ถาม-ตอบ
การเกษตรทั่วไป
ถามเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2563
เห็นหลาย ๆ ท่านบอกว่า ถ้าปลูกพืชหลายชนิดในที่เดียวใกล้ ๆ กัน มันจะเเย่งอาหารกัน จริงไหมครับ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ให้เหตุผลว่ายังไงครับ ขอบคุณครับ

จริงค่ะ การแย่งอาหารของพืชจะสัมพันธ์โดยตรงกับระบบรากของพืช ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ราก เป็นส่วนประกอบหนึ่งของพืช มีหน้าที่สำคัญ คือ ดูด (Absorption) น้ำและแร่ธาตุอาหารจากดินเข้าไปในลำต้น ลำเลียง (Conduction) น้ำและแร่ธาตุ รวมทั้งอาหารซึ่งพืชสะสมไว้ในรากขึ้นสู่ส่วนต่าง ๆ ของลำต้น ยึด (Anchorage) ลำต้นให้ติดกับพื้นดิน เป็นแหล่งสร้างฮอร์โมน (Producing hormones) รากเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตฮอร์โมนพืชหลายชนิด เช่น ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน ซึ่งจะนำไปใช้ในการเจริญส่วนลำต้นและยอด รากแบ่งออกเป็น 3 ชนิดตามจุดกำเนิด คือ • รากแก้ว (Tap root) • รากแขนง (Lateral root) • รากที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทำหน้าที่พิเศษ (Adventitious root) 1. รากแก้ว (Tap root) มีลักษณะโตตรงโคน แล้วค่อยเรียวเล็กลงไปจนถึงปลาย จะยาวและใหญ่กว่ารากอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นเสาหลักรับส่วนอื่นๆ ของพืชให้ทรงตัวอยู่ได้ รากชนิดนี้พบในพืชใบเลี้ยงคู่ ที่งอกออกจากเมล็ดโดยตรง ส่วนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเมื่องอกออกจากเมล็ดใหม่ๆ ก็มีระบบรากแก้วเหมือนกัน แต่มีอายุได้ไม่นานก็เน่าเปื่อยไปแล้วเกิดรากชนิดใหม่ขึ้นมาแทน คือ รากฝอย (Fibrous root) 2. รากแขนง (Lateral root) เป็นรากที่เจริญเติบโตออกมาจาก รากแก้ว มักงอกเอียงลงไปในดินและเจริญเติบโตไปตามแนวขนานกับพื้นดิน รากชนิดนี้อาจแตกแขนงออกเป็นทอดๆ ได้อีกเรื่อยๆ ทั้งรากแขนงและแขนงต่างๆที่ยื่นออกไปเป็นทอดๆต่างกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อเพริไซเคิลในรากเดิมทั้งสิ้น 3. รากที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทำหน้าที่พิเศษ (Adventitious root) เป็นรากที่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะไปทำหน้าที่พิเศษประกอบไปด้วย 3.1 รากฝอย (fibrous root) เป็นรากที่มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆมากมาย ไม่มีรากใดเป็นรากหลักขนาดโตสม่ำเสมอกัน ไม่เรียวเล็กลงที่ปลายเช่นอย่างรากแก้ว เจริญเติบโตและงอกแผ่กระจายออกไปโดยรอบโคนต้นในพืชบางชนิด โดยเฉพาะพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น รากข้าวโพด รากหญ้า รากมะพร้าว รากฝอยจะเจริญเติบโตแทนที่รากแก้วที่ฝ่อเสียไปหรือที่หยุดเติบโต 3.2 พูพอนหรือรากค้ำยัน (Buttress root) มีลักษณะเป็นแผงขยายออกจากส่วนโคนของลำต้น โดยเป็นการปรับตัวของต้นไม้บางชนิดที่เกิดอยู่บริเวณริมน้ำ อยู่พื้นที่ที่มีดินตื้น หรือข้างล่างเป็นหิน เพราะดินลักษณะดังกล่าวจะต้นไม้โค่นล้มง่ายเมื่อเจอกับพายุ ต้นไม้จึงปรับตัวโดยการสร้างรากพูพอนเพื่อช่วยค้ำยันต้นไม้ ลดแรงสั่นสะเทือน และอีกประโยชน์หนึ่งของพูพอนก็คือช่วยกักและดูดซับธาตุอาหารเนื่องเวลาฝนตกน้ำจะชะแร่ธาตุซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณผิวดินออกไป การที่มีพูพอนจะทำให้สามารถกักแร่ธาตุสารอาหารไม่ให้ไหลไปกับน้ำ 3.3 รากยึดเกาะ (Climbing root) มีการปรับเปลี่ยนตัวเองให้แตกออกจากข้อของลำต้นเพื่อใช้ในการยึดเกาะตามพื้นผิวด้านนอก เพื่อชูลำต้นให้ไต่ขึ้นที่สูงโดยการที่ต้นไม้มีการปรับเปลี่ยนลักษณะของตัวเองให้รากงอกตามลำต้น เป็นเพราะพืชจำพวกไม้เลื้อย จำเป็นต้องเจริญเติบโตให้รับแสงแดด เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง จึงต้องพัฒนาตัวเองให้มีกลไกรากพยุงต้นให้เลื้อยขึ้นที่สูงๆรากชนิดนี้จะเติบโตโดยที่ไม่แย้งอาหารของต้นไม้ที่มันใช้เกาะ ซึ่งสามารถพบได้ในพืชจำพวก กล้วยไม้ และพริกไทย เป็นต้น 3.4 รากหายใจ (Pneumatophore) เป็นรากที่แทงปลายรากขึ้นมาเหนือพื้นดิน เพื่อช่วยในการหายใจเอาออกซิเจนจากอากาศให้ได้มากขึ้นเพราะในดินเลนมีออกซิเจนต่ำ รากประเภทนี้มีเซลล์พาเรงไคมา (parenchyma) เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ ในเนื้อเยื่อ ทำให้มีช่องว่างระหว่างเซลล์มากขึ้น ออกซิเจนจึงสามารถผ่านเข้าสู่เซลล์ชั้นในของรากได้ง่ายขึ้น พบในพืชจำพวกต้นแสมและลำพูที่ขึ้นอยู่ได้ในบริเวณป่าชายเลน 3.5 รากสะสมอาหาร (storage root) เป็นรากที่ทำหน้าที่ในการสะสมอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และ โปรตีนเอาไว้ที่บริเวณรากของมัน ทำให้มีลักษณะอวบอ้วน 3.6 รากกาฝากหรือรากปรสิต (Parasitic root) เป็นรากที่แทงเข้าไปในกิ่งของพืชชนิดอื่นเพื่อพักอาศัยและเป็นแหล่งอาหารเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ซึ่งบางครั้งจะเจริญเติบโตและแย้งอาหารจนทำให้พืชที่ถูกเกาะนั้นตายรากกาฝากจะกระจายพันธุ์ด้วยนกในกลุ่มกาฝาก โดยนกในกลุ่มกาฝากนั้นจะกินผลของต้นกาฝากจากต้นหนึ่ง และบินไปถ่ายมูลไว้ที่ต้นอื่นๆ เมื่อสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตก็จะทำการงอกรากลงบนพืชที่นกได้มาถ่ายมูลไว้และเจริญเติบโตต่อไป เราจะพบรากกาฝากได้ในต้น กาฝาก ต้นฝอยทอง และต้นไทรบางชนิด ซึ่งการกำหนดระยะปลูกพืชแต่ละชนิดเพื่อให้ได้ระยะที่เหมาะสม ควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. ขนาดของทรงพุ่ม 2. ราก 3. ฟ้า อากาศ 4. ดินปลูก ***โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://www.slideshare.net/ssuserd88898/srn3 (คลิกที่ข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง) และ สามารถหาจำนวนต้นต่อพื้นที่ได้จากสูตร จำนวนต้น = พื้นที่/ระยะปลูก เช่น พื้นที่ 1 ไร่ กว้าง 40 เมตร ยาว 40 เมตร (40x40 = 1,600 ตารางเมตร) ต้องการปลูกมะม่วง ซึ่งมีระยะปลูก 10x10 เมตร ก็จะเท่ากับ (40x40)/(10x10) = 16 ต้น เป็นต้น ทั้งนี้ ดินมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้อย่างมาก ถ้าดินปลูกมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารพืช ต้นไม้ที่ปลูกก็สามารถเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านออกไปได้มากตามกำลังของต้น แต่ถ้าดินปลูกเป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ การเจริญเติบโตของต้นไม้ต้นนั้นก็จะอยู่ในวงจำกัด การแผ่กิ่งก้านเป็นไปได้น้อย ฉะนั้นต้นไม้ชนิดเดียวกันที่ปลูกในสภาพดินดีและดินไม่ดี ระยะปลูกก็จะแตกต่างกันเพราะการแผ่กิ่งก้าน ทรงพุ่ม และรากของพืชแต่ละชนิดไม่เท่ากัน จึงได้มีการกำหนดระยะปลูกต้นไม้แต่ละชนิดไว้ตามภาพประกอบด้านล่าง (Planting period)


คำถามแนะนำสำหรับคุณ

© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู