แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่

แสดง 1 - 20 จาก 126
หน้า
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนการระบาดของด้วงหนวดยาว
    ด้วงหนวดยาว (Batocera rufomaculata De Geer) ศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายให้พืชได้เป็นอย่างมาก และเป็นศัตรูพืชที่เกษตรกรมักระบาดในพืชเศรษฐกิจ เช่น ทุเรียน ข้าวโพด อ้อย เป็นต้น รวมไปถึงในพื้นที่ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ก็พบปัญหาหนอนของด้วงหนวดยาวเข้าทำลายในต้นลำพู และต้นลำแพน เช่นเดียวกัน
     
    ด้วงหนวดยาว ลักษณะของตัวเต็มวัยจะมีสีน้ำตาล และมีจุดสีส้มหรือสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วปีก เพศผู้มีหนวดยาวกว่าลำตัว เพศเมียหนวดเท่ากับหรือสั้นกว่าลำตัว จับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงเวลากลางคืน โดยใช้ปากที่มีเขี้ยวแข็งแรงขนาดใหญ่กัดเปลือกไม้เพื่อวางไข่แล้วกลบด้วยขุยไม้ชอบวางไข่ซ้ำบนต้นเดิม ไข่คล้ายเมล็ดข้าวสารสีขาวขุ่น หนอนที่ฟักใหม่จะมีสีขาวครีมและตัวหนอนจะกัดกินชอนไชใต้เปลือกไม้ และถ่ายมูลออกมาเป็นขุยไม้ติดอยู่ภายนอกอาจควั่นรอบต้นทำลายท่อลำเลียงน้ำและท่อลำเลียงอาหาร ทำให้ต้นพืชทรุดโทรมและยืนต้นตายได้ ตัวเต็มวัยมีอายุได้นานกว่า 6 เดือน จึงสามารถพบไข่และหนอนระยะต่าง ๆ กันเป็นจำนวนมาก
     
     
    วิธีป้องกันและการกำจัดด้วงหนวดยาวเข้ามาทำลายต้นพืช ได้แก่
    1. หมั่นสำรวจการระบาดเข้าทำลายของด้วงหนวดยาว เมื่อพบร่องรอยการทำลายเช่นมีขุยไม้ที่โคนต้นให้ใช้มีดหรือขวานเฉาะหาตัวหนอนมาทำลาย
    2. วางกับดักแสงไฟล่อแมลงตั้งแต่ 19.00 น.เป็นต้นไป และนำด้วงหนวดยาวไปทำลาย
    3. ใช้อวนตาข่ายถี่พันรอบลำต้นป้องกันด้วงหนวดยาวตัวเต็มวัยมาวางไข่
    4. กรณีพบการระบาดให้ใช้สารฆ่าแมลงฟิโพรนิล (Ascend 5 % SC) ฉีดพ่นในอัตราส่วน 80 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร

    อ่านต่อ
    วันที่ 25 เมษายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    โรคพืช
    เตือนชาวสวนทุเรียน เฝ้าระวัง 3 โรคทุเรียนในระยะพัฒนาผล
    เตือนชาวสวนทุเรียนเฝ้าระวัง 3 โรคทุเรียนในระยะพัฒนาผล ให้น้ำใส่ปุ๋ยให้เพียงพอ พร้อมใช้เชือกโยงกิ่งและผลป้องกันผลร่วงและลำต้นหักโค่น ทุเรียนในภาคตะวันออกจะอยู่ในช่วงระยะพัฒนาของผล และโรคทุเรียนที่พบการระบาดในช่วงนี้มีหลายโรคที่สำคัญ เช่น โรครากเน่าและโคนเน่า โรคราแป้ง และโรคใบจุดใบไหม้ จึงขอแนะนำให้เกษตรกรหมั่นสำรวจสวนอย่างสม่ำเสมอ
     
     
    หากพบการระบาดของโรครากเน่าและโคนเน่า ให้ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช หากพบอาการโรคบนกิ่งหรือที่โคนต้น ถากหรือขูดผิวเปลือกบริเวณที่เป็นโรคออก แล้วทาแผลด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช โดยสามารถใช้ตามคำแนะนำในการป้องกันกำจัดโรครากเน่าและโคนเน่า เช่น ฟอสอีทิล–อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 30-40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
     
     
    นอกจากนี้ ในช่วงที่อากาศแห้งแล้งและเย็นอาจพบการระบาดของโรคราแป้ง ให้พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไพราโซฟอส 29.4% W/VEC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
     
     
    ส่วนโรคใบจุดใบไหม้พบได้ทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง แต่จะพบมากในช่วงฤดูแล้ง หากพบอาการของโรคให้พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช อะซอกซีสโตรบิน 25% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
     
     
    สำหรับการให้น้ำในช่วงเริ่มติดผลได้ 1 สัปดาห์ แนะนำให้ค่อยๆเพิ่มปริมาณการให้น้ำขึ้นเรื่อยๆ และสามารถให้น้ำในอัตราปกติหลังการติดผล 3 สัปดาห์ การให้น้ำต้องให้อย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ตลอดช่วงพัฒนาการของผลทุเรียน และให้ใส่ปุ๋ยหลังการตัดแต่งผลครั้งสุดท้ายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของผล โดยใส่ปุ๋ยเมื่อผลมีอายุ 7 สัปดาห์ ร่วมกับการพ่นโปแตส เซียมไนเตรต เพื่อควบคุมการแตกใบอ่อน ตัดแต่งผลที่มีพัฒนาการผิดปกติ มีขนาดเล็ก หนามแดง หรือมีโรคแมลงเข้าทำลายให้ตัดทิ้ง และควรมีการโยงกิ่งและผลทุเรียนเพื่อป้องกันการหักโค่นของลำต้นและผลร่วง
    อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชคือ การใช้วิธีแบบผสมผสาน เช่น การทำเขตกรรม ใช้พันธุ์ต้านทานเพื่อลดการเกิดโรค บำรุงดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของพืช กำจัดวัชพืช ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง กำจัดส่วนที่เป็นโรคเพื่อลดประชากรของเชื้อสาเหตุ

    อ่านต่อ
    วันที่ 25 เมษายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นมะม่วง
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อนชื้น เตือนผู้ปลูกมะม่วง ในทุกระยะการเจริญเติบโต รับมือด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นมะม่วง ตัวเต็มวัยเป็นด้วงหนวดยาว เพศเมียวางไข่ในเวลากลางคืนโดยฝังไว้ใต้เปลือก หนอนจะกัดกินชอนไชตามเปลือกไม้ด้านใน ทำให้เกิดยางไหล หนอนอาจควั่นเปลือกจนรอบลำต้น ทำให้ท่อน้ำท่ออาหารถูกตัดทำลายเป็นเหตุให้ต้นมะม่วงทรุดโทรม ใบแห้ง และยืนต้นตายได้ สังเกตรอยทำลายได้จากขุยไม้ที่หนอนถ่ายออกมาบริเวณเปลือกลำต้น
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1.หมั่นสำรวจตรวจแปลงสม่ำเสมอ โดยสังเกตรอยแผล ซึ่งเป็นแผลเล็กและชื้น ที่ตัวเต็มวัยทำขึ้นเพื่อการวางไข่ พบให้ทำลายไข่ทิ้ง หรือถ้าพบขุยและการทำลายที่เปลือกไม้ให้ใช้มีดแกะและจับหนอนทำลาย
    2.กำจัดแหล่งขยายพันธุ์โดยตัดต้นที่ถูกทำลายรุนแรง จนไม่สามารถให้ผลผลิตเผาทิ้ง
    3.กำจัดตัวเต็มวัย โดยใช้ไฟส่องจับตัวเต็มวัยตามต้น ในช่วงเวลา 20.00 น. ถึงเช้ามืด หรือใช้ตาข่ายดักปลาตาถี่พันรอบต้นหลายๆทบ เพื่อดักตัวด้วง
    4.กรณีที่มีการระบาดรุนแรง ควรป้องกันการเข้าทำลายของด้วงหนวดยาวโดยใช้สารป้องกันกำจัดแมลง เช่น อิมิดาคลอพริด 10% เอสเอล อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะเซทามิพริด 20% เอสพี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไธอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วบริเวณต้นและกิ่งขนาดใหญ่

    อ่านต่อ
    วันที่ 19 เมษายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังด้วงแรดมะพร้าวในมะพร้าว

    สภาพอากาศร้อน มีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกมะพร้าวในระยะยังไม่ให้ผลผลิตและให้ผลผลิตแล้ว รับมือด้วงแรดมะพร้าว ตัวเต็มวัยเข้าทำลายพืช โดยการบินขึ้นไปกัดเจาะโคนทางใบหรือยอดอ่อนของมะพร้าว รวมทั้งเจาะทำลายยอดอ่อนที่ยังไม่คลี่ ทำให้ใบที่เกิดใหม่ไม่สมบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็นริ้ว ๆ คล้ายหางปลา หรือรูปพัด ถ้าโดนทำลายมาก ๆ จะทำให้ใบที่เกิดใหม่แคระแกร็น รอยแผลที่ถูกด้วงแรดมะพร้าวกัดเป็นเนื้อเยื่ออ่อนทำให้ด้วงงวงมะพร้าวเข้ามาวางไข่ หรือเป็นทางให้เกิดยอดเน่า จนถึงต้นตายได้ในที่สุด ด้วงแรดมะพร้าวในระยะตัวหนอน ส่วนใหญ่พบตามพื้นดินในบริเวณที่มีการกองปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก จะกัดกินและทำลายระบบรากของมะพร้าวปลูกใหม่ ทำให้พบอาการยอดเหี่ยวและแห้งเป็นสีน้ำตาล ต้นแคระแกร็นไม่เจริญเติบโต


    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. วิธีเขตกรรม ทำความสะอาดบริเวณสวนมะพร้าวเพื่อกำจัดแหล่งขยายพันธุ์ เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีมานาน ถ้ามีกองปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก กองขยะ กองขี้เลื่อย แกลบ ควรกำจัดออกไปจากบริเวณสวน หรือกองให้เป็นที่ แล้วหมั่นกลับเพื่อตรวจดู หากพบหนอนให้จับมาทำลายหรือเผากองขยะนั้นเสีย ส่วนของลำต้นและตอมะพร้าวที่โค่นทิ้งไว้ หรือมะพร้าวที่ยืนต้นตายควรโค่นลงมาเผาทำลาย ต้นมะพร้าวที่ถูกตัดเพื่อปลูกทดแทน ถ้ายังสดอยู่เผาทำลายไม่ได้ ควรทอนออกเป็นท่อนสั้น ๆ นำมารวมกันไว้ ปล่อยให้ผุสลาย ล่อให้ด้วงแรดมาวางไข่ ด้วงแรดจะวางไข่ตามเปลือกมะพร้าวที่อยู่ติดกับพื้นดินเพราะมีความชุ่มชื้นสูงและผุเร็ว เผาทำลายท่อนมะพร้าวเพื่อกำจัดทั้งไข่ หนอน และดักแด้ของด้วงแรดมะพร้าว ตอมะพร้าวที่เหลือให้ใช้น้ำมันเครื่องใช้แล้วราดให้ทั่วตอเพื่อป้องกันการวางไข่ได้
    2. การใช้ชีววิธี ใช้เชื้อราเขียวเมตาไรเซียม (Metarhizium sp.) ใส่ไว้ตามกองขยะ กองปุ๋ยคอก หรือท่อนมะพร้าวที่มีหนอนด้วงแรดมะพร้าวอาศัยอยู่ เกลี่ยเชื้อให้กระจายทั่วกอง เพื่อให้เชื้อมีโอกาสสัมผัสกับตัวหนอนให้มากที่สุด รดน้ำให้ความชื้น หาวัสดุ เช่น ใบมะพร้าวคลุมกองไว้ เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันแสงแดด เชื้อจะทำลายด้วงแรดมะพร้าวทุกระยะการเจริญเติบโต
    3. การใช้สารเคมี
    3.1 ต้นมะพร้าวอายุ 3-5 ปี ซึ่งยังไม่สูงมากนัก ใช้ลูกเหม็นใส่บริเวณคอมะพร้าวที่โคนทางใบรอบ ๆ ยอดอ่อน ทางละ 2 ลูก ต้นละ 6-8 ลูก กลิ่นของลูกเหม็นจะไล่ไม่ให้ด้วงแรดมะพร้าวบินเข้าไปทำลายคอมะพร้าว
    3.2 ใช้สารฆ่าแมลงไดอะซินอน 60% EC อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ราดบริเวณคอมะพร้าวตั้งแต่โคนยอดอ่อนลงมาให้เปียก โดยใช้ปริมาณ 1-1.5 ลิตรต่อต้น ทุก 15-20 วัน ควรใช้ 1-2 ครั้ง ในช่วงระบาด


    อ่านต่อ
    วันที่ 17 เมษายน 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    การป้องกันกำจัดหนอนหัวดำ
    วันที่ 28 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคผลเน่าในสละ
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อนชื้น ฝนตกบางแห่ง เตือนผู้ปลูกสละในระยะออกดอกและติดผล รับมือโรคผลเน่า เปลือกของผลสละจะมีสีน้ำตาล ถ้าความชื้นสูงจะพบเส้นใยสีขาวหรือขาวอมชมพูของเชื้อราเกิดขึ้น เส้นใยจะแทงทะลุเปลือกเข้าไปในผล ทำให้เปลือกเปราะ แตก เนื้อสละด้านในเน่า ผลร่วง เมื่อเชื้อราเจริญเต็มที่เส้นใยจะสร้างดอกเห็ดสีขาว เมื่อดอกบานจะปลดปล่อยสปอร์แพร่ระบาดไปสู่ผลทะลายอื่น ๆ ได้
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ควรตัดแต่งทางใบที่แก่หมดสภาพ โดยเฉพาะทางใบที่อยู่ด้านล่างๆ ให้มีการถ่ายเทของอากาศ ไม่ให้มีความชื้นสะสมใต้ทรงพุ่มมากเกินไป
    2. ตรวจแปลงสม่ำเสมอ เก็บผลที่เป็นโรคออกจากแปลงไปเผาทำลาย เก็บเผาทำลายเศษซากพืชและผลเป็นโรคที่ร่วงอยู่ใต้ต้น เพื่อลดปริมาณเชื้อสะสม
    3. พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิดใดชนิดหนึ่งดังนี้ ไพราโคลสโตรบิน 25% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ทีบูโคนาโซล+ ไตรฟลอกซีสโตรบิน 50% + 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นสาร 2 ครั้ง ครั้งแรกก่อนเก็บเกี่ยวผลสละ 2 เดือน ครั้งที่สองหลังจากครั้งแรก 7 วัน

    อ่านต่อ
    วันที่ 28 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนภัยเพลี้ยไฟในมะกรูด

    ภาพถ่ายโดย JodMar

     
    สภาพอากาศที่ฝนตกบางพื้นที่ อากาศร้อนในตอนกลางวัน เกษตรกรผู้ปลูกมะกรูดในทุกระยะการเติบโต เฝ้าระวังเพลี้ยไฟศัตรูตัวร้ายของมังคุด
    ลักษณะของเพลี้ยไฟ เพลี้ยไฟ เป็นแมลงปากดูดที่มีลักษณะเล็กมาก มีรูปร่างเรียว ลำตัวยาวประมาณเพียง 2 มิลลิเมตร ตัวอ่อนจะไม่มีปีก ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนออกไปทางเหลือง ส่วนตัวเต็มวัยจะมีสีน้ำตาลเข้ม หรือน้ำตาลดำ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะเคลื่อนที่ได้เร็วมาก ทำให้สังเกตได้ยาก
    ลักษณะของมะกรูดเมื่อถูกทำลายโดยเพลี้ยไฟ
    1. ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทำลายโดยการดูดน้ำเลี้ยงจากส่วนต่าง ๆ ของมะกรูด
    2. เพลี้ยไฟเข้าทำลายตั้งแต่มะกรูดติดผล ภายหลังกลีบดอกร่วงหมด เกิดเป็นรอยแผลบนผิวของมะกรูดเป็นทางสีเทาเงิน
    3. ระยะแตกยอดอ่อนและใบอ่อน ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต แคระแกร็น หงิกงอ และใบไหม้
    วิธีป้องกันเพลี้ยไฟ
    1. สำรวจและหมั่นตรวจสอบต้นมะกรูดและสวนเป็นประจำ
    2. หากพบเจอต้นที่ถูกทำลายจนมีความเสียหายจนทรุดโทรม ให้รีบทำลายทิ้งเพื่อตัดวงจรชีวิตของเพลี้ยไฟ

    อ่านต่อ
    วันที่ 14 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน
    วันที่ 14 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนภัยการเกษตร : เพลี้ยไฟ (Thrips) ในทุเรียน

    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน เตือนผู้ปลูกทุเรียนในระยะออกดอก ติดผล รับมือการระบาดของเพลี้ยไฟ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนต่างๆ ของพืช ในช่วงใบอ่อนหรือยอดอ่อนโดยอาศัยอยู่ตามซอกใบ เมื่อพืชโตขึ้นก็จะถูกทำลายปลายใบจะเหี่ยวขอบใบจะม้วนเข้าหากลางใบ ใบโค้ง แห้งหงิกงอ และไหม้

    การทำลายในช่วงดอก ทำให้ดอกแห้ง ดอกและก้านดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแคระแกร็น ร่วงได้และในช่วงผลอ่อน ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต หนามเป็นแผลและเกิดอาการปลายหนามแห้ง ผลไม่สมบูรณ์และเคระแกร็น

     

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 13 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนพี่น้องชาวนา​ ระวังเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าว

    เตือนพี่น้องชาวนา​ อากาศเริ่มเปลี่ยน เตือนเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลit[kfในนาข้าว หมั่นสำรวจแปลงนาอย่างใกล้ชิด🌾🦗


    อ่านต่อ
    วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง
    สภาพอากาศในช่วงนี้ มีแดดแรงในตอนกลางวัน เตือนผู้ปลูกมะม่วงในระยะใบอ่อน-แทงช่อดอก รับมือเพลี้ยไฟพริก ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ใช้ปากเขี่ยเนื้อเยื่อ และดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืชบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก ช่อดอก การทำลายในระยะติดดอกจะทำให้ดอกร่วงไม่ติดผล หรือทำให้ติดผลน้อย ส่วนอาการที่ปรากฏบนยอดอ่อนจะทำให้ใบที่แตกใหม่ แคระแกร็น ขอบใบและปลายใบไหม้ ใบอาจร่วงตั้งแต่ยังเล็กๆ สำหรับใบที่ขนาดโตแล้ว เพลี้ยไฟมักลงทำลายบริเวณใบอ่อนโดยเฉพาะหลังใบทำให้ใบม้วนงอ และปลายใบไหม้ ถ้าเป็นการทำลายที่ยอดจะรุนแรง ทำให้ยอดแห้งไม่แทงช่อใบ หรือช่อดอก
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ถ้าพบไม่มากให้ตัดส่วนที่แมลงระบาดไปเผาทิ้ง เพราะเพลี้ยไฟมักอยู่กันเป็นกลุ่มบริเวณส่วนยอดอ่อนของพืช
    2. การพ่นสารฆ่าแมลง ควรพ่นระยะติดดอกอย่างน้อย ๒ ครั้ง คือ ระยะเริ่มแทงช่อดอกและระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5-1.0 เซนติเมตร) ถ้าหากพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรงให้พ่นซ้ำในระยะก่อนดอกบาน
    3. สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่แนะนำ คือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออะบาเมกติน 1.8% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซแอนทรานิลิโพรล 10% โอดี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    * ในขณะที่ดอกบานควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสรได้

    อ่านต่อ
    วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ความผิดปกติของพืช
    เตือนภัยการเกษตร ข้าวเมาตอซัง

    สาเหตุ H2S
    - เกิดจากการสะสมของแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือแก๊สไข่เน่าในดิน จากการย่อยสลายตอซังที่ไม่สมบูรณ์
    อาการ
    - เริ่มพบอาการเมื่อข้าวอายุประมาณ 1 เดือน หรือระยะแตกกอ ต้นข้าวจะแสดงอาการคล้ายขาดธาตุไนโตรเจน ต้นแคระแกร็น ใบซีดเหลืองจากใบล่าง ๆ มีอาการโรคใบจุดสีน้ำตาล
    - จะพบเมื่อการเน่าสลายของเศษซากพืชในนายังไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษ เช่น สารซัลไฟด์ ไปทำลายรากข้าวทำให้เกิดอาการรากเน่าดำ รากไม่สามารถดูดธาตุอาหารจากดินได้ ต้นข้าวจึงแสดงอาการขาดธาตุอาหาร และจะสร้างรากใหม่ในระดับเหนือผิวดิน
    - ปัญหานี้มักเกิดจากการที่เกษตรกรทำนาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการพักนา
    การป้องกันกำจัด
    - ระบายน้ำเสียในแปลงออก ทิ้งให้ดินแห้งประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้รากข้าวได้รับอากาศ หลังจากนั้นจึงนำน้ำใหม่เข้าและหว่านปุ๋ย
    - หลังเก็บเกี่ยวข้าว ควรทิ้งระยะพักดินประมาณ 1 เดือน ไถพรวนแล้วควรทิ้งระยะให้ตอซังเกิดการหมักสลายตัวสมบูรณ์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
    - ไม่ควรให้ระดับน้ำในนาสูงมากเกินไปและมีการไหลเวียนของน้ำอยู่เสมอ


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    อุตุนิยมวิทยา
    คาดหมายฤดูร้อน ปี 2567 เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ร้อนปนฝนให้ระวังโรคผลเน่าในทุเรียน
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบในกะเพรา โหระพา แมงลัก
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า อากาศร้อนในตอนกลางวัน และมีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกกะเพรา โหระพา แมงลัก ในระยะเก็บเกี่ยวรับมือแมลงหวี่ขาวยาสูบ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ มักพบบริเวณหลังใบ ส่วนกลางของลำต้น นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำเชื้อไวรัส ที่ให้เกิดโรคด่างเหลือง
    แนวทางป้องกัน/แก้ไข
    1. หมั่นสำรวจแปลงปลูก โดยเดินสำรวจแบบสลับฟันปลา สัปดาห์ละครั้ง
    2. ถ้าพบตัวอ่อนแมลงหวี่ขาวยาสูบมากกว่า 2 ตัวต่อใบ พ่นด้วยสารฆ่าแมลง เช่น สไปโรเตตระแมท 15% OD อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟลอนิคามิด 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ซัลฟอกซาฟลอร์ 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพมีโทรซีน 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วเมื่อพบการระบาด
     

    อ่านต่อ
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังหนอนกระทู้ผักและด้วงหมัดผักบุกพืชผักตระกูลกะหล่ำ

    ช่วงนี้สภาพอากาศร้อนในตอนกลางวัน มีฝนตกและลมแรงในบางพื้นที่ เกษตรกรที่ปลูกพืชผักตระกูลกะหล่ำและผักกาด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี กวางตุ้ง ผักกาดขาว และผักกาดหอม ขอให้เฝ้าระวังการเข้าทำลายของด้วงหมัดผัก

    ตัวอ่อนด้วงหมัดผักจะกัดกิน หรือชอนไชเข้าไปกินอยู่บริเวณโคนต้น หรือรากของผัก ทำให้พืชผักเหี่ยวเฉา และไม่เจริญเติบโต ถ้ารากถูกทำลายมากๆอาจจะทำให้พืชผักตายได้ โดยตัวเต็มวัยชอบกัดผิวด้านล่างของใบทำให้ใบเป็นรูพรุน และอาจกัดกินผิวลำต้น และกลีบดอกด้วย

    วิธีลดการระบาดของด้วงหมัดผักให้ใช้วิธีเขตกรรม โดยไถตากดินไว้เป็นเวลานานพอสมควร เพื่อทำลายตัวอ่อน และดักแด้ที่อาศัยอยู่ในดิน ใช้ไส้เดือนฝอย Steinernema carpocapsae อัตรา 50 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นหรือราดลงดินก่อนปลูกหลังการให้น้ำ และพ่นทุก 7 วันหลังปลูก ใช้สารที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด เช่น ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรฟีโนฟอส 50% EC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล 85% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

    นอกจากด้วงหมัดผักแล้วยังต้องเฝ้าระวังการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ผัก โดยหนอนระยะแรกเข้าทำลายเป็นกลุ่มในระยะต่อมาจะทำลายรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเป็นหนอนที่มีขนาดใหญ่ สามารถกัดกินใบ ก้าน หรือเข้าทำลายในหัวกะหล่ำ การเข้าทำลายมักเกิดเป็นหย่อม ๆ ตามจุดที่ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่ และมักแพร่ระบาดได้รวดเร็วตลอดปี

    การป้องกันกำจัดให้ใช้วิธีเขตกรรม เช่น การไถตากดิน และการเก็บเศษซากพืชอาหาร เพื่อกำจัดดักแด้และลดแหล่งอาหารในการขยายพันธุ์ของหนอนกระทู้ผัก และใช้วิธีกลโดยเก็บกลุ่มไข่และหนอนทำลายซึ่งจะช่วยลดการระบาดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ทูริงเยนซิส Bacillus thuringiensis (Bt) อัตรา 40-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร (WDG, WG, WP) หรือ 60-100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (SC) พ่นทุก 3-5 วัน เมื่อพบการระบาด หากมีการระบาดรุนแรงให้พ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง

     

    หลังจากนั้นพ่นทุก 5 วัน จนกระทั่งหนอนลดปริมาณการระบาดใช้ชีวภัณฑ์เอ็นพีวีหนอนกระทู้ผัก อัตรา 40-50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7-10 วัน ควรพ่นเมื่อหนอนมีขนาดเล็กจะให้ผลในการควบคุมได้รวดเร็วกรณีหนอนระบาดรุนแรงพ่นอัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ติดต่อกัน 2 ครั้ง ทุก 4 วัน

    หากมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีให้ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพตามคำแนะนำ เช่น คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 6 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบการระบาด


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
แสดง 1 - 20 จาก 126
หน้า
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู