าปกติ บริเวณโคนต้นจะหักพับทำให้ต้นล้ม บางต้นยืนต้นตาย ภายในลำต้นพบเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรค ลำต้นกลวงเนื้อเยื่อภายในผุเปื่อย เปลือกรากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อเยื่อภายในรากเปลี่ยนเป็นสีดำ ที่โคนต้นหรือรากบริเวณผิวดินจะพบดอกเห็ดซึ่งเกิดจากเชื้อสาเหตุโรค
อ่านต่อ - ระวังหนอนกอลายจุดใหญ่ในอ้อย
สภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกอ้อยในระยะย่างปล้องถึงระยะเป็นลำรับมือหนอนกอลายจุดใหญ่
ตัวเต็มวัยของหนอนกอลายจุดใหญ่เริ่มเข้ามาวางไข่ที่ใบอ้อย
ตัวเต็มวัยของหนอนกอลายจุดใหญ่เริ่มเข้ามาวางไข่ที่ใบอ้อย เมื่อหนอนฟักออกมาจะเดินเรียงแถวกันแล้วเจาะที่ยอดอ้อยห่างจากที่วางไข่ประมาณ 1 ปล้อง หนอนจะเจาะเข้าไปอยู่ข้างในลำต้นทั้งหมด ประมาณ 300-400 ตัว โดยเจาะรูเข้าไปรูเดียว และกัดทำลายทำให้อ้อยเสียหาย ถ้าเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอหนอนจะเจาะไปถึงโคนต้น และกินเนื้ออ้อยจนหมดเหลือแต่เปลือก ทำให้อ้อยสูญเสียทั้งน้ำหนักและความหวาน
แนวทางป้องกันกำจัด ทำการป้องกันกำจัดด้วยวิธีผสมผสาน ได้แก่
1. การป้องกันกำจัดด้วยวิธีกล
- หมั่นสำรวจแปลงอ้อยอยู่เสมอ ถ้าพบการเข้าทำลายของหนอนกอลายจุดใหญ่ที่ลำอ้อยให้ตัดออกมาทำลายทิ้งนอกแปลง และทำลายหนอนที่อยู่ในลำอ้อย
2. การป้องกันกำจัดด้วยศัตรูธรรมชาติ
- ถ้าพบการทำลายลำน้อยกว่า 20% ให้ปล่อยแตนเบียนหนอน อัตรา 100-500 ตัวต่อไร่ โดยปล่อยทุกสัปดาห์
- ถ้าพบไข่ของหนอนกอลายจุดใหญ่ 0.5-1.0 กลุ่มต่อต้น ให้ปล่อยแตนเบียนไข่ อัตรา 12,000-20,000 ตัวต่อไร่
3. การป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี
- ในแปลงอ้อยถ้าพบหนอนกอลายจุดใหญ่เริ่มออกเป็นตัวเต็มวัยประมาณ 50% (สังเกตจากการผ่าลำและดูคราบดักแด้) พ่นสารเดลทาเมทริน 3% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นตอนเย็นโดยใช้เครื่องพ่นแรงดันน้ำสูง หลังจากนั้น 5-7 วัน ให้ปล่อยแตนเบียนไข่ตามอีกครั้ง
- ถ้าพบไข่ของหนอนกอลายจุดใหญ่ 0.5-1.0 กลุ่มต่อต้น พ่นด้วยปิโตรเลียม สเปรย์ ออยล์ อัตรา 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังหนอนกระทู้ผัก-หนอนม้วนใบในถั่วเหลือง
ระยะนี้ถั่วเหลืองอยู่ในช่วงลำต้นกำลังเจริญเติบโต เกษตรกรให้เฝ้าระวังการทำลายของหนอนกระทู้ผัก ที่มักจะเข้าทำลายลำต้นและใบไปจนถึงระยะออกดอกและติดฝัก โดยหนอนที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ ๆ จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แทะผิวใบด้านล่าง ทำให้เหลือแต่เส้นใบ เมื่อผิวใบแห้งจะมองเห็นเป็นสีขาว เมื่อหนอนโตขึ้นจะแยกกลุ่มออกไปกัดกินใบทั่วทั้งแปลง จะเริ่มกัดกินจากขอบใบเข้าไป
แนะนำให้พ่นเชื้อไวรัสป้องกันหนอนกระทู้ผัก อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือพ่นสารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟลูอาซูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อใบถูกทำลาย 30% ในระยะก่อนออกดอก 1-2 ครั้ง
นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าระวังหนอนม้วนใบเข้าทำลายด้วย โดยหนอนม้วนใบที่ฟักออกจากไข่ใหม่ ๆ จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ชักใยบาง ๆ คลุมตัวไว้ แล้วกัดกินผิวใบ เมื่อหนอนโตขึ้นจึงกระจายกันออกไปทั่วทั้งแปลง สร้างใยยึดใบพืชจากขอบใบของใบเดียวเข้าหากันหรือยึดใบมากกว่า 2 ใบเข้าหากันแล้วอาศัยกัดกินอยู่ในห่อใบนั้นจนหมดแล้วเคลื่อนย้ายไปทำลายใบอื่นต่อไป หากพบการระบาดให้พ่นสารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อใบถูกทำลาย 30% ก่อนออกดอก
อ่านต่อ - ระวังโรคลำต้นเน่า หรือโคนเน่าขาวในถั่วลิสง
สำหรับถั่วลิสงอยู่ในช่วงระยะออกดอกและติดฝัก ให้เฝ้าระวังโรคลำต้นเน่า หรือโคนเน่าขาว ที่จะแสดงอาการเหี่ยวและยุบตัวเป็นหย่อม ๆ ในแปลงปลูก บริเวณโคนต้นเหนือดินพบแผลสีน้ำตาลและมีเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรคสีขาวลักษณะหยาบ ต่อมาเส้นใยของเชื้อราจะรวมตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ สีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำคล้ายเมล็ดผักกาด ต่อมาต้นจะแห้งและตาย โรคนี้พบได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของถั่วลิสง แต่มักพบระบาดในระยะถั่วลิสงติดฝักถึงเก็บเกี่ยว
การป้องกันกำจัดโรค แนะให้เกษตรกรเตรียมแปลงปลูกโดยไถพลิกดินตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อสาเหตุโรคที่อยู่ในดิน เนื่องจากเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ในดินได้นาน ด้วยการใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ก่อนปลูกเพื่อปรับสภาพดินในแปลงปลูกควรมีการระบายน้ำที่ดี จัดระยะปลูกให้เหมาะสมเพื่อให้โคนต้นโปร่ง แสงแดดส่องถึง และหมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นเป็นโรคให้ถอนต้นและขุดดินบริเวณที่พบนำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วรดดินในหลุมและบริเวณใกล้เคียงด้วยสารคาร์บอกซิน 75% WP อัตรา 15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โทลโคลฟอส-เมทิล 50% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีไตรไดอะโซล 24% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีไตรไดอะโซล + ควินโตซีน 6% + 24% EC อัตรา 30-40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร รดทุก 5 วัน อย่างน้อย 2 ครั้ง และหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตควรทำลายซากถั่วลิสงโดยการไถกลบให้ลึกเพื่อตัดวงจรของเชื้อสาเหตุโรค รวมทั้งควรทำความสะอาดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร เช่น จอบ เสียมทุกครั้งหลังใช้กับต้นที่เป็นโรค ส่วนในแปลงที่พบการระบาดของโรครุนแรงควรเปลี่ยนไปปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นแทน เช่น ข้าวโพด เป็นต้น
อ่านต่อ - ระวังหนอนเจาะฝักมะขาม
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นและมีความชื้นสูงในตอนกลางคืนและเช้า อากาศร้อนในตอนกลางวัน เตือนผู้ปลูกมะขามในระยะพัฒนาผลรับมือหนอนเจาะฝักมะขาม
ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก ผีเสื้อเพศเมียวางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ บนฝักมะขามตั้งแต่มะขามเริ่มเป็นฝักอ่อน โดยวางไข่บนฝักที่มีรอยแตกหรือรอยหักมากกว่าฝักปกติ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอนจะเจาะเปลือกมะขามเข้ากัดกินเนื้อและเมล็ดมะขาม หนอนถ่ายมูลออกมาที่บริเวณปากรูเป็นกระจุกสีน้ำตาล และอาศัยอยู่ในฝักจนกระทั่งเข้าดักแด้ เมื่อออกเป็นตัวเต็มวัยจะบินไปผสมพันธุ์และวางไข่ต่อไป การทำลายในช่วงฝักอ่อนทำให้ฝักแห้งลีบ การทำลายในช่วงฝักแก่ทำให้เนื้อในถูกกัดกิน ทำให้ฝักมะขามเสียหาย
แนวทางป้องกันกำจัด
หมั่นสำรวจและเก็บฝักมะขามที่ถูกทำลายทิ้ง หากพบการระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% W/V EC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% W/V EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% W/V SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังโรคใบจุด หรือโรคสแคปในองุ่น
โรคใบจุดหรือโรคสแคปในองุ่น สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกต่อเนื่อง สลับกับอากาศร้อน เตือนผู้ปลูกองุ่นในระยะพัฒนาผล-แตกใบอ่อน รับมือโรคใบจุด หรือโรคสแคป (เชื้อรา Sphaceloma ampelinum)
อาการบนใบ พบอาการบนใบอ่อนเป็นจุดแผลขนาดเล็กสีน้ำตาลอ่อนกระจายอยู่ทั่วใบ ใบจะหงิกงอ ต่อมาแผลขยายใหญ่ เนื้อใบที่เป็นแผลจะแห้งและเป็นรูพรุน
อาการบนเถา กิ่ง ก้าน และมือเกาะ เริ่มแรกเป็นจุดแผลสีน้ำตาล เมื่อโรคระบาดรุนแรงจะขยายตัวเป็นแผลขนาดใหญ่ติดต่อกัน แผลมีลักษณะกลมสีน้ำตาล ค่อนข้างแห้ง ขอบแผลนูนแข็ง หากเกิดโรคบนกิ่งบริเวณส่วนยอด จะทำให้ยอดบิดเบี้ยว
อาการที่ผล เกิดเป็นแผลจุดสีดำยุบตัวลง ขอบแผลนูนขึ้นเห็นได้ชัดเจน เมื่ออาการรุนแรงแผลจะขยายใหญ่ ขอบแผลมีสีอ่อนกว่าตรงกลางแผล แผลค่อนข้างแห้ง
*อาการของโรคบนใบและกิ่งก้านในระยะแรกจะคล้ายกับอาการของโรคแอนแทรคโนส แต่จะเห็นอาการของโรคแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนที่ผลแนวทางป้องกันกำจัด
1. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง อย่าให้มีใบแน่นทึบเกินไป
2. เมื่อพบโรคเริ่มระบาด ตัดและเก็บส่วนที่เป็นโรคออกไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกแล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น ไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพราโคลสโตรบิน 25% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 5-7 วัน
อ่านต่อ - ระวังมวนถั่วเหลือง
สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกต่อเนื่อง และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกถั่วเหลืองในระยะออกดอกรับมือมวนถั่วเหลือง ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของมวนถั่วเหลือง จะดูดน้ำเลี้ยงจากใบ ลำต้น ดอก และฝักของถั่วเหลือง ฝักอ่อนที่ถูกทำลายจะลีบ และร่วงหล่นทำให้ผลผลิตลดลง
แนวทางป้องกันกำจัด
พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% ซีเอส อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบตัวเต็มวัยของมวนถั่วเหลือง 2-3 ตัวต่อแถวถั่วยาว 1 เมตร
อ่านต่อ - ระวังโรคลำต้นเน่าในปาล์มน้ำมัน
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนตก และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในระยะ ต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือปาล์มที่ปลูกซ้ำแปลงเดิม รับมือโรคลำต้นเน่า (เชื้อรา Ganoderma boninense)
ระยะแรกไม่พบลักษณะอาการผิดปกติของต้นปาล์มน้ำมัน ต่อมาจะพบอาการใบมีสีซีดกว่าปกติและแห้ง ทางใบล่างหักพับทิ้งตัวห้อยลงรอบ ๆ ลำต้น ทางยอดที่ยังไม่คลี่มีจำนวนมากกว่าปกติ บริเวณโคนต้นจะหักพับทำให้ต้นล้ม บางต้นยืนต้นตาย ภายในลำต้นพบเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรค ลำต้นกลวงเนื้อเยื่อภายในผุเปื่อย เปลือกรากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อเยื่อภายในรากเปลี่ยนเป็นสีดำ ที่โคนต้นหรือรากบริเวณผิวดินจะพบดอกเห็ดซึ่งเกิดจากเชื้อสาเหตุโรค
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ตรวจสอบต้นที่คาดว่าจะเป็นโรคโดยใช้ไม้เคาะลำต้นเพื่อฟังเสียงบริเวณโคนต้นที่ถูกทำลาย ซึ่งจะมีเสียงโปร่งไม่แน่นทึบเหมือนต้นปกติ
2. ตรวจหาดอกเห็ดบริเวณโคนต้นและราก เก็บดอกเห็ดซึ่งเป็นส่วนของเชื้อราสาเหตุโรคที่พบ นำไปทำลายนอกแปลงปลูก
3. ขุดหลุมรอบ ๆ ต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปยังต้นปกติ
4. ต้นที่มีอาการรุนแรง หรือตายให้ขุดล้อมต้นออกไปทำลายนอกแปลงปลูก
5. สังเกตต้นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต้นที่เป็นโรค หากพบเริ่มมีอาการของโรคให้รีบป้องกันกำจัด
6. แปลงที่มีการระบาดของโรค หากปลูกใหม่ควรใช้พันธุ์ต้านทานโรค
อ่านต่อ - สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 6 ก.ย.67 เวลา 07.00 น.1.ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เชียงใหม่ (108 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.ขอนแก่น (91 มม.) ภาคกลาง : จ.ชัยนาท (29 มม.) ภาคตะวันออก : จ.จันทบุรี (49 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (25 มม.) ภาคใต้ : จ.ปัตตานี (96 มม.)สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้คาดการณ์ :.ช่วงวันที่ 7-11 ก.ย. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคตะวันออก และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับพายุไต้ฝุ่น “ยางิ” (YAGI) ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำ ประเทศจีน และขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 7-8 ก.ย. 67 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชันตามลำดับ2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 63% ของความจุเก็บกัก (50,818 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 46% (26,634 ล้าน ลบ.ม.)3. สทนช.ประกาศสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 13/2567 ลงวันที่.1 ก.ย. 67 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 3 – 9 ก.ย. 67 พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวัง ดังนี้3.1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และบริเวณชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน บริเวณ จ.ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง และสตูล3.2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 803.3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของ แม่น้ำยม แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำตราด แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และแม่น้ำน้อย ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา4. สถานการณ์น้ำ : วานนี้ (5 ก.ย. 67) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ ครั้งที่ 7/2567 พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามจุดเสี่ยงคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ อาคารชลศาสตร์ ในเขตพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก และพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง คลองบางบาล อ.ผักไห่ และ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณฝนจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ประกอบกับอยู่ในช่วงเฝ้าระวังพายุไต้ฝุ่น “ยางิ” ที่จะเข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบนในวันที่ 8 ก.ย. 2567 คาดว่าจะทำให้มีฝนตกเพิ่มในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (บริเวณแม่น้ำโขง) ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก โดย สทนช.ได้นำเสนอแบบจำลองคาดการณ์ ปริมาณน้ำช่วงเดือนกันยายน โดยคาดว่าปริมาณน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสถานี C.2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ จะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 2,000 ลบ.ม./วินาที และในช่วงวันที่ 9-10 ก.ย. 2567 คาดว่าจะมีน้ำระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 1,500 - 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที อาจทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ริมแม่น้ำและพื้นที่ลุ่มต่ำของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมวางแผนรองรับสถานการณ์ล่วงหน้าด้วย5. สถานการณ์อุทกภัย : วันที่ 5 ก.ย. 67 ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย (อ.ขุนตาล และพญาเม็งราย) จ.สุโขทัย (อ.สวรรคโลก ศรีสำโรง คีรีมาศ และกงไกรลาศ) จ.พิษณุโลก (อ.เมืองฯ บางระกำ บางกระทุ่ม ชาติตระการ และพรหมพิราม) จ.นครสวรรค์ (อ.ชุมแสง) จ.อ่างทอง (อ.โพธิ์ทอง วิเศษชัยชาญ แสวงหา และป่าโมก) และ จ.พระนครศรีอยุธยา (อ.พระนครศรีอยุธยา เสนา บางบาล ผักไห่ บางไทร และบางปะอิน)
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยอ่อนในถั่วฝักยาว
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน ฝนตกชุก เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาว ในระยะ ทุกระยะ การเจริญเติบโต รับมือเพลี้ยอ่อน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อน ทำให้ส่วนที่ถูกทำลายบิดเบี้ยว แกร็น
แนวทางป้องกันกำจัด
เมื่อพบการระบาด ใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ระวังโรคราสนิมในถั่วฝักยาว
สภาพอากาศในช่วงนี้ฝนตกชุก เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาวในทุกระยะการเจริญเติบโตรับมือโรคราสนิม สาเหตุเกิดจากเชื้อรายูโรมายเซส (Uromyces appendiculatus (Uromyces phaseoli))
พบมากในระยะถั่วฝักยาวเริ่มออกดอก มักเกิดกับใบแก่ด้านล่างของลำต้นก่อนแล้วลามขึ้นด้านบน โดยพบมากบริเวณด้านใต้ใบ อาการเริ่มแรกเป็นแผลจุดสีเหลืองซีด ต่อมาตรงกลางแผลเป็นตุ่มนูนสีน้ำตาลแดง รอบแผลมีสีเหลือง ตุ่มนูนจะขยายใหญ่แล้วปริแตกออก เห็นเป็นผงสีน้ำตาลแดงคล้ายสีสนิม เมื่ออาการรุนแรงจะพบแผลกระจายทั่วทั้งใบ ทำให้ใบเหลืองและหลุดร่วง
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ไม่ปลูกพืชจนแน่นเกินไป ควรปรับระยะปลูกให้มีการถ่ายเทของอากาศและมีแสงแดดส่องผ่านแปลงปลูกได้
2. กำจัดวัชพืชในแปลงปลูก เพื่อลดการเกิดโรค
3. เมื่อเริ่มพบโรค พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น คลอโรทาโลนิล 50% เอสซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรอะดิมีฟอน 20% อีซี อัตรา 10-15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซอกซีสโตรบิน + ไดฟีโนโคนาโซล 20% + 12.5% เอสซี อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน
4. กำจัดเศษซากพืชที่เป็นโรค โดยนำไปเผานอกแปลงปลูก
5. ในแปลงที่มีการระบาดของโรค เมื่อสิ้นสุดฤดูปลูก ควรเก็บต้นไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อสาเหตุโรค
อ่านต่อ - ระวังหนอนเจาะฝักถั่ว
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศชื้นมีฝนตก เตือนผู้ปลูกถั่วฝักยาวในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือหนอนเจาะฝักถั่ว เมื่อหนอนฟักออกจากไข่จะเจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกอ่อน ต่อมาจะกัดส่วนของดอกและเกสรทำให้ดอกร่วง เมื่อหนอนโตขึ้นจะเจาะเข้าไปกัดกินภายในฝัก ส่วนที่เป็นเมล็ดอ่อน ทำให้ฝักและเมล็ดลีบ
แนวทางป้องกันกำจัด
1. วิธีกล ก่อนปลูกพืชประมาณ 2 สัปดาห์ ควรทำการไถพรวน และตากดิน เพื่อกำจัดดักแด้ที่อาจหลงเหลืออยู่ในแปลงปลูก
2. การใช้เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
3. การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพ เช่น เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% อีซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เดลทาเมทริน 3% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - โรคใบด่างมันสำปะหลัง และแนวทางป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบ พาหะนำโรค
การปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมามักไม่ค่อยพบปัญหาด้านศัตรูพืชมากนัก โดยส่วนใหญ่จะจัดการศัตรูพืชเพียงชนิดเดียวคือ วัชพืช เป็นหลัก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มพบปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาดในมันสำปะหลัง เช่น เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ที่สร้างปัญหารุนแรงในปี 2551-2552 แต่หลังจากนั้นก็พบการระบาดลดน้อยลงและเหลือเพียงบางพื้นที่ เช่นเดียวกับการพบ เพลี้ยหอยเกล็ด ไรแดง แมลงหวี่ขาว เป็นต้น
ส่วนปัญหาด้านโรคพืชของเกษตรกรที่คุ้นเคยดีคือ โรคพุ่มแจ้ ที่เกิดจากเชื้อไฟโตพลาสมา โรครากและหัวเน่า โรครากปม โรคแอนแทรกโนส โรคใบจุดสีน้ำตาล แต่ขณะนี้มีโรคใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน คือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava mosaic Disease : CMD)
ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อ Cassava mosaic virus ซึ่งเป็นไวรัสในจีนัส Begomovirus ซึ่งมีรายงานก่อความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศอินเดียและศรีลังกามากกว่า 80% คือ Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งปัจจุบันกำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงกับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น คงต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่เชื้อไวรัสจะแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ไม่แตกต่างจากหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดในข้าวโพด เนื่องจาก
1. ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังติดต่อกับเขตชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งพบการระบาดของโรคไวรัสชนิดนี้ และจังหวัดชายแดนของประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังจำนวนมากไม่ห่างจากชายแดนมากนัก (ทำให้ท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคจากฝั่งกัมพูชามีโอกาสเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่)2. แมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งเป็นแมลงพาหะนำโรค เป็นแมลงศัตรูที่มีพืชอาหารกว้างมากในบ้านเรา และปัญหาอีกข้อคือ การปลูกมันสำปะหลังหลายรุ่นมาก ในพื้นที่ที่ไปสำรวจแปลงเกษตรกรต่างค่อย ๆ ทยอยปลูก โดยไม่ได้ปลูกพร้อมกันทั้งหมดในพื้นที่ แมลงหวี่ขาวจึงมีพืชอาศัยตลอดเวลา จากการสำรวจพบว่าในแปลงที่โรคระบาดรุนแรง (พบอาการโรคเยอะ) โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ติดมาจากท่อนพันธุ์ แต่เกิดจากการถ่ายทอดเชื้อจากแมลงหวี่ขาวยาสูบ และจากการลงพื้นที่สังเกตเห็นแปลงที่พบการระบาดของโรคจะพบแมลงหวี่ขาวยาสูบจำนวนเยอะมาก ๆ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย เมื่อเปรียบเทียบกันกับแปลงที่พบการระบาดของโรคน้อยกว่า จะพบจำนวนแมลงหวี่ขาวยาสูบน้อยกว่าด้วย
แนวทางการป้องกันกำจัด
1. การประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด! นอกจากแจ้งให้เกษตรกรมาฟังแล้ว ต้องแจ้งผ่านช่องทางของหมู่บ้านที่พบการระบาด เช่น หอกระจายเสียงผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักโรคและพาหะนำโรคคือแมลงหวี่ขาวเลย บางคนยังเข้าใจผิด ๆ ว่าแมลงหวี่ขาวคือเพลี้ยแป้ง
2. หมั่นสำรวจแปลงให้บ่อยขึ้น หากเกษตรกรพบให้รีบแจ้งเกษตรตำบล เกษตรอำเภอในพื้นที่ด่วน เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ
3. ซื้อท่อนพันธุ์มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าไม่พบการระบาดของโรคนี้
4. แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเหมือนที่เคยทำในการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง เช่น สารไทอะมีโทแซม สารไดโนทีฟูแรน สารอิมิดาโคลพริด เป็นต้น (เพราะเป็นการป้องกันกำจัดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ตกประมาณไร่ละ 4-6 บาท) ในช่วงหลังมานี้ เกษตรกรไม่แช่ท่อนพันธุ์ เพราะไม่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว โดยคิดว่าเสียเวลาและเปลืองเงิน น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการระบาดของแมลงหวี่ขาว
5. การป้องกันกำจัดแมลงพาหะต้องทำพร้อม ๆ กันทุกแปลง เพราะส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกไม่พร้อมกัน หรือทยอยกันปลูก ทำให้แมลงหวี่ขาวพาหะนำโรคมีพืชอาหารและที่อยู่อาศัยตลอดทั้งปี
6. การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวเป็นไปได้ยาก (ยากยิ่งกว่าหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเสียอีก) เพราะเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเท่าที่สอบถามข้อมูลมาจะไม่คุ้นเคยกับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเลย ส่วนใหญ่จะเคยพ่นกันแต่ยาป้องกันกำจัดวัชพืช และราคาสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพดี ๆ ก็มีราคาค่อนข้างแพง หากเลือกใช้สารดูดซึมที่มีประสิทธิภาพดี อย่างพวกกลุ่ม 4, 9, 23 และกลุ่ม 29 และเหตุผลสำคัญอีกข้อคือประชากรแมลงหวี่ขาวเยอะมาก ๆ เท่าที่สุ่มตรวจนับพบเฉลี่ยมากกว่าห้าสิบตัวต่อต้น การใช้สารเคมีจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
5. การตัดใบที่พบการระบาดเยอะ ๆ ของตัวอ่อนออกมาทำลายน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
6. หลังการลงมือกำจัดแมลงหวี่ขาวและต้นที่เป็นโรคพร้อม ๆ กันแล้ว ต้องเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคไว้ให้เกษตรกรด้วยโดยสรุปคือ อยากให้เกษตรกรเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคใบด่าง และตระหนักถึงผลกระทบที่ตามมาหากมีปัญหาการระบาดเกิดขึ้น แต่ไม่ตื่นตกใจจนเกินไปเพราะอาการผิดปกติที่คล้ายคลึงกันกับโรคใบด่างนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
1. อาการผิดปกติเนื่องจากขาดธาตุอาหาร โดยมีลักษณะอาการที่พบใบมันสำปะหลังมีขนาดเล็ก รูปทรงอาจผิดปกติ ใบมีสีซีด หรือเหลืองตรงเส้นใบ
2. อาการผิดปกติเนื่องจากถูกสารเคมี โดยมีลักษณะอาการที่พบใบมันสำปะหลังจะมีลักษณะเรียวเล็ก เนื้อใบมีสีเขียวเข้มและอ่อนสลับกัน แต่ใบแข็งและหนา
อ่านต่อ - มวนปีกแก้วมะพร้าว ศัตรูพืช...ดูดกินใบมะพร้าวและใบกล้วย
“มวนปีกแก้วมะพร้าว” 𝙎𝙩𝙚𝙥𝙝𝙖𝙣𝙞𝙩𝙞𝙨 𝙩𝙮𝙥𝙞𝙘𝙖 (Distant) จัดอยู่ในอันดับ (Order) Hemiptera วงศ์ (Family) Tingidae มวนชนิดนี้มีขนาดเล็ก ขนาดลำตัวเมื่อวัดจากศีรษะไปถึงปลายสุดของส่วนท้องยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ลำตัวถึงส่วนท้องสีค่อนไปทางดำ ปีกใส ขอบเซลล์ของปีกมีสีเดียวกับลำตัว ตรงกลางของสันหลังอกปล้องแรกสีน้ำตาลปนแดงอ่อนๆ หรือสีน้ำตาลอ่อน ขาและหนวดสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาลอ่อน ปลายหนวดและปลายเท้ามีสีเหลืองปนน้ำตาลอ่อน
พืชอาหารและการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเป็นศัตรูสำคัญดูดกินใบมะพร้าวและใบกล้วย ทำให้ใบมีอาการเป็นจุดสีขาวเล็กๆ คล้ายถูกเจาะด้วยปลายเข็มหมุด และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ มีอาการเป็นรอยด่างอยู่ทั่วไป ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีนิสัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มดูดกินอยู่ใต้ใบพืช หากมีการระบาดมากๆ ใบพืชแทบจะไม่เห็นเป็นสีเขียว ต้นพืชจะมีอาการทรุดโทรมลง ใบมีขนาดเล็ก ต้นแคระแกรน และมีอาการเหี่ยวให้เห็นได้ชัดเจนแนวทางป้องกันกำจัดและวงจรชีวิต สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คลังความรู้ดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ที่มา : เปิดโลกส่องแมลง “มวน” ตอนที่ 19
จอมสุรางค์ ดวงธิสาร
นักกีฏวิทยาชำนาญการ กลุ่มงานอนุกรมวิธานแมลง กลุ่มกีฏและสัตววิทยา
สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร
อ่านต่อ