ในสวนวังพลากรนั้น มีอะโวกาโดหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ บัคคาเนีย แฮส ปีเตอร์สัน และสายพันธุ์พื้นเมือง พบพระ 08 และ พบพระ 14 ซึ่งแต่ละพันธุ์มีจุดเด่นแตกต่างกัน อย่างที่เจ้าของสวนระบุว่า อย่างพันธุ์แฮสจะมีความหอมลึก ๆ มีความเหนียว และไม่ฉ่ำน้ำ ในส่วนรองลงมาเป็นพวกที่ตลาดล่างและตลาดกลางต้องการมากที่สุด คือ บัคคาเนีย รูปทรงจะใหญ่ ผลผลิตสูง ผลผลิตต่อต้นประมาณ 300 กิโลกรัม เมื่อปลูกได้ 5-6 ปี สายพันธุ์พบพระ 08 และ พบพระ14 ทนต่อโรค คุณวรเชษฐ์อธิบายถึงสายพันธุ์พบพระ 08 และพบพระ 14 ว่าเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่คัดแล้วว่า
1. ทนต่อโรค โดยเฉพาะโรคไฟท็อปทอร่า หรือโรคใบไหม้ ซึ่งเป็นเชื้อราที่ทำลายตั้งแต่ยอดลงระบบราก แล้วทำให้รากเน่าโคนเน่า
2. ให้ผลผลิตสูง
3. เนื้อคุณภาพดี เนื้อเหนียวแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำเหมือนพันธุ์พื้นเมืองทั่ว ๆ ไป

คุณวรเชษฐ์ได้แนะเทคนิคการเสียบยอดใหม่ ๆ โดยเสียบตั้งแต่อายุประมาณเดือนครึ่ง ต่างจากสมัยก่อนที่เสียบกันตั้งแต่เพาะต้นสต๊อกให้ได้ 6-7 เดือน ถึงจะใช้ได้ ซึ่งเหมาะกับพวกมะม่วง ทุเรียน แต่ไม่ใช่กับอะโวกาโด เพราะเมื่อไปดูที่นิวซีแลนด์ เขาเพาะได้แค่เดือนครึ่ง ยอดแดง ๆ ยอดแค่นี้เองก็เสียบได้แล้ว และจะสมานแผลได้ดี

"ตั้งแต่เพาะเมล็ดจนจะเสียบได้ ถ้าจะให้ดีเลยไม่เกิน 2 เดือน ดีที่สุดก็กำลังโผล่มาแดงๆ และอุปกรณ์การเสียบต้องสะอาด เพราะว่าต้นยังเล็กอยู่ เหมือนการผ่าตัด ตอนผ่าลงไปต้องสะอาด ติดเชื้อไม่ได้ ถ้าติดเชื้อจะไม่ค่อยติด สักระยะหนึ่งจะตาย และเมล็ดที่นำมาเพาะต้องทำความสะอาด ต้องแช่ EM อะไรต่าง ๆ แล้วถึงจะเอามาลงดิน อีกทั้งดินก็ต้องหมักเป็นปี ๆ ราดเป็นชั้น ๆ"

เจ้าของสวนให้รายละเอียดอีกว่า อะโวกาโดมีดอกแล้วติดลูกจนครบการเก็บเกี่ยว จากนั้นจะออกดอกมาซ้อนกัน โดยเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ตรงนี้จะเก็บผลผลิตได้ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคมของอีกปี ตกประมาณ 11 เดือน ซึ่งใช้เวลานานมาก ด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นพันธุ์ไม่ดีจะแขวนอยู่บนต้นได้ไม่นาน และมีโอกาสจะขาดทุน ฉะนั้นเมื่อออกดอก การบำรุงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ปุ๋ยคอกต้องใส่อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี โดยใส่ในช่วงต้นฝนกับปลายฝน ต้นฝนประมาณเดือนพฤษภาคม หลังเดือนเมษายนก็เตรียมใส่เลย ถ้าอายุต้น 4-5 ปี ใส่ 30 กิโลกรัม เป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก พอใกล้ ๆ ปลายฝน ประมาณเดือนกันยายน ตุลาคมก็ใส่อีก จะได้มีอาหารเพียงพอ เพื่อไม่ให้ต้นโทรมเพราะออกลูกตลอดปี

ดังนั้น ช่วงที่ยังเก็บลูกไม่หมด ขณะที่ยังออกดอกด้วย ถ้าดูแลช่วงนี้ไม่ดีผลผลิตอาจจะตกต่ำหรืออาจจะไม่ออก แต่ถ้าดูแลดี ๆ บำรุงให้ถึง ๆ จะออกผลผลิตเท่าเดิม

สำหรับการดูแลต้นอะโวกาโดนั้น จะใช้เคมีพ่นในช่วงฝน เพื่อป้องกันพวกเชื้อราไม่ให้ทำลายขั้ว เพราะที่อำเภอพบพระฝนตกชุกมาก ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน นอกจากนี้ก็มีปัญหาหนอนเจาะลำต้นบ้าง แต่ไม่เป็นไร แค่ใช้ไซริงจ์ฟอสฟอรัสโอเอซิสไปจิ้ม ๆ ขูด ๆ แต่สิ่งที่ทำลายมากที่สุดก็คือ ไฟท็อปทอร่า เชื้อราตัวนี้ถ้าเกิดแล้วจะลามง่าย ต้องพ่นสารเคมีป้องกันให้ต้นปลอดภัย เพราะหลังจากนั้นก็จะไม่ได้พ่นแล้วจะเป็นช่วงฤดูใกล้เก็บเกี่ยว

จากประสบการณ์ที่ปลูกอะโวกาโดมา คุณวรเชษฐ์ระบุว่า อะโวกาโดเป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุย ไม่ชอบดินเหนียวเลย ไม่ชอบน้ำแฉะ และต้องระบายน้ำได้ดี อีกทั้งจากการเปรียบเทียบระหว่างใส่ปุ๋ยเคมีกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อะโวกาโดค่อนข้างจะตอบโจทย์กับปุ๋ยอินทรีย์มากกว่า โดยเฉพาะขี้แพะ

ที่ผ่านมา ผลผลิตของสวนเป็นที่น่าพอใจ ถ้าเป็นพันธุ์แฮส ต้นอายุประมาณ 6 ปี ให้ผลผลิตอยู่ที่ 150 กิโลกรัมต่อต้น ต่ำสุด 30-40 กิโลกรัม ซึ่งในจำนวน 3,000-4,000 ต้น หรือ 25 ต้นต่อไร่ ก็เป็นตัวเลขที่เกษตรกรอยู่ได้แบบสบาย ๆ และมีเวลาด้วย ไม่ต้องไปดูแลเยอะ ถ้าเทียบกับการปลูกลำไย

แนะนำว่า ถ้าใช้สารเคมีประเภทยาฆ่าหญ้าจะมีผลต่ออะโวกาโด โดยเฉพาะตอนที่ต้นยังเล็กอยู่ ดังนั้น ต้องล้อมด้วยซาแรน 1 เมตร และในการปลูกแต่ละต้น ควรมีระยะห่าง 7-8 เมตร เพื่อไม่ให้ต้นติดกันจนเกินไป

ส่วนกรณีที่เกษตรกรบางคนคิดว่า อะโวกาโดต้องปลูกในที่สูงและในเมืองหนาวนั้น ประเด็นนี้คุณวรเชษฐ์ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า ที่ปลูกตั้งแต่ 400-1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล จะเห็นความแตกต่าง คือตั้งแต่ 600-800 เมตรจะเป็นช่วงดีที่สุด ผลผลิตสูง คุณภาพเนื้อค่อนข้างดี

แต่ช่วงที่ความสูงสัก 1,000 เมตรขึ้นไป เปลือกเริ่มเปลี่ยน เริ่มจะแข็งๆ และเก็บได้ช้าขึ้น จากเดิมต้องเก็บ 10 เดือน จะเลื่อนเป็น 11-12 เดือน ส่วนคุณภาพถ้าปลูกในพื้นที่ 1,200 เมตร คุณภาพจะด้อยลงมา แต่ถ้าปลูกในพื้นที่ต่ำกว่า 400-500 เมตร ผลผลิตจะสุกเร็วขึ้น และจะมีความฉ่ำเรื่องน้ำเพิ่มขึ้นมา

การขายกิ่งพันธุ์นั้น คุณวรเชษฐ์ขายกิ่งละ 200 บาท ทุกพันธุ์ กรณีสนใจอยากรู้เรื่องอะโวกาโด หรืออยากจะเข้าไปดูสวน ซื้อกิ่งพันธุ์ ติดตามได้ที่ เพจ Avocado in Thailand สอบถามได้ที่ โทร. 08 1950 5574