ข่าวสาร
E10 เศรษฐกิจการเกษตร
23 พฤศจิกายน 2563
สศก. เปิดปัจจัยท้าทายเทรนด์สินค้าเกษตร ปี 64

ปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นส่งผลให้การเพาะปลูกของไทยในปีนี้มีผลผลิตที่ดี ต่างจากคู่แข่งที่มีภัยธรรมชาติ ซึ่งในภาวะนี้ควรเป็นโอกาสของไทยที่จะมีผลผลิตที่สูงและราคาดี แต่มีเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรไทยปีนี้ และปี 2564 ไม่น่าจะสดใส นั่นก็คือ โควิด-19

อัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า การระบาดของโควิดแม้จะส่งผลให้ผู้บริโภคกักตุนสินค้า และมีส่วนผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรของไทยปรับเพิ่มขึ้น แต่ด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้แรงซื้อของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศลดลง เพราะต้องระมัดระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการตั้งราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับสูงเกินไปจะขายไม่ได้

นอกจากนี้ ยังต้องรอดูนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ว่าจะขับเคลื่อนทางด้านใดบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลก ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตร (จีดีพี) ของไทยต้องทำเดือนต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อนำมาวิเคราะห์กับผลผลิตสินค้าเกษตร ทำให้สามารถพยากรณ์แนวโน้มราคาพืชเศรษฐกิจ เช่น ยาง ปาล์มน้ำมัน ข้าว มันสำปะหลัง ซึ่งคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น แม้จีดีพีเกษตรในปีนี้จะติดลบ 3.4-2.4%

ทั้งนี้ ในส่วนของยางพาราในปีนี้คาดว่าจะมีผลผลิต 4.7 ล้านตัน ลดลงประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ราคาในช่วงนี้อาจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมีปัจจัยภายนอก เช่น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า อัตราแลกเปลี่ยน เข้ามากดราคาในบางช่วง แต่จากผลผลิตที่ลดลง และกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลผลัดใบ ประกอบกับความต้องการใช้ถุงมือยางมีมากขึ้น อุตสาหกรรมล้อยางเริ่มฟื้นตัว จึงเป็นแรงผลักให้ราคายางในช่วงต้นปีหน้าปรับเพิ่มขึ้น หรือจะไม่ลดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉลี่ยกิโลกรัมละ 60 บาท

ด้านปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวไปถึงไตรมาสแรกของปี 2564 เฉลี่ยปาล์มดิบที่ กก.ละ 6-7 บาท น้ำมันปาล์ม (ซีพีโอ) กก.ละ 25-25.25 บาท จากความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นหลังจากการระบาดของโควิด เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับมาตรการของรัฐที่กระตุ้นการใช้น้ำมันปาล์ม โดยการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตกระแสไฟฟ้า การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล รวมทั้งการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกินของผู้ประกอบการ ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเฉลี่ยเดือนละ 2.4 แสนตัน ประกอบกับผลผลิตปาล์มน้ำมันในช่วงไตรมาสที่ 4 (ต.ค. - ธ.ค.) ออกสู่ตลาดน้อย ประมาณ 19% ของผลผลิตทั้งหมด 16.36 ล้านตัน โดยคิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบเดือน ต.ค. 2.1 แสนตัน พ.ย. 1.8 แสนตัน และ ธ.ค. 1.6 แสนตัน ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสที่ 4 สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบลดลงเฉลี่ยอยู่ระหว่างเดือนละ 3-8 หมื่นตัน และคาดว่า ณ สิ้นปี 2563 สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบจะปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 2.8-3.2 แสนตัน จากสต๊อกที่เหมาะสมที่ 2.5 แสนตัน

ขณะที่มันสำปะหลัง คาดว่าปีนี้จะมีผลผลิต 2.8 ล้านตัน หรืออาจจะน้อยกว่านี้ เพราะมีปัญหาโรคใบด่างเกิดขึ้น แนวทางแก้ไขโรคดังกล่าวคือโค่นแล้วเผาทำลาย ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดช่วงกลางเดือน พ.ย. - ธ.ค. ดังนั้นจึงคาดว่าราคาจะอยู่ในระดับที่ดี เพราะจีนสั่งซื้อมันเส้นจากไทยมากขึ้นเพื่อป้อนโรงงานเอทานอล ซึ่งปัจจุบันราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรได้รับเฉลี่ยที่ กก.ละ 2-2.50 บาท

สำหรับข้าวนาปีมีผลผลิต 25.5 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น 6% เนื่องจากฝนตกทั่วถึง เฉลี่ยราคาข้าวที่ 8,000-8,500 บาทต่อตันข้าวเปลือก ซึ่งราคาอาจจะลดลงเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกัน แต่ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าการผลักดันส่งออกข้าวไทยยังลำบาก เนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยมีช่องห่างของราคาเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการระบาดของโควิด ทำให้กำลังซื้อลดลง โดยหันไปบริโภคข้าวชนิดอื่นที่ถูกกว่า และคุณภาพใกล้เคียงของไทย

“ราคาโดยรวมปีนี้ยังถือว่าดี เกษตรกรพอใจ แต่ราคาควรจะดีกว่านี้ หากไม่มีการระบาดของโควิด แต่หากมองในแง่ของเกษตรกรแล้ว ปีนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำ เพราะรัฐบาลมีโครงการประกันรายได้ และมีมาตรการช่วยเหลือควบคู่ ซึ่งจะจูงใจให้เกษตรกรลงทุนต่อเนื่องในฤดูกาลผลิตต่อไป”

สิ่งที่รัฐบาลควรเข้ามาแก้ปัญหาในขณะนี้ควรมีมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อให้ขับเคลื่อนไปต่อให้ได้ในสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2564 จะเป็นช่วงจับตามองที่สำคัญ


แหล่งที่มา

กรุงเทพธุรกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/908893
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู