ข่าวสาร
E20 การบริหาร/ธุรกิจเกษตร
13 มกราคม 2564
'ลดเผาอ้อย' ป่วนโรงงานน้ำตาล ชาวไร่หัวใสตัดต้นปนกาบใบรับส่วนต่าง

57 โรงงานน้ำตาลป่วน รับมือ "ชาวไร่หัวไส" ตัดอ้อยสดผสมกาบใบส่งขายโรงงาน หวังรับเงินค่าลดเผาอ้อยแก้ฝุ่น PM 2.5 ตันละ 20 บาท ไม่สนคุณภาพน้ำตาลวูบ 9 บาทต่อ กก. แถมซวยซ้ำบาทแข็งทุบตลาดส่งออกไตรมาส 1 ราคาโลกซึมยาว แต่ยังต้องแบ่งชาวไร่ 70 ต่อ 30 เท่าเดิม
แหล่งข่าวจากวงการน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า ผลผลิตอ้อยฤดูกาลผลิต 2563/2564 กำลังทยอยเก็บเกี่ยว โรงงาน 57 แห่ง เริ่มเปิดหีบครบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ปรากฏว่าเกิดปัญหาอ้อยที่เข้าสู่โรงงานไม่ได้มีคุณภาพตามที่ต้องการ จึงเป็นเหตุให้ทางโรงงานอาจหยุดรับซื้อ ชาวไร่อ้อยก็ต้องขนย้ายจากอีกแห่งไปอีกแห่ง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรงงาน ได้มีการประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางแก้ปัญหาคุณภาพอ้อยที่เข้าสู่โรงงาน โดยที่ประชุมขอให้ทุกโรงงานไปรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอต่อสำนักงานอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ภายใน 7-10 วันนับจากนี้ หรือประมาณปลายเดือนมกราคม 2564

สาเหตุของปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจากทางกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการลดการเผาอ้อยจาก 100% ให้เหลือ 20% ในปีนี้ เป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยชาวไร่ที่เผาอ้อย ไปขายให้โรงงานจะถูกหักค่าอ้อย 20 บาท ต่อตัน หรือเฉลี่ยต่อ 1 คันรถ ประมาณ 20 ตัน ราว 400 บาทจากราคาอ้อยขั้นต้น 800-900 บาท เพื่อเอาไปเพิ่มให้กับชาวไร่ ที่ใช้วิธีตัดอ้อยสดเข้าโรงงาน ถือเป็น มาตรการจูงใจนี้ทำให้ชาวไร่หันมาตัด อ้อยสดมากขึ้น ลดฝุ่น PM 2.5 เหมือนได้รางวัลจากการทำดี แต่ก็มีชาวไร่บางส่วนในบางพื้นที่ได้ตัดอ้อยสดแต่ผสมเอากาบใบไปส่งให้โรงงาน ทำให้คุณภาพน้ำตาลลดลง แต่กลับพลอยได้รับค่าอ้อยไฟไหม้ไปด้วย

"การตัดอ้อยสดไม่ใช่เรื่องง่าย ต้อง เตรียมความพร้อมให้ดี เพราะถ้าไม่ใช้เครื่องจักรก็ต้องใช้แรงงานคน สุดท้ายพอตัดอ้อยสดมาแล้วก็ตัดมาทั้งลำต้น มีกาบใบผสมมาด้วย ทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันมันก็ไปลดเปอร์เซ็นต์ น้ำตาล หรือยีลด์ ซึ่งตอนนี้โรงงานที่รับซื้อ พบว่า ยีลด์หาย กก.ละ 9 บาทแล้ว การจะให้โรงงานไปแยกเองก็ลำบาก พอมีปัญหาคุณภาพนั้นก็กระทบเกิดภาวะหยุดซื้อ ชาวไร่ก็เดือดร้อนอีก"

ต่อประเด็นที่ว่า รัฐบาลควรปรับขึ้นราคารับซื้ออ้อยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรหรือไม่นั้น ต้องพิจารณา 2 มุม การจะปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรด้านเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาราคาขายด้วย ซึ่งตอนนี้ราคาขายน้ำตาลในตลาดโลกไตรมาส 1 เพิ่มจาก 12 เซนต์ เป็น 13 เซนต์ ถือว่าปรับเพิ่มขึ้นน้อยมาก หากเพิ่มเป็น 15-16 เซนต์ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะปรับราคาอ้อย ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าไปมาก ทำให้รายได้จากส่งออกน้ำตาลที่คิดทอนกลับมาเป็นเงินบาทได้ราคาลดลง และเรายังต้องพึ่งพารายได้ จากตลาดส่งออก 70% ดังนั้นเมื่อ รายได้ไม่เพิ่มขึ้น จะปรับราคาขึ้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เสมือนตอนนี้ ชิ้นเค้กลดลง แต่ผู้ประกอบการกับชาวไร่ก็ยังต้องแบ่งรายได้ในสัดส่วน 70 ต่อ 30 เท่าเดิม

"ปีนี้โรงงาน 57 โรงงานที่เปิดหีบไปประมาณ 4-5 วัน คาดว่าปีนี้จะหีบหมดภายในกลางเดือนมีนาคม เพราะปริมาณอ้อยปีนี้น่าจะมีเพียงไม่ถึง 70 ล้านตัน จากกำลังการผลิตสูงสุดของโรงงานที่รับอ้อยได้ 1.2 ล้านตันวัน เป็นเวลา 4 เดือน หรือราว 96 ล้านตัน ซึ่งปริมาณอ้อยที่ลดลงมาจากหลายสาเหตุ มีทั้ง การหันไปปลูกพืชอื่นที่มีราคาดีหรือมีความต้องการใช้มากกว่า เช่น ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง"

อีกด้านหนึ่ง นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และหัวหน้าสำนักงานสมาคมชาวไร่อ้อย เขต 7 กล่าวว่า ชาวไร่อ้อยและโรงงาน น้ำตาลต่างรับทราบปัญหาเรื่องคุณภาพอ้อยร่วมกัน แก้ปัญหาร่วมกันโดยไม่มีการปิดหีบ

"การตัดอ้อยสด มีกากใบปนจะส่งผลให้คุณภาพผลผลิตต่อตัน อ้อยลดลง แต่แรงงานคนไม่พอ รถตัดอ้อยไม่พอ ทำให้ปริมาณอ้อยที่ตัดได้ต่อวันนั้นลดลง จาก 40,000-50,000 เหลือเพียง 20,000 ตัน/วัน ชาวไร่บางราย ใช้วิธีตัดล้ม จึงมีกากใบแห้ง ติดไปด้วย"

"หากต้องการให้ลดการเผาอ้อย โรงงานกับชาวไร่ ต้องพบกันครึ่งทาง ในส่วนของชาวไร่เองได้พยายามปรับวิธีการตัดอ้อย โดยใช้เครื่องจักรขนาดเล็ก พยายามลดติดใบอ้อยก่อนตัดส่งเข้าหีบ เป็นลักษณะการตัดแบบเป็นท่อน ๆ ซึ่งชาวไร่ก็ต้องลงทุนซื้อ เครื่องสางใบใหม่ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเพื่อลดการเผาอ้อยตามที่รัฐต้องการ แต่ก็เป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับ"

นอกจากปัญหาต้นทุนจากการตัดอ้อยสดแล้ว ชาวไร่อ้อยยังมีต้นทุนจากการหาสารเคมีทดแทนสารพาราควอต ทั้งกลูโฟซิเนต และสารที่ใกล้เคียงประเภทอื่นมีราคาที่สูงกว่า รวมถึง การใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย แต่แน่นอน ว่าประสิทธิภาพมันไม่ได้ดีเต็ม 100% จึงส่งผลให้ผลผลิตต่ำลง บวกกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ล่าสุดได้ส่งหนังสือเพื่อขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่ปลายปี 2563 เพื่อขอให้พิจารณาถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาสารพาราควอตเป็นหลักในการกำจัดวัชพืช เพียงช่วยปลูก 3-4 เดือน ไม่ได้ตลอดทั้งปี

"ชาวไร่อ้อย แค่ขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายคิดใหม่ โดยหลักแล้วเราไม่อยากให้ยกเลิก"


แหล่งที่มา

ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2564
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู