สายน้ำผึ้ง อาจถือเป็นดอกไม้แห่งสาธารณสุขมูลฐานประจำเอเชียเลยก็ได้ เพราะต้นสายน้ำผึ้งขึ้นเองได้ตั้งแต่ในประเทศญี่ปุ่น แพร่กระจายไปในเขตร้อนของจีน เวียดนาม เกาหลี ไต้หวัน และลงมาทางใต้ถึงในประเทศไทยก็พบได้ทั่วไป
สายน้ำผึ้งมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Lonicera japonica Thunb. อยู่ในตระกูล CAPRIFOLIACEAE เป็นไม้เถาเลื้อย ให้ความเขียวตลอดปี สูงประมาณ 5-8 เมตร เมื่อต้นยังอ่อนจะมีขนนุ่ม ๆ ขึ้นตามลำต้น ใบเดี่ยวรูปหอกแคบ ปลายแหลม โคนมน ดอกเมื่ออายุน้อยสีออกขาวและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน รูปปากแตรปลายยาวปากบานเป็น กลีบยาวงอน มีกลิ่นหอม เมื่อดอกแห้งจะมีกลิ่นคล้ายยาสูบ และดอกออกได้ตลอดปี
สายน้ำผึ้งเป็นดอกไม้แปลก เพราะไม่เหี่ยวแห้งแม้ต้นโตในพื้นที่อากาศหนาว ชาวจีนจึงเรียกชื่อในภาษาจีนแปลได้ว่า ต้นทนหนาว ประมาณการกันว่าทนอากาศเย็นติดลบได้ถึง -46 องศาเซลเซียส
สำหรับลูกหรือผลมีสีดำ ผลออกเป็นกลุ่มที่เรียกว่า Berry ใช้ขยายพันธุ์ได้ หรือจะใช้กิ่งปักชำในช่วงฤดูฝน พอออกรากนำไปปลูกต่อได้ ข้อสังเกตต้นโตตามธรรมชาติมักจะอยู่ต่ำกว่าเถาไม้ทั่วไป เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวดอกสายน้ำผึ้ง คือเมื่ออย่างเข้าฤดูร้อนเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ดอกจะเริ่มบาน เก็บมาทำให้แห้งโดยใช้ความร้อนต่ำ ซึ่งรสและสรรพคุณทางยา คือ ดอกมีรสหวาน สรรพคุณเย็น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ความเย็นของยาจะไล่ลมร้อนในร่างกาย ใช้แก้หวัด ไอ ท้องเสีย นำมาใช้ขนาด 6-15 กรัม
การใช้ตามตำรับยาดั้งเดิมของเวียดนาม มีการใช้ส่วนดอกและทั้งต้นเหนือดินเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณใช้ดอกเป็นยาขับปัสสาวะ ชำระล้างและขับพิษ ใช้แก้โรคผิวหนัง เช่น โรคแผลพุพอง หัด ฝี ตัวอย่างการใช้ในโรคลำไส้และบิด ให้ใช้ดอกปริมาณ 4-6 กรัมในลักษณะผง หรือเป็นยาต้ม และหากใช้ใบให้ใช้ขนาด 10-12 กรัม ต้มกินได้
ส่วนตำรายาของจีนมีการกล่าวถึงสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญชนิดหนึ่งและมีการใช้มานานนับพันปี โดยใช้ในโรคทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น เป็นหวัด เป็นไข้ ปวดหัว
ตำรับยาจีนตำรับหนึ่งให้ใช้ดอกสายน้ำผึ้ง 10 กรัม เหลียงเฉียว 10 กรัม ชะเอม 3 กรัม เมนทอล 3 กรัม จิ่งเจี้ย 3 กรัม ต้มกินแก้หวัด หากมีปอดอักเสบ และไอ ใช้ดอกสายน้ำผึ้ง ผักพลูคาว หรือคาวตอง อย่างละ 30 กรัม และผสมกับเปลือกหม่อนอีก 15 กรัม นำมาต้มน้ำกิน หากลำไส้หรือตับร้อน ใช้ดอกสายน้ำผึ้ง 30 กรัม ต้มน้ำกิน ถ้ามีความดันเลือดเริ่มสูง ให้ใช้ดอกสายน้ำผึ้งและดอกเก๊กฮวยอย่างละ 25 กรัมต้มน้ำกิน หากมีอาการเวียนศีรษะ ใช้ใบหม่อนเพิ่มอีก 12 กรัม ผู้ที่มีความดันเลือดสูงอยู่แล้ว อาจเพิ่มเซียงจาอีก 25 กรัม นอกจากนี้หมอจีนมักแนะนำให้เด็ดช่อดอกสายน้ำผึ้ง ต้มใส่หมูสับ ต้มกินเป็นอาหารสมุนไพรเมื่อเวลาเป็นหวัด สรรพคุณยาจีนมีความใกล้เคียงกับทางยาของอินเดียที่ใช้เป็นยาธาตุ แก้ไข้ ขับปัสสาวะ และแก้บิด
รายงานวิจัยองค์ประกอบของสายน้ำผึ้งทั้งต้น พบว่าเป็นซาโปนิน แทนนิน อิโนซิทอล (พบในดอก) ฟวาโวนอยด์ ลูเตโอลิน และโลนิเซอริน แคโรทีนอยด์ที่พบคือ คริปโตแซนทีน โดยรวมๆ องค์ประกอบที่พบในสายน้ำผึ้งมีถึง 140 ชนิด และจากการศึกษาสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ พบสารออกฤทธิ์ ในกลุ่มดังนี้คือ ฟีโนลิค แอลคา ลอยด์ ฟวาโวนอยด์ เทอร์พีนอยด์ และที่สำคัญเป็นกลุ่มน้ำมันหอมระเหย กรดอินทรีย์ และฟวาโวน
ดอกสายน้ำผึ้งในรูปยาต้มมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยับยั้งเชื้อที่ทำให้ท้องเสีย เช่น เชื้อบิดไม่มีตัว เชื้อชิเจลลา และเชื้อในทางเดินอาหารอื่น ๆ อีกหลายชนิด ซึ่งการศึกษาทดลองต่าง ๆ สอดคล้องกับสรรพคุณของการใช้แบบภูมิปัญญาดั้งเดิม นอกจากนี้ยังพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา เช่น ต้านอักเสบ ต้านแบคทีเรีย ต้านออกซิเดชั่น และปกป้องตับด้วย
ในอนาคต การวิจัยสายน้ำผึ้งน่าจะพัฒนาเป็นยาที่มีสรรพคุณได้หลากหลาย และยังพัฒนาเป็นผงโรยบนอาหาร เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และพัฒนาในรูปแบบส่วนผสมเครื่องสำอางด้วย ระหว่างรอการพัฒนาควรปลูกเพื่อการดูแลสุขภาพตนเองกับโรคพื้นฐาน เช่น หวัด สามารถปรุงใช้ได้ง่าย และการปลูกไว้ชมดอกก็ดี เนื่องจากดอกสายน้ำผึ้งมีกลิ่นหอม ชื่นใจ
สายน้ำผึ้งจึงเป็นทั้งสมุนไพร ไม้ประดับให้กลิ่นหอม ปลูกประดับซุ้มประตูหน้าบ้านสวยงาม นับเป็นดอกไม้ทรงคุณค่าแห่งเอเชีย
* โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org