ถาม-ตอบทุกหมวดหมู่
แสดง 1 - 20 จาก 921
หน้า
- สวัสดีค่ะ หนูขอรบกวนวิธีการเพาะเมล็ดมะเขือพวงและปวยเล้งค่ะ เนื่องจากเพาะมา 1 อาทิตย์แล้วยังไม่งอกเลยค่ะ ต่างจากผักสวนครัวและผักสลัดอื่น ๆ ที่หนูเพาะแล้วงอกไว หนูใช้พีทมอสเพาะค่ะ จะทำอย่างไรให้เขางอกได้ไวขึ้นคะ หนูรบกวนสอบถามอีกเรื่องนะคะ เราควรโรยหน้าด้วยพีททอสในเมล็ดชนิดไหนคะ เพราะเมล็ดบางอย่างโรยด้วยพีทมอสก็ทำให้อัตราการงอกต่ำลง หนูค้นหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือไม่เจอเลยค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และนักวิชาการทุกท่านที่เมตตาให้ความรู้นะคะ 🙏♥️นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 19 มีนาคม 2567- ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าเมล็ดที่นำมาเพาะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานหรือไม่ ถ้าเก็บไว้นานอัตราการงอกก็จะลดลงเรื่อยๆ ค่ะ ในกรณีเป็นเมล็ดที่ยังใหม่อยู่ ก็สามารถเร่งการงอกได้ เช่น มะเขือพวง ควรแช่เมล็ดก่อนปลูกค่ะ โดยนำเมล็ดไปแช่น้ำแล้วห่อด้วยผ้าหมาด ๆ ทิ้งไว้ 1-2 วัน หรืออาจจะแช่น้ำอุ่นประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส (อุ่นพอที่จะแช่มือลงไปได้) นานประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาห่อผ้าหมาด ๆ จะช่วยเร่งความงอกได้ นำเมล็ดลงเพาะในแปลงเพาะหรือกระบะเพาะ หมั่นรดน้ำดูแลจนอายุได้ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถนำไปปลูกได้ - ส่วนปวยเล้งควรเพาะดังนี้ นำเมล็ดปวยเล้งไปแช่ในน้ำ 1 คืน นำกล่องพลาสติกที่มีฝาปิด รองด้านในด้วยกระดาษทิชชู่ 2-3 ชั้น แล้วพรมน้ำพอชุ่มทั่วกระดาษ เทน้ำที่ค้างออก นำเมล็ดปวยเล้งที่แช่น้ำมาแล้วโรยลงบนกระดาษทิชชู่ ปิดฝาให้สนิทแล้วนำไปแช่ในตู้เย็นช่องแช่ปกติ ประมาณ 7-14 วัน เมล็ดปวยเล้งจะเริ่มแตกออก และมีปลายรากโผล่ออกมาจากเมล็ด จึงสามารถนำเมล็ดที่มีรากงอกออกมานั้นไปเพาะลงวัสดุปลูก **ทั้งนี้ ปวยเล้งเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น สามารถปลูกได้ดีในสภาพที่มีอุณหภูมิต่ำและช่วงแสงสั้น จึงจะได้ผลผลิตค่ะ กรณีที่ปลูกในสภาพที่ไม่เหมาะสมอาจเจริญเติบโตช้า - ประโยชน์ของพีทมอส คือช่วยรักษาความชื้น สามารถเก็บความชื้นและปลดปล่อยออกมาให้พืชอย่างช้า ๆ เมื่อพืชต้องการ ดังนั้นจึงนิยมนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะ ส่วนการคลุมด้วยพีทมอสมักจะใช้กับเมล็ดพืชที่มีขนาดเล็ก เช่น เมล็ดผักสลัด ส่วนเรื่องอัตราการงอกของเมล็ดพืชต้องอาศัยปัจจัยทั้งหมด 4 อย่างในการเจริญเติบโต คือ น้ำ แสง อุณหภูมิ และออกซิเจน ซึ่งพีทมอสเป็นเพีียงหนึ่งในปัจจัยควบคุมเรื่องน้ำ - หากชอบปลูกผักอาจนำวัสดุปลูกจำพวกดินผสมปุ๋ยมูลไส้เดือนมาใช้ก็จะได้ผลดีค่ะ
อ่านต่อ - หนูรบกวนสอบถามเกี่ยวกับตำลึงค่ะ เท่าที่ค้นหาข้อมูล พบว่ามีโรคราแป้ง ราน้ำค้าง และแมลงศัตรูพืช ได้แก่ เพลี้ยไฟ มีเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่คะ (โรคราแป้งหนูค้นพบจากอีบุคส์ที่แนบมาในคำตอบที่แล้วค่ะ) ส่วนศัตรูพืชค้นหาในอินเทอร์เน็ตค่ะ ถ้าหากไม่ใช่ฤดูฝน หรือฤดูหนาว สามารถเกิดโรคราแป้งและราน้ำค้างได้ไหมคะ และพืชอีก 1 ชนิดที่หนูปลูก คือ มะแว้ง ค้นหาข้อมูลแล้ว หนูพบแค่เพลี้ยอ่อน กับเพลี้ยไฟที่เข้าทำลาย ส่วนโรคไม่พบค่ะ ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่คะ หนูรบกวนขอวิธีการใส่ปุ๋ยและสูตรปุ๋ยสำหรับต้นตำลึง และมะแว้งด้วยนะคะ หาข้อมูลไม่เจอเลยค่ะ วันนี้หนูรบกวนถามหลายเรื่อง ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์และนักวิชาการทุกท่านด้วยนะคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 19 มีนาคม 2567ขอตอบทีละข้อ ดังนี้ - ใช่ค่ะ ตำลึงไม่ค่อยมีโรคและแมลงศัตรูพืชมากนัก จึงเน้นที่การป้องกันมากกว่า โดยใช้น้ำส้มควันไม้พ่น 2 อาทิตย์ครั้ง กรณีของเพลี้ยไฟอาจต้องใช้ชีวภัณฑ์และสารอื่นร่วมด้วย โดยพิจารณาว่าระบาดขนาดไหนร่วมด้วยค่ะ (ดูวิธีได้จากภาพด้านล่าง) และสามารถศึกษาวิธีปลูกเชิงการค้าได้ทาง https://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=7347&s=tblplant - โรคราแป้งมักพบการแพร่ระบาดในช่วงปลายฤดูฝนต่อเข้าฤดูหนาว เนื่องจากเชื้อราโรคราแป้งแพร่ระบาดได้ดีในสภาพความชื้นสัมพันธ์ในอากาศสูง และสภาพอากาศเย็น ส่วนโรคราน้ำค้างเป็นโรคที่พบการระบาดมากในช่วงอากาศเย็น ความชื้นสูง แต่ทั้งนี้โรคพืชทั้งสองชนิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอด เมื่อมีสภาวะที่เหมาะสมค่ะ - ไม่ทราบว่าเป็นมะแว้งต้นหรือมะแว้งเครือ แต่สามารถดูข้อมูลโรคพืชและศัตรูพืชของมะเขือพวงประกอบได้ค่ะ - มะแว้ง ใส่ปุ๋ยคอก อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น หรือปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 20 และ 30 กรัมต่อต้น กรณีปลูกจำนวนมากให้ใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ - ตำลึง ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกตอนเตรียมดิน กรณีปลูกเชิงการค้า ให้ใส่ปุ๋ยยูเรียพรมบาง ๆ เดือนละ 2 ครั้ง หนูขอรบกวนวิธีการเพาะเมล็ดมะเขือพวง และเมล็ดปวยเล้งค่ะ เนื่องจากหนูเพาะมา 1อาทิตย์แล้วยังไม่งอกเลยค่ะ ต่างจากผักสวนครัวและผักสลัดอื่น ๆ ที่หนูเพาะแล้วงอกไว หนูใช้พีทมอสเพาะค่ะ จะทำอย่างไรให้เขางอกได้ไวขึ้นคะ
อ่านต่อ - ขออนุญาตสอบถามผู้รู้ค่ะ เนื่องจากมะนาวมีอาการเหมือนเป็นโรคราดำที่ใบและลำต้น มีวิธีกำจัดที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีไหมคะ หรือถ้าไม่มี มีวิธีไหนที่จะใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุดไหมคะ ขอบคุณค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 14 มีนาคม 2567มะนาวที่ใบดำเรียกว่าราดำ เชื้อราชนิดนี้ขึ้นปกคลุมผิวใบเพราะว่ามีเพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย เพลี้ยอ่อน ดูดกินน้ำเลี้ยง เมื่อเพลี้ยขับถ่ายสารเหนียวราดำจะขึ้นปกคลุม แนวทางป้องกันกำจัดคือต้องกำจัดเพลี้ยและราดำจะไม่เกิด แต่ถ้าเกิดแล้วนานไปจะแห้งเป็นสะเก็ดหลุดออกไปเอง แล้วสร้างความเสียหายอะไรหรือไม่ การที่ใบสีดำไม่มีสีเขียวทำให้ใบนั้นสร้างอาหารสังเคราะห์ไม่ได้ ต้นไม่เจริญเติบโต การป้องกันกำจัด 1. หากพบราดำเริ่มระบาดหรือเป็นไม่มาก ให้กำจัดโดยการตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคเผาทำลายเสีย 2. ถ้าพบโรคราดำมากให้ใช้สารในกลุ่มคาร์เบนดาซิม หรือผสมกับสารกลุ่มแมนโคเซ็บ และการใช้สารเคมีพ่นเพื่อกำจัดแมลงปาดดูด ก็สามารถลดปริมาณการระบาดของราดำลงได้ 3. ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรคราดำ ทั้งนี้ ได้แนบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยีการผลิตมะนาวไทย และวิธีการใช้ชีวภัณฑ์ไตรโคเดอร์มาควบคุมโรคพืช ไว้ในข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างนะคะ
อ่านต่อ - รบกวนเรียนถามว่า สำหรับสวนปาล์ม เราสามารถใส่ ปุ๋ย 0-0-60 พร้อมกับแมกนีเซียม ได้ไหมคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 13 มีนาคม 2567ไม่ทราบว่าจะใช้แมกนีเซียมในรูปแบบไหน ถ้าเป็นคีเซอร์ไรท์ ควรใส่ในช่วงที่ใส่ปุ๋ย 0-0-60 ในปริมาณน้อย เช่น ช่วงต้นฝน ส่วนโดโลไมท์ควรใส่แยกกับปุ๋ยเคมี เพราะโดโลไมท์เป็นปูน ถ้ารวมกับปุ๋ยเคมีจะจับตัวกันเป็นก้อน ควรใส่ช่วงหน้าแล้งก่อนฝน ใช้เพื่อปรับปรุงดินที่มีความเป็นกรด (pH ต่ำ) และให้ธาตุแมกนีเซียมกับปาล์มน้ำมัน แต่ควรใช้ไดโลไมท์เมื่อมีการวิเคราะห์ดินเท่านั้น การหว่านปูนไดโลไมท์ควรหว่านในระหว่างแถวของปาล์มน้ำมัน และไม่ควรใส่ปุ๋ยยูเรียทันทีหลังจากหว่านไดโลไมท์ เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียไนโตรเจนเร็วขึ้น สำหรับสวนปาล์มที่ดินเป็นกรด (ค่า pH ต่ำกว่า 5) ควรใส่คีเซอร์ไรท์สลับกับโดโลไมท์ เนื่องจากโดโลไมท์จะช่วยลดความเป็นกรดของดินลง สามารถใส่ในช่วงแล้งเพื่อรอฝนได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้ธาตุอาหารอื่น ๆ ที่ถูกตรึงอยู่ในดินปลดปล่อยออกมาให้ต้นปาล์มดึงเอามาใช้ได้ แต่ในสวนปาล์มที่แสดงอาการขาดแมกนีเซียมรุนแรงควรใช้คีเซอร์ไรท์ เพราะจะได้ผลเร็วกว่ากว่าโดโลไมท์ ควรใส่ช่วงต้นฝน ปริมาณ 1.5-2.0 กก./ต้น/ปี ในต้นที่แสดงอาการขาด ส่วนในดินที่เป็นกรดอาจจะใส่โดโลไมท์ 2 กก./ต้น/ปี
อ่านต่อ - สวัสดีค่ะ หนูรบกวนสอบถามวิธีการป้องกันและรักษาโรคและแมลงศัตรูพืชในมะเขือพวงค่ะ หาจากอีบุคของกรมวิชาการเกษตร พบแต่มะเขือยาวและมะเขือม่วงค่ะ หนูรบกวนขอเป็นการใช้ชีวภัณฑ์นะคะ ขอบพระคุณท่านผู้รู้ค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 12 มีนาคม 2567ศัตรูพืชที่พบเข้าทำลายมะเขือพวง ได้แก่ - เพลี้ยจักจั่นสีเขียว จะดูดกินน้ำเลี้ยงและเป็นพาหะโรคไวรัส ทำให้มีอาการใบเหลืองและขอบใบไหม้ ป้องกันกำจัดโดยใช้เชื้อราบิวเวอเรียและเมตาไรเซียมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช - โรคแอนแทรคโนส อาการจะเป็นแผลวงกลมสีน้ำตาล ซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้แผลเน่า และกิ่งแห้งตาย บนแผลมีเชื้อราขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีดำขนาดเล็กกว่าหัวเข็มหมุด ขึ้นเรียงเป็นวงกลมซ้อนกันหลายชั้น เนื้อเยื่อบริเวณแผลยุบต่ำลงจากในระดับเดิมเล็กน้อย การป้องกันกำจัดควรพ่นสารป้องกันเชื้อราเป็นครั้งแรก และตัดแต่งกิ่งและผลที่เป็นโรคนำไปเผาไฟทำลายเพื่อป้องกันการระบาดไปต้นอื่น และสามารถใช้สารชีวภัณฑ์ Bs หรือบาซิลลัส ซับทิลิส (Bacillus subtilis) - โรคผลเน่าเกิดจากเชื้อรา อาการของผลและกิ่งจะปรากฏสีน้ำตาลแล้วลามเข้าไปทั้งผล และกิ่งจนแห้งตาย บนกิ่งแห้งพบเมล็ดราสีดำ ขนาดเล็กกว่าเข็มหมุดขึ้นตรงกลางแผลสีน้ำตาล การป้องกันกำจัด ตัดแต่งกิ่งเป็นโรคและผลเน่าออกจากแปลง พ่นด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อรา หรือใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาในการป้องกันกำจัด - โรคโคนเน่าเกิดจากเชื้อรา อาการที่พบคือต้นเหี่ยวเฉาตาย เมื่อถอนต้นขึ้นมาตรวจพบเชื้อรา เป็นเส้นใยสีขาวโคนต้นระดับดิน ทำให้โคนต้นแห้งเป็นสีน้ำตาล เชื้อราสร้างเส้นใยและมีเม็ดราเป็นสีขาวและดำเท่ากับเมล็ดผักกาดแทรกอยู่ระหว่างก้อนดินโคนต้น การป้องกันกำจัดให้ถอนต้นที่เป็นโรคเผาทิ้งนอกแปลง และใส่ปูนขาวในหลุมที่เป็นโรค หรือละลายปูนขาวกับน้ำรดโคนต้น และใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรารดโคนต้นเมื่อปลูกใหม่ (ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาในการป้องกันกำจัดได้เช่นกัน) ควรปรับดินด้วยปูนขาวและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ให้มาก ควรปลูกพืชหมุนเวียนในแหล่งที่มีโรคระบาดมาก - เพลี้ยไฟ ตัวอ่อนมีลำตัวยาวสีเหลืองเคลื่อนไหวเร็ว อาศัยตามยอด ซอกใบและใต้ใบ ตัวเต็มวัยสีดำบินเร็ว เป็นศัตรูที่สำคัญ ระบาดได้รวดเร็ว โดยจะดูดน้ำจากใบทำให้ใบเหลือง แข็ง กรอบ ผิวใบอาจฉีกขาด ยอดมีสีน้ำตาล ไม่ค่อยเจริญเติบโต และต้นทรุดโทรมเร็ว ระบาดมากช่วงฤดูหนาว-ฤดูแล้ง การป้องกันกำจัดพ่นสารป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ เช่น คาร์โบซัลแฟน, ฟิโปรนิล, อะบาเมกติน หรือใช้เชื้อราบิวเวอเรียในการป้องกันกำจัด - เพลี้ยแป้งทำให้เกิดใบหยิกหด ใบและยอดอ่อนหยิกและหด ข้อสั้นและอวบหญ่มีสีเขียวเข้มไม่เจริญต่อไป เพราะมีศัตรูพืชที่มีแป้งสีขาวเกาะติดอยู่เป็นกระจุก การป้องกันกำจัดควรพ่นด้วยยาป้องกันกำจัดประเภทดูดซึมเช่นเดียวกับการกำจัดเพลี้ยไฟ หรือใช้เชื้อราบิวเวอเรียในการป้องกันกำจัด *การพ่นสารชีวภัณฑ์เชื้อรากำจัดแมลง ควรทำในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงบ่ายหรือเย็น เพราะเชื้อราจะออกฤทธิ์ทำลายแมลงที่อุณหภูมิ 25-27 องศาเซลเซียส แต่ต้องไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส และความชื้นประมาณร้อยละ 80 ซึ่งอุณหภูมิและความชื้นจะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำลายแมลง และความอยู่รอดของเชื้อรา และไม่ควรพ่นสารชีภัณฑ์พร้อมสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยเด็ดขาด ทั้งนี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก คำแนะนำที่ 1/2563: การใช้เชื้อจุลินทรีย์ (ชีวภัณฑ์) ในการควบคุมศัตรูพืช ตรงข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง
อ่านต่อ - สวัสดีค่ะ หนูต้องการหมักแกลบ เพื่อนำไปใช้ผสมดินปลูก รบกวนขอวิธีการหมักด้วยค่า หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแล้วยังไม่เจอแหล่งที่น่าเชื่อถือค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 1 มีนาคม 2567กรณีหมักจำนวนไม่มาก ให้นำแกลบดิบมาบรรจุใส่กระสอบ ตั้งและเปิดปากกระสอบไว้ รดด้วยน้ำที่ผสมกับน้ำหมักชีวภาพ หรือใช้น้ำผสม พด.1 อัตราส่วน น้ำเปล่า 10 ลิตรต่อ พด.1 1ซอง ปิดปากกระสอบไว้ เมื่อครบ 7 วัน เปิดปากถุงแล้วรดซ้ำ จะทำให้หมักง่าย ประมาณ 2 เดือนจึงนำไปใช้ผสมวัสดุปลูก นอกจากนี้ สามารถหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ปรับปรุงดินในปริมาณมากได้ดังน้ี - แกลบดิบ จำนวน 1 กระสอบ - ปุ๋ยคอก (ขี้หมู, ขี้วัว, ขี้ไก่) จำนวน 1 กระสอบ - แกลบเผา (ไม่ใช่ขี้เถ้าแกลบ) จำนวน 1 กระสอบ - สารเร่ง พด. 1 จำนวน 1 ซอง - น้ำเปล่าที่ไม่ใช่น้ำประปา วิธีทำ 1. นำแกลบดิบ ปุ๋ยคอก และแกลบเผา มาคลุกเคล้าผสมกันบนกองหมัก 2. ใช้น้ำเปล่ารดบนกองส่วนผสมให้ได้ความชื้นที่เหมาะสม โดยสังเกตจากการกำวัสดุให้แน่นและปล่อย สังเกตดูถ้าวัสดุที่ผสมเป็นก้อนและพอแตกออกบ้างเล็กน้อยพอหมาดจึงถือว่าใช้ได้) 3. ละลายสารเร่ง พด. 1 ในน้ำเปล่า 10 ลิตร คนให้เข้ากัน รดบนกองปุ๋ยหมักให้ทั่วกองหมัก 4. กลับกองทุก ๆ 7 วัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้กองปุ๋ยมีความร้อนจนเกินไป เนื่องจากความร้อนดังกล่าวจะทำให้เชื้อจุลินทรีย์ตาย 6. หมักไว้ 21 วัน จากนั้นสามารถนำปุ๋ยหมักปรับสภาพดินไปใช้งานได้
อ่านต่อ - สวัสดีครับ ขอสอบถามวิธีปรับปรุงโคกดินให้พร้อมสำหรับเตรียมปลูกต้นทุเรียนใหม่ครับ ข้อมูลเบื้องต้น 1) พื้นทำสวนที่อยู่ในอำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด เดิมเป็นสวนยางพาราอายุ 12 ปี ดินเดิมมีลักษณะเป็นดินเหนียวปนหินกรวดลูกรัง ค่า pH เฉลี่ยระหว่าง 4.1 ถึง 5.3 มีค่าอินทรีย์วัตถุ 0.8%-1.2% 2) เตรียมจะตัดขั้นบันไดบนที่เนินเพื่อทำเส้นทางขนส่งระหว่างแถวและนำดินส่วนหนึ่งมาปั้นโคกทุเรียนประมาณ 400 โคกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 เมตร สูง 70 ซม. ซึ่งคำนวณหาปริมาตรได้ประมาณ 8.8 ลบ.ม. และดินอีกส่วนหนึ่งที่ใช้ปรับพื้นที่และทำโคกจะนำมาจากการขุดสระน้ำ วางแผนจะเตรียมพื้นที่ให้เสร็จเดือน พฤษภาคม และจะปลูกทุเรียนประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม คำถามคือ 1) ต้องการปรับปรุงทำให้ค่า pH เป็น 6.5 ต้องใช้ปูนเท่าไหร่ 2) ควรคลุกเคล้าปูนลงในดินช่วงที่ยกโคกเลยหรือไม่ 3) ต้องพักดินนานประมาณเท่าไหร่ปูนจึงจะทำปฏิกิริยากับดินเสร็จจึงจะเริ่มปลูกทุเรียนได้ 3) อินทรีย์วัตถุ 1.1% ต้องการปรับปรุงทำให้มากกว่า 3% โดยใช้ขี้ไก่หรือขี้วัว ควรใช้ปริมาณเท่าไหร่และต้องคลุกเคล้าลงในดินหรือไม่ 4. ระหว่างรอให้โคกดินเซ็ตตัว ปลูกพืชอะไรบ้างที่สามารถบำรุงดินช่วงหน้าฝนแล้วตัดเพื่อคลุมดินก่อนปลูกทุเรียน ขอบคุณล่วงหน้าครับรศ.ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัยตอบเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2567รศ.ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย ประสานไปทาง รศ.ดร.เสาวนุช ถาวรพฤกษ์ หัวหน้าภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อให้คำแนะนำทางโทรศัพท์แก่เกษตรกร ดังนี้ หลังจากปรึกษาปัญหาความต้องการปรับปรุงดินโคกทุเรียนกับอาจารย์เสาวนุช ถาวรพฤกษ์ ภาควิชาปฐพี ได้ข้อสรุป คือ การใส่ปูน นำค่าคำแนะนำการใส่ปูนจากที่กรมพัฒนาที่ดินมาคำนวณให้เป็นอัตราส่วนต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร แล้วนำมาคูณกับพื้นที่โคกทุเรียน การใส่ปูนในปริมาณเยอะ ไม่มีผลอะไรกับธาตุอาหารต่างๆ ในดิน ส่วนการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้ใส่ประมาณ 500 กก./ไร่ ก็คำนวณเหมือนการใส่ปูน ในเคสของผม ใช้มูลสัตว์ 4 กก. และปูนโดโลไมต์ 15 กก. เทบนกองดินแล้วให้รถแมคโครคลุกให้เข้ากันแล้วปั้นโคก รดน้ำ 2-3 วันครั้ง แล้วพักโคกดินไว้ประมาณ 1 เดือนแล้วค่อยปลูกพืช **ซึ่งเกษตรกรได้นำข้อแนะนำไปปรับและส่งข้อมูลกลับมาในภาพประกอบด้านล่าง
อ่านต่อ - แมลงชนิดนี้ตามรูปที่แนบคือตัวอะไรคะ ไม่ทราบว่ามันคือสาเหตุทำให้เกิดจุดเหลืองเล็กๆบนใบผักบุ้งหรือเปล่า มีวิธีการกำจัดแบบไม่ใช้สารเคมีมั้ยคะ ขอบคุณค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2567น่าจะเป็ตัวอ่อนของด้วงเต่าลาย ซึ่งเป็นแมลงตัวห้ำที่เป็นประโยชน์ เป็นตัวห้ำตั้งแต่ตัวอ่อนจนกระทั่งตัวเต็มวัย ใช้ควบคุมเพลี้ย ได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว ไข่แมลงศัตรูพืช ฯลฯและไม่ใช่แมลงศัตรูพืชของผักบุ้ง และไม่น่าเป็นสาเหตุของอาการจุดเหลืองค่ะ ส่วนอาการใบจุดสีเหลืองอาจจะมีสาเหตุมาจากโรคราสนิมขาว สามารถอ่านวิธีป้องกันกำจัดได้จากข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง
อ่านต่อ - ขอความกรุณาค่ะ ผักกวางตุ้งและคะน้ามีรอยโรคปรากฏบนใบแบบนี้ ไม่ทราบว่าสาเหตุมาจากศัตรูพืชชนิดไหน และมีวิธีป้องกัน กำจัดอย่างไรคะ ขอบคุณค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2567สาเหตุน่าจะมาจาก หนอนชอนใบ ส่วนวิธีการป้องกันกำจัด ทำได้ดังนี้ 1. เผาท่าลายเศษใบพืชที่ถูกหนอนชอนใบท่าลาย เนืองจากดักแด้และแมลงวันหนอนชอนใบทีอยู่ตามเศษใบพืชจะถูกท่าลายไปด้วย 2. ใช้สารสกัดสะเดา อัตรา 100 ppm. สามารถป้องกันและก่าจัดแมลงวันหนอนชอนใบได้ดี 3. สารป้องกันก่าจัดศัตรูพืช Beta-cyfluthin 25% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - ขอถามเพิ่มหน่อยฮะ ถ้าวัดแค่ค่า pH ของดินอย่างเดียว จะเกิดผลอย่างไรบ้างครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567ตอบ คุณ GD CHOTCHANID การวัดค่า pH ของดินจะบอกสภาพความเป็นกรด-เบสของดิน และความสัมพันธ์ของกรด-เบสต่อการปลดปล่อยธาตุอาหารพืชในดินด้วยค่ะ แต่จะไม่รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน
อ่านต่อ - อยากถามเรื่องการฟื้นฟูกินที่ถูกปุ๋ยเคมีมาหลายปีต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนดีครับ ก่อนหน้านี้ปลูกข้าวโพดแบบที่ไม่ได้เอาไว้กินครับ ปัจจุบันอยากปรับปรุงดินเพื่อการเกษตรแบบหมุนเวียนครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567ตอบ คุณ GD CHOTCHANID เบื้องต้นอยากให้ลองเก็บตัวอย่างดินเพื่อส่งวิเคราะห์ก่อน จะได้ทราบปริมาณธาตุอาหารและเคมีกายภาพของดินของเราเองก่อนค่ะ เมื่อเราทราบผลวิเคราะห์ดินแล้วจึงค่อยนำผลและคำแนะนำมาดำเนินการปรับปรุงต่อ จะทำให้ได้ผลดี และประหยัดค่ะ ซึ่งก็จะได้ทราบว่าดินปลูกของเราปริมาณธาตุอาหารพืชอย่างไร มีความเป็นกรด-เบสเท่าไหร่ มัอินทรีย์วัตุขนาดไหน ก็จะได้ปรับปรุงได้อย่างถูกต้อง เช่น ดินขาดไนโตรเจน ก็สามารถปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อบำรุง กรณีขาดอินทรียวัตถุก็เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ เป็นปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก หรืออินทรีวัตถุอื่นลงไปค่ะ ส่วนวิธีเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์สามารถดูได้จากภาพประกอบด้านล่าง ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดและรับบริการจาก ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว. ติดต่อได้ที่ โทร. 0 2577 9000, 0 2577 9015 E-mail : sfplab@tistr.or.th รวมถึงหน่วยงานที่รับบริการตรวจวิเคราะห์ดิน และปุ๋ย ดังนี้ 1. กรมวิชาการเกษตร 2. สำนักวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน 3. สำนักงานพัฒนาที่ดินเขตทั ง 12 เขตหรือที่สถานีพัฒนาที่ดินที่ตั งอยู่ทั่วทุกจังหวัดของประเทศไทย 4. สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1-8 สังกัดกรมวิชาการเกษตร 5. ภาควิชาทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 6. ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ 7. ศูนย์ปฏิบัติการวิเคราะห์กลาง คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 8. การบริการวิเคราะห์และจ้าหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการพัฒนาวิชาการ ดิน ปุ๋ย และสิ่งแวดล้อม ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 9. ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ***ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีทั้งบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเสียค่าใช้จ่าย สามารถดูรายละเอียดการติดต่อตามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนการเก็บตัวอย่างดินและปุ๋ยสามารถอ่านได้จากข้อมูลเพิ่มเติมจากไฟล์ด้านล่างนี้ค่ะ หรือลองติดต่อ สำนักงานพัฒนาที่ดิน ในพื้นที่ของตัวเองได้ค่ะ หรือสอบถามจาก หมอดินอาสา รายละเอียดดูจาก หมอดินอาสาในข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง ก็จะมีบริการฟรีด้วยค่ะ อย่างไร ลองศึกษาข้อมูลการปรับปรุงบำรุงดินเพิ่มเติม ได้จากข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างไว้ก่อนก็ได้ค่ะ
อ่านต่อ - สวัสดีครับ ขอสอบถามปัญหาทางการเกษตรครับ ยิปซั่มสามารถใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีได้มั้ยครับ จะใช้กับปุ๋ย 46-0-0 & 0-0-60 ครับ เพราะค่าวิเคาะห์ดิน Pสูง โดยใช้กับทูเรียนนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567ปกติจะใส่ไม่พร้อมกันค่ะ โดยจะใช้ยิปซั่มเพื่อปรับปรุงดิน และใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช โดยใส่คนละรอบกันค่ะ
อ่านต่อ - ทำไมแต่ละภาคถึงมีพืชเกษตรที่แตกต่างกันนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567เพราะพืชแต่ละชนิดมีความเหมาะสมทางสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศในแต่ละท้องที่ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ไม้ผลบางชนิดไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง หรือไม่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง หรือบางชนิดจะให้ผลผลิตเฉพาะพื้นที่สูงมากกว่า 600-700 เมตรจากระดับน้ำทะเลฯ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งพอจะเจริญเติบโตได้บ้าง แต่ก็ไม่ให้ผลผลิต ไม่ติดดอก ไม่ออกผล หรือต้องใช้ต้นทุนสูงในการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับพืช
อ่านต่อ - ผมอยู่ขอนแก่น อยากจะหาซื้อกิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง และมะม่วงอกร่อง ได้จากที่ไหนครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2567ถ้าในพื้นที่ขอนแก่นลองดูแถวตลาดต้นไม้กุดกว้าง หรือตลาดต้นไม้ มข. (อุทยานเกษตร) หรืออาจเลือกซื้อทางออนไลน์จากแหล่งผลิตพันธุ์ไม้ผลสำคัญๆ เช่น นนทบุรี สมุทรสาคร ปราจีนบุรี ตลาดคลอง 16 และหาแหล่งจำหน่ายได้จากกลุ่มต่าง ๆ ในเพจเฟซบุ๊ค เช่น กลุ่มซื้อขายกิ่งพันธุ์ไม้ผลทุกชนิดและต้นมะม่วงแบบเสียบยอด กลุ่มซื้อขายกิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองราคาส่ง-ปลีก เป็นต้น
อ่านต่อ - สวัสดีค่ะ วันนี้หนูขอรบกวนถามอาการของใบพริกหน่อยค่ะ และอยากได้วิธีดูและป้องกันโรคของพริก และมะเขือด้วย ค้นหาในเว็บไม่เจอค่ะ ขอขอบพระคุณที่ได้ตอบคำถามของหนูในโรคของใบบัวบกครั้งที่แล้วด้วยนะคะ แนบวิธีดูแลมาให้ละเอียดมากค่ะ เหมาะกับ ปชช.ทั่วไปนำไปใช้นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2567เท่าที่สังเกตจากภาพที่ส่งมา อาการใบด่างเหลืองน่าจะมีสาเหตุมาจากไวรัส การป้องกันกำจัดทำได้โดย - กำจัดพืชที่เป็นโรคออกจากแปลง และเผาทำลายทิ้ง ส่วนอาการใบจุดสีน้ำตาลนั้นน่าจะเป็นจากโรคใบจุดตากบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อรา ทำให้เกิดแผลวงกลมหรือทางยาว มีขอบแผลสีน้ำตาลเข้ม เนื้อแผลสีน้ำตาลอ่อน กลางแผลสีเทา หรือขาวที่บริเวณ ใบ ลำต้น ผล และก้านผล ในขั้นรุนแรง แผลจะขยายติดกันทำให้ใบไหม้ หรือหลุด พบการระบาดในสภาพอากาศร้อนชื้น มีลมและสัตว์เป็นพาหะ เชื้อสาเหตุของโรคนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานในซากพืช ในดิน และเมล็ดพันธุ์ การป้องกันและกำจัด - ไม่ควรปลูกต้นพริกแน่นหรือชิดกันจนเกินไป - ควรปลูกเว้นระยะเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ช่วยลดความชื้น และป้องกันโรค - เมื่อพบการเกิดโรคให้รีบกำจัดในทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด - การกำจัดโรคให้ลดการให้น้ำ และพ่นสารเคมีป้องกันและกำจัดโรค เช่น สารแมนโคเซป มาเนบ เบนโนมิล **ทั้งนี้ ได้แนบหนังสือ คู่มือโรคผัก และผักสวนครัว ไว้ในข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับอ่านวิธีปลูกผักและแนวทางป้องกันกำจัดศัตรูพืชค่ะ
อ่านต่อ - ปุ๋ย AB สามารถฉีดพ่นทางใบได้ไหมครับนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2567ตอบ คุณ bppt ใช้ได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะราคาค่อนข้างสูง และปุ๋ย AB จะเน้นให้ธาตุอาหารหลัก (N-P-K) ปริมาณธาตุอาหารพิชจะแตกต่างกันไป ขึ้นกับแต่ละสูตรเพื่อให้เหมาะสมกับชนิดผักที่ปลูกค อีกอย่างใบพืชจะ Sensitive ต่อสารบางตัวในปุ๋ย AB เช่น คลอไรด์ หากพ่นลงไปบนใบพืชมากเกินไป จะทำให้เกิดความเสียหายจากอาการไหม้ได้ แทนที่จะได้รับประโยชน์ ส่วนปุ๋ยทางใบ เช่น ปุ๋ยเกล็ด หรือธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ที่ใช้พ่นทางใบจะอยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ทำให้เห็นผลเร็วและไม่เป็นโทษแก่พืช
อ่านต่อ - สวัสดีค่ะท่านอ.และนักวิชาการทุกท่าน หนูรบกวนขอสอบถามอาการของใบบัวบกตามรูปที่แนบมาค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ บางใบก็มีอาการเหลืองหมดทั้งใบ มีรอยสีน้ำตาลบริเวณขอบใบ และกระจายเป็นจุดๆอยู่ทั่วใบค่ะนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2567อาการคล้ายขาดธาตุอาหารพืชบางชนิด เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ ควรเปลี่ยนดินและเพิ่มธาตุอาหารพืชให้เหมาะสม (อาจใช้ปุ๋ยขี้ไส้เดือนผสมดินปลูก) เพราะหากพืชอ่อนแออาจทำให้โรคพืชเข้าทำลายซ้ำได้ ทั้งนี้สามารถศึกษาขั้นตอนการปลูกและการดูแลรักษาบัวบก ได้จากข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง และบางรูปเริ่มมีอาการคล้ายโรคใบไหม้ ซึ่งสามารถการป้องกันกำจัดได้โดย 1. เก็บใบที่เป็นโรคออกจากแปลงไปเผาทำลายทิ้ง 2. การใช้เชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ B. subtilis ในการป้องกันกำจัดโรคใบไหม้ 3. ใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น คาร์เบนดาซิม ตามอัตราแนะนำ
อ่านต่อ - รบกวนสอบถาม มะม่วงช่วงนี้ออกช่อ-ติดลูกบ้างแล้ว มีฝนตก-แตกใบอ่อน มียาอะไรที่ช่วยเร่ง & สกัดใบอ่อนไม่ให้แตกและเร่งใบอ่อนให้เป็นใบเพสลาดได้บ้างครับรศ.ดร.รวี เสรฐภักดีตอบเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2567ถ้าติดผลอ่อนแล้ว หากผสมติดไม่น่าร่วงครับ ยังไงยืนปุ๋ยใบที่อัตราส่วน 3:1:2+จุลธาตุ ทุกอาทิตย์ในช่วงนี้สัก 2-3 ครั้ง พ้นจากนี้ก็ยืดเวาออกไปได้ครับ
อ่านต่อ - ประวัติของไม้ดอกไม้ประดับเเต่ละชนิดนักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2567แนะนำให้หาข้อมูลจากหนังสือ "ดอกไม้เเละประวัติไม้ดอกเมืองไทย" ของ วิชัย อภัยสุวรรณ ซึ่งทางสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีให้บริการตัวเล่มเฉพาะใช้ภายในสำนักหอสมุดเท่านั้นค่ะ (ซึ่งเกษตรกรสามารถเข้ามาขออ่านตัวเล่มได้ที่สำนักหอสมุด มก.) อีกทางเลือกหนึ่ง จากข้อมูลที่สมัครสมาชิกเข้ามาทราบว่าเกษตรกรอยู่ จ.นราธิวาส แนะนำให้เกษตรกรลองเข้าไปใช้บริการที่ สำนักทรัพยากรการเรียนรู้ คุณหญิงหลง อรรถกระวีสุนทร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ก็จะมีตัวเล่มให้บริการเช่นกันค่ะ สำหรับเลขรหัสสำหรับการสืบค้นของทั้ง 2 ที่ ได้แนบไว้ในภาพประกอบด้านล่างแล้วค่ะ สามารถ LC Call Number ติดต่อบรรณารักษ์ได้ค่ะ และสามารถใช้บริการขอถ่ายสำเนาเอกสารฯ ผ่านบริการยืมระหว่างห้องสมุด โดยอ่านรายละเอียดได้ที่ ข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง
อ่านต่อ - รบกวนกราบเรียนคณาจารย์ที่สามารถสอนเรื่องน้ำการเกษตร ช่วยจัดหลักสูตรอบรมสัญจร ปีนี้น่าจะแล้งหนัก ตอนนี้-น้ำก็เริ่มขาดแคลนแล้ว! ต้นยืนต้นตาย&เหี่ยวเฉาอย่างน่าส่งสาร! จะทำฝายน้ำล้น & ขุดบ่อเองก็ทุนน้อย แจ้งผู้นำชุมชนก็ว่าไม่มีงบฯ & ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ได้งบฯ มาทีก็น้อย เอาไปทำถนนหมด โครงการใหญ่ ๆ แทบไม่มีเข้ามาเลย! รบกวนหน่อยนะครับ เพราะถือว่า ม.เกษตรที่นี่ใหญ่สุดแล้วละครับ! ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาผู้ใดดี ที่จะมีความรู้-ชำนาญการเฉพาะทางเช่นที่นี่! บ้านผมมีลำคลองใหลผ่าน แต่เก็บน้ำไม่อยู่ ถ้าทำทำนบฝายน้ำล้น! ก็น่าจะดี-มีน้ำพอใช้ในการเกษตร! (ขอวิธีการทำบันใดปลาโจนด้วยนะครับ! แบบไม่ซับซ้อนใช้ทุนมากนัก?)นักเอกสารสนเทศ สำนักหอสมุด มก.ตอบเมื่อ 29 มกราคม 2567ขณะนี้ยังไม่มีการจัดอบรมในเรื่องดังกล่าว หากมีจะรีบแจ้งให้ทราบนะคะส่วนการทำบันไดปลาโจน สามารถอ่านได้ที่ https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/kukr/search_detail/result/23978
อ่านต่อ
แสดง 1 - 20 จาก 921
หน้า