แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่

แสดง 1 - 20 จาก 117
หน้า
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนภัยเพลี้ยไฟในมะกรูด

    ภาพถ่ายโดย JodMar

     
    สภาพอากาศที่ฝนตกบางพื้นที่ อากาศร้อนในตอนกลางวัน เกษตรกรผู้ปลูกมะกรูดในทุกระยะการเติบโต เฝ้าระวังเพลี้ยไฟศัตรูตัวร้ายของมังคุด
    ลักษณะของเพลี้ยไฟ เพลี้ยไฟ เป็นแมลงปากดูดที่มีลักษณะเล็กมาก มีรูปร่างเรียว ลำตัวยาวประมาณเพียง 2 มิลลิเมตร ตัวอ่อนจะไม่มีปีก ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนออกไปทางเหลือง ส่วนตัวเต็มวัยจะมีสีน้ำตาลเข้ม หรือน้ำตาลดำ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะเคลื่อนที่ได้เร็วมาก ทำให้สังเกตได้ยาก
    ลักษณะของมะกรูดเมื่อถูกทำลายโดยเพลี้ยไฟ
    1. ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทำลายโดยการดูดน้ำเลี้ยงจากส่วนต่าง ๆ ของมะกรูด
    2. เพลี้ยไฟเข้าทำลายตั้งแต่มะกรูดติดผล ภายหลังกลีบดอกร่วงหมด เกิดเป็นรอยแผลบนผิวของมะกรูดเป็นทางสีเทาเงิน
    3. ระยะแตกยอดอ่อนและใบอ่อน ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต แคระแกร็น หงิกงอ และใบไหม้
    วิธีป้องกันเพลี้ยไฟ
    1. สำรวจและหมั่นตรวจสอบต้นมะกรูดและสวนเป็นประจำ
    2. หากพบเจอต้นที่ถูกทำลายจนมีความเสียหายจนทรุดโทรม ให้รีบทำลายทิ้งเพื่อตัดวงจรชีวิตของเพลี้ยไฟ

    อ่านต่อ
    วันที่ 14 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน
    วันที่ 14 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนภัยการเกษตร : เพลี้ยไฟ (Thrips) ในทุเรียน

    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน เตือนผู้ปลูกทุเรียนในระยะออกดอก ติดผล รับมือการระบาดของเพลี้ยไฟ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนต่างๆ ของพืช ในช่วงใบอ่อนหรือยอดอ่อนโดยอาศัยอยู่ตามซอกใบ เมื่อพืชโตขึ้นก็จะถูกทำลายปลายใบจะเหี่ยวขอบใบจะม้วนเข้าหากลางใบ ใบโค้ง แห้งหงิกงอ และไหม้

    การทำลายในช่วงดอก ทำให้ดอกแห้ง ดอกและก้านดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแคระแกร็น ร่วงได้และในช่วงผลอ่อน ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต หนามเป็นแผลและเกิดอาการปลายหนามแห้ง ผลไม่สมบูรณ์และเคระแกร็น

     

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 13 มีนาคม 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    เตือนภัยการเกษตร : โรคไหม้ข้าว🌾
     
    โรคไหม้ข้าว
    🌾ระยะกล้า
    - ใบมีแผลจุดสีน้ำตาลคล้ายรูปตา มีสีเทาอยู่ตรงกลางแผล หากพบการระบาดของโรครุนแรงกล้าข้าวจะแห้งฟุบตาย อาการคล้ายถูกไฟไหม้
    🌾ระยะแตกกอ
    - พบอาการได้ที่ใบ ข้อต่อของใบ และข้อต่อของลำต้น ขนาดแผลจะใหญ่กว่าที่พบในระยะกล้า ใบจะมีลักษณะแผผลช้ำสีน้ำตาลดำ และมักหลุดจากกาบใบเสมอ
    🌾ระยะออกรวง
    - หากพบเชื้อราเข้าทำลายในช่วงข้าวเริ่มออกรวง เมล็ดจะลีบ หากพบเชื้อราเข้าทำลายระยะใกล้เก็บเกี่ยว จะพบรอยแผลช้ำสีน้ำตาลที่บริเวณคอรวง ทำให้เปราะหักง่าย รวงข้าวร่วงหล่นเสียหายมาก
     
     
     

    อ่านต่อ
    วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    เตือนพี่น้องชาวนา​ ระวังเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าว

    เตือนพี่น้องชาวนา​ อากาศเริ่มเปลี่ยน เตือนเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลit[kfในนาข้าว หมั่นสำรวจแปลงนาอย่างใกล้ชิด🌾🦗


    อ่านต่อ
    วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟพริกในมะม่วง
    สภาพอากาศในช่วงนี้ มีแดดแรงในตอนกลางวัน เตือนผู้ปลูกมะม่วงในระยะใบอ่อน-แทงช่อดอก รับมือเพลี้ยไฟพริก ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ใช้ปากเขี่ยเนื้อเยื่อ และดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืชบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก ช่อดอก การทำลายในระยะติดดอกจะทำให้ดอกร่วงไม่ติดผล หรือทำให้ติดผลน้อย ส่วนอาการที่ปรากฏบนยอดอ่อนจะทำให้ใบที่แตกใหม่ แคระแกร็น ขอบใบและปลายใบไหม้ ใบอาจร่วงตั้งแต่ยังเล็กๆ สำหรับใบที่ขนาดโตแล้ว เพลี้ยไฟมักลงทำลายบริเวณใบอ่อนโดยเฉพาะหลังใบทำให้ใบม้วนงอ และปลายใบไหม้ ถ้าเป็นการทำลายที่ยอดจะรุนแรง ทำให้ยอดแห้งไม่แทงช่อใบ หรือช่อดอก
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ถ้าพบไม่มากให้ตัดส่วนที่แมลงระบาดไปเผาทิ้ง เพราะเพลี้ยไฟมักอยู่กันเป็นกลุ่มบริเวณส่วนยอดอ่อนของพืช
    2. การพ่นสารฆ่าแมลง ควรพ่นระยะติดดอกอย่างน้อย ๒ ครั้ง คือ ระยะเริ่มแทงช่อดอกและระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5-1.0 เซนติเมตร) ถ้าหากพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรงให้พ่นซ้ำในระยะก่อนดอกบาน
    3. สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่แนะนำ คือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออะบาเมกติน 1.8% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซแอนทรานิลิโพรล 10% โอดี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    * ในขณะที่ดอกบานควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสรได้

    อ่านต่อ
    วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ความผิดปกติของพืช
    เตือนภัยการเกษตร ข้าวเมาตอซัง

    สาเหตุ H2S
    - เกิดจากการสะสมของแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือแก๊สไข่เน่าในดิน จากการย่อยสลายตอซังที่ไม่สมบูรณ์
    อาการ
    - เริ่มพบอาการเมื่อข้าวอายุประมาณ 1 เดือน หรือระยะแตกกอ ต้นข้าวจะแสดงอาการคล้ายขาดธาตุไนโตรเจน ต้นแคระแกร็น ใบซีดเหลืองจากใบล่าง ๆ มีอาการโรคใบจุดสีน้ำตาล
    - จะพบเมื่อการเน่าสลายของเศษซากพืชในนายังไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษ เช่น สารซัลไฟด์ ไปทำลายรากข้าวทำให้เกิดอาการรากเน่าดำ รากไม่สามารถดูดธาตุอาหารจากดินได้ ต้นข้าวจึงแสดงอาการขาดธาตุอาหาร และจะสร้างรากใหม่ในระดับเหนือผิวดิน
    - ปัญหานี้มักเกิดจากการที่เกษตรกรทำนาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการพักนา
    การป้องกันกำจัด
    - ระบายน้ำเสียในแปลงออก ทิ้งให้ดินแห้งประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้รากข้าวได้รับอากาศ หลังจากนั้นจึงนำน้ำใหม่เข้าและหว่านปุ๋ย
    - หลังเก็บเกี่ยวข้าว ควรทิ้งระยะพักดินประมาณ 1 เดือน ไถพรวนแล้วควรทิ้งระยะให้ตอซังเกิดการหมักสลายตัวสมบูรณ์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
    - ไม่ควรให้ระดับน้ำในนาสูงมากเกินไปและมีการไหลเวียนของน้ำอยู่เสมอ


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    อุตุนิยมวิทยา
    คาดหมายฤดูร้อน ปี 2567 เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ร้อนปนฝนให้ระวังโรคผลเน่าในทุเรียน
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบในกะเพรา โหระพา แมงลัก
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า อากาศร้อนในตอนกลางวัน และมีฝนตกบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกกะเพรา โหระพา แมงลัก ในระยะเก็บเกี่ยวรับมือแมลงหวี่ขาวยาสูบ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ มักพบบริเวณหลังใบ ส่วนกลางของลำต้น นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำเชื้อไวรัส ที่ให้เกิดโรคด่างเหลือง
    แนวทางป้องกัน/แก้ไข
    1. หมั่นสำรวจแปลงปลูก โดยเดินสำรวจแบบสลับฟันปลา สัปดาห์ละครั้ง
    2. ถ้าพบตัวอ่อนแมลงหวี่ขาวยาสูบมากกว่า 2 ตัวต่อใบ พ่นด้วยสารฆ่าแมลง เช่น สไปโรเตตระแมท 15% OD อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟลอนิคามิด 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ซัลฟอกซาฟลอร์ 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพมีโทรซีน 50% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วเมื่อพบการระบาด
     

    อ่านต่อ
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังหนอนกระทู้ผักและด้วงหมัดผักบุกพืชผักตระกูลกะหล่ำ

    ช่วงนี้สภาพอากาศร้อนในตอนกลางวัน มีฝนตกและลมแรงในบางพื้นที่ เกษตรกรที่ปลูกพืชผักตระกูลกะหล่ำและผักกาด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี กวางตุ้ง ผักกาดขาว และผักกาดหอม ขอให้เฝ้าระวังการเข้าทำลายของด้วงหมัดผัก

    ตัวอ่อนด้วงหมัดผักจะกัดกิน หรือชอนไชเข้าไปกินอยู่บริเวณโคนต้น หรือรากของผัก ทำให้พืชผักเหี่ยวเฉา และไม่เจริญเติบโต ถ้ารากถูกทำลายมากๆอาจจะทำให้พืชผักตายได้ โดยตัวเต็มวัยชอบกัดผิวด้านล่างของใบทำให้ใบเป็นรูพรุน และอาจกัดกินผิวลำต้น และกลีบดอกด้วย

    วิธีลดการระบาดของด้วงหมัดผักให้ใช้วิธีเขตกรรม โดยไถตากดินไว้เป็นเวลานานพอสมควร เพื่อทำลายตัวอ่อน และดักแด้ที่อาศัยอยู่ในดิน ใช้ไส้เดือนฝอย Steinernema carpocapsae อัตรา 50 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นหรือราดลงดินก่อนปลูกหลังการให้น้ำ และพ่นทุก 7 วันหลังปลูก ใช้สารที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด เช่น ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรฟีโนฟอส 50% EC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล 85% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

    นอกจากด้วงหมัดผักแล้วยังต้องเฝ้าระวังการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ผัก โดยหนอนระยะแรกเข้าทำลายเป็นกลุ่มในระยะต่อมาจะทำลายรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเป็นหนอนที่มีขนาดใหญ่ สามารถกัดกินใบ ก้าน หรือเข้าทำลายในหัวกะหล่ำ การเข้าทำลายมักเกิดเป็นหย่อม ๆ ตามจุดที่ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่ และมักแพร่ระบาดได้รวดเร็วตลอดปี

    การป้องกันกำจัดให้ใช้วิธีเขตกรรม เช่น การไถตากดิน และการเก็บเศษซากพืชอาหาร เพื่อกำจัดดักแด้และลดแหล่งอาหารในการขยายพันธุ์ของหนอนกระทู้ผัก และใช้วิธีกลโดยเก็บกลุ่มไข่และหนอนทำลายซึ่งจะช่วยลดการระบาดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ทูริงเยนซิส Bacillus thuringiensis (Bt) อัตรา 40-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร (WDG, WG, WP) หรือ 60-100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (SC) พ่นทุก 3-5 วัน เมื่อพบการระบาด หากมีการระบาดรุนแรงให้พ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง

     

    หลังจากนั้นพ่นทุก 5 วัน จนกระทั่งหนอนลดปริมาณการระบาดใช้ชีวภัณฑ์เอ็นพีวีหนอนกระทู้ผัก อัตรา 40-50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7-10 วัน ควรพ่นเมื่อหนอนมีขนาดเล็กจะให้ผลในการควบคุมได้รวดเร็วกรณีหนอนระบาดรุนแรงพ่นอัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ติดต่อกัน 2 ครั้ง ทุก 4 วัน

    หากมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีให้ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพตามคำแนะนำ เช่น คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG อัตรา 6 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบการระบาด


    อ่านต่อ
    วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    การระบายน้ำ
    เสี่ยง! หากทำนาปรังรอบ 2 กรมชลประทาน วอนเกี่ยวข้าวแล้วพักก่อน

    กรมชลประทานจำเป็นต้องปรับการจัดสรรน้ำเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนพื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต จากนั้นจะพิจารณาปรับลดการระบายน้ำ เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ จึงขอความร่วมมือเกษตรกร ไม่เพาะปลูกข้าวนาปรังครั้งที่ 2 ลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหาย และอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำโดยรวม

     


    อ่านต่อ
    วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    การผลิตพืช
    มลพิษ
    การดูแลสวนยางช่วงฤดูแล้ง
    วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟศัตรูทุเรียน
    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟพริก (Chilli Thrips)
    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567
  • แจ้งเตือน
    โรคพืช
    ระวังโรคราแป้งในเงาะ
    วันที่ 31 มกราคม 2567
  • แจ้งเตือน
    ศัตรูพืช
    ระวังเพลี้ยไฟพริกในส้มโอ
    สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน และฝนตกหนักบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกส้มโอในระยะออกดอก ติดผล รับมือเพลี้ยไฟพริก ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเขี่ยและดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนอ่อนต่าง ๆ ของส้มโอ การทำลายบนยอดหรือใบอ่อน จะทำให้ใบแคบเล็กกร้าน และบิดงอ การทำลายบนผลจะเริ่มเข้าทำลายตั้งแต่ติดผล ภายหลังกลีบดอกร่วงหมด เกิดเป็นรอยแผลบนผิวของส้มโอเป็นทางสีเทาเงิน ผลแคระแกร็น บิดเบี้ยว
    แนวทางป้องกันกำจัด
    1. ควบคุมการแตกยอด ออกดอก ติดผล ให้อยู่ในระยะเดียวกันในแต่ละรุ่น เพื่อความสะดวกในการป้องกันกำจัด และช่วยลดจำนวนครั้งของการพ่นสารเคมี
    2. ผลอ่อนที่ถูกเพลี้ยไฟทำลายรุนแรง ควรเก็บทิ้งทำลาย และการเด็ดผลทิ้งจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว
    3. สำรวจเพลี้ยไฟในช่วงแตกใบอ่อนและผลอ่อน ถ้าพบการทำลายมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่สำรวจ หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ ของผลที่สำรวจ ทำการพ่นสารฆ่าแมลง ได้แก่ สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นสารแบบหมุนเวียนตามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ โดยใช้รอบการหมุนเวียนทุก 14 วัน เมื่อพบการระบาด เพื่อชะลอความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง

    อ่านต่อ
    วันที่ 21 ธันวาคม 2566
แสดง 1 - 20 จาก 117
หน้า
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู