ข่าวสาร
E71 การค้าระหว่างประเทศ
8 กรกฎาคม 2568
จากแชมป์โลกสู่ขาลง… ทำไมมันสำปะหลังไทยถึงส่งออกได้น้อยลง

📉 มันสำปะหลังไทย รายได้ส่งออกหาย 40,000 ล้านบาทใน 2 ปี เพราะจีนเปลี่ยนทิศทางการนำเข้า
มันสำปะหลังเคยเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ที่สร้างรายได้จากการส่งออกถึงระดับแสนล้านบาทต่อปี
โดยเฉพาะในปี 2565 👉 ส่งออกสูงถึง 152,795 ล้านบาท ทำให้ไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก ในการส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูป
ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่
🔹 มันเส้น
🔹 มันอัดเม็ด
🔹 แป้งมันดัดแปร
ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อาหารสัตว์ 🐄 | กระดาษ 📄 | เอทานอล 🔥 | เครื่องสำอาง 💄 | ยา 💊

⛔ แต่เพียง 2 ปี รายได้หายไปกว่า 40,000 ล้านบาท
ปี 2565: 152,795 ล้านบาท
ปี 2567: 110,276 ล้านบาท
📉 หายไป 42,519 ล้านบาท

จุดเปลี่ยนอยู่ที่จีน ผู้ซื้อหลักของไทย จีนเคยนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยมากถึง
📦 ปี 2565: 98,370 ล้านบาท
📦 ปี 2567: 56,720 ล้านบาท
❗ ลดลงถึง 42,000 ล้านบาท

เหตุผลสำคัญ
🌽 จีนหันไปปลูกข้าวโพดเอง เพื่อใช้แทนมันสำปะหลังในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
⚠️ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศเสี่ยง เช่น สหรัฐฯ ยูเครน บราซิล
🎯 ผลักดันความมั่นคงอาหารในประเทศ

⚠️ ผลกระทบกับมันเส้นไทยหนักมาก
📉 จากที่เคยขายให้จีนได้
3 ปีก่อน 51,000 ล้านบาท
ล่าสุด 16,000 ล้านบาท
➡️ หายไป 35,000 ล้านบาท
🔍 และจีนยังเป็นผู้ซื้อมันเส้นจากไทยถึง 99% การลดนำเข้าทำให้ไทยเสียตลาดไปอย่างฉับพลัน

📊 ส่วนแบ่งตลาด "แป้งมันดัดแปร" ก็ถูกแย่ง
เดิมไทยเคยครองตลาดในจีน
10 ปีก่อน 84%
ปัจจุบัน 49%

ส่วนแบ่งที่หายไป
🇻🇳 เวียดนาม: จาก 15% → 39%
🇱🇦 ลาว: จาก 0.1% → 10%
➡️ ตลาดที่ไทยเคยครอง ถูกแย่งไปกว่า 1 ใน 3

🚜 เกษตรกรไทยเจอผลกระทบโดยตรง
💡 ปัจจุบันไทยส่งออกมันสำปะหลังถึง 73% ใช้ในประเทศเพียง 27%
📉 เมื่อส่งออกได้น้อยลง → มีสินค้าล้นตลาด
💸 ราคามันสดในประเทศตกต่ำ
* เคยอยู่ที่ 2–3 บาท/กิโลกรัม
* ล่าสุดบางช่วงเหลือไม่ถึง 2 บาท/กิโลกรัม

📌 บทเรียนสำคัญ อย่าพึ่งตลาดเดียว
📌 การพึ่งพาตลาดส่งออกใหญ่เพียงประเทศเดียว มีความเสี่ยงสูง
📌 หากตลาดนั้นลดความต้องการ หรือหันไปใช้สินค้าอื่น รายได้จะหายทันที
📌 เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันสำปะหลังไทยตอนนี้

🔄 แนวทางที่ควรมองไปข้างหน้า
✅ กระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น
✅ เพิ่มมูลค่าสินค้าแปรรูป
✅ ยกระดับเทคโนโลยีการผลิต
✅ สร้างแบรนด์สินค้าไทยให้เข้มแข็งขึ้น

📌 มันสำปะหลังไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ถ้าไม่ปรับตัวและหาตลาดใหม่ รายได้หลักหมื่นล้านบาทอาจไม่กลับมาอีกเลย

มันสำปะหลังไทย รายได้ส่งออกหาย 40,000 ล้านบาทใน 2 ปี เพราะจีนเปลี่ยนทิศทางนำเข้า
มันสำปะหลังเคยเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของไทย ที่สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกได้มหาศาล โดยเฉพาะในปี 2565 ที่มูลค่าการส่งออกพุ่งสูงถึง 152,795 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลกด้านการส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลัง ทั้งในรูปของมันเส้น มันอัดเม็ด และแป้งมันดัดแปร ซึ่งล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ กระดาษ เอทานอล เครื่องสำอาง และยา

แต่ในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น รายได้จากการส่งออกมันสำปะหลังของไทยกลับลดลงอย่างน่าตกใจ เหลือเพียง 110,276 ล้านบาทในปี 2567 หรือหายไปกว่า 40,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการที่ประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นลูกค้าหลักของไทย เริ่มลดการนำเข้ามันสำปะหลังลงอย่างมีนัยสำคัญ

จีนเคยนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยมากถึง 98,370 ล้านบาทในปี 2565 แต่ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 56,720 ล้านบาทในปี 2567 เท่ากับว่าจีนลดการนำเข้าจากไทยไปกว่า 42,000 ล้านบาทภายในเวลาเพียงสองปี สอดคล้องกับมูลค่าส่งออกที่หายไปในภาพรวม

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีเบื้องหลังจากการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีน ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการผลิตข้าวโพดภายในประเทศมากขึ้น เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แทนการพึ่งพาการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยหรือประเทศอื่น ๆ สาเหตุหนึ่งคือความไม่มั่นคงด้านการค้ากับคู่ค้ารายสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ยูเครน และบราซิล ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าข้าวโพดเดิมของจีน ด้วยเหตุนี้จีนจึงเลือกลงทุนในความมั่นคงทางอาหารของตนเอง โดยการสนับสนุนเกษตรกรภายในให้ผลิตข้าวโพดใช้เองให้ได้มากที่สุด

ผลจากการลดนำเข้าของจีน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อมันเส้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังหลักที่จีนซื้อไปใช้เป็นอาหารสัตว์ จากที่ไทยเคยส่งออกมันเส้นให้จีนได้ถึง 51,000 ล้านบาทในอดีต ปัจจุบันกลับเหลือเพียง 16,000 ล้านบาท ลดลงถึง 35,000 ล้านบาท และที่น่าเป็นห่วงคือ จีนเป็นลูกค้าหลักที่ซื้อมันเส้นจากไทยเกือบทั้งหมดถึง 99% การหายไปของลูกค้ารายใหญ่นี้จึงส่งผลกระทบรุนแรงและรวดเร็ว

ไม่เพียงแต่มันเส้นเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แป้งมันสำปะหลังดัดแปร ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทยในตลาดจีน ก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นเช่นกัน ส่วนแบ่งตลาดแป้งมันจากไทยในจีนที่เคยสูงถึง 84% เมื่อสิบปีก่อน ลดลงเหลือเพียง 49% ในปัจจุบัน โดยที่เวียดนามและลาวเข้ามาแย่งชิงตลาดไปได้ถึง 24% และ 10% ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาว่าประมาณ 73% ของมันสำปะหลังที่ผลิตในไทยถูกส่งออกไปต่างประเทศ และมีเพียง 27% เท่านั้นที่ใช้ภายในประเทศ การที่ยอดส่งออกลดลงจึงส่งผลให้มีอุปทานส่วนเกินในตลาดภายใน ทำให้ราคารับซื้อมันสำปะหลังสดในประเทศตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่อยู่ที่ประมาณ 2–3 บาทต่อกิโลกรัม ในบางช่วงของปีล่าสุดราคาตกลงเหลือไม่ถึง 2 บาทต่อกิโลกรัม สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ

วิกฤตของมันสำปะหลังไทยในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาตลาดหลักเพียงตลาดเดียว แม้ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี รายได้อาจหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อวันหนึ่งตลาดหลักนั้นหันเหความต้องการไปยังสินค้าอื่น ผลกระทบก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สิ่งที่ประเทศไทยต้องคิดต่อจากนี้ คือการกระจายตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ ลดการพึ่งพาจีนเพียงรายเดียว และเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การยกระดับเทคโนโลยีการผลิต การสร้างแบรนด์คุณภาพ และการต่อยอดผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในระดับสากล

 


แหล่งที่มา

© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู