มะระขี้นกยักษ์โอกินาวา (Okinawa bitter melon) เป็นพันธุ์พืชที่มีถิ่นกำเนิดจากเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากมะระทั่วไป คือ มีผลขนาดใหญ่ ผิวขรุขระเล็กน้อย และที่สำคัญคือ รสชาติไม่ขมจัด ทำให้สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายและเป็นที่นิยมบริโภคในหมู่ผู้รักสุขภาพ ปัจจุบัน มะระขี้นกยักษ์โอกินาวาได้ถูกนำมาทดลองปลูกในประเทศไทย และประสบความสำเร็จอย่างดี โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดี ออกดอกและติดผลดก อีกทั้งสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างน่าพอใจ
จุดเริ่มต้นของมะระโอกินาวาในประเทศไทย
สวนคุณลี ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการปลูกมะระขี้นกยักษ์โอกินาวาในประเทศไทย โดยได้นำเมล็ดพันธุ์จากประเทศญี่ปุ่นมาทดลองปลูกเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน พบว่า พืชชนิดนี้สามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศของไทย ออกดอกติดผลดก และมีรสชาติดีคล้ายกับที่ปลูกในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ จุดเด่นสำคัญคือ มะระชนิดนี้ไม่ขมจัด เหมือนมะระขี้นกทั่วไปในประเทศ จึงสามารถบริโภคได้ง่ายและหลากหลาย ไม่ว่าจะนำไปผัด ต้ม แกง หรือทำเครื่องดื่มสมุนไพร
วงจรการปลูกและเก็บเกี่ยว ต้นมะระขี้นกยักษ์โอกินาวาจะเริ่มออกดอกและให้ผลผลิตภายใน ประมาณ 60 วัน หลังย้ายกล้าปลูกลงแปลง และสามารถทยอยเก็บเกี่ยวได้อีก 1–2 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบำรุงดูแลรักษาเป็นหลัก โดยเมื่อผลเริ่มติดขนาดเล็กแล้ว อีกประมาณ 12–18 วัน ก็สามารถเก็บผลอ่อนเพื่อบริโภคหรือจำหน่ายได้
ในแต่ละรอบการปลูก ต้นมะระสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องได้ถึง 5–10 รุ่น และสามารถวางแผนการปลูกให้มีผลผลิตตลอดทั้งปีเพื่อรองรับความต้องการของตลาด
โอกาสทางเศรษฐกิจ ปัจจุบัน สวนคุณลีสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ทั้งในรูปแบบขายปลีกที่สวน และส่งตรงไปยังร้านอาหารในกรุงเทพมหานคร โดยตั้งราคาจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับมะระทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการในตลาดสูง และยังมีจุดเด่นในด้านรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
นอกจากนี้ ทางสวนยังคัดเลือกพันธุ์ที่มีคุณภาพดีเพื่อนำมาผลิตเมล็ดพันธุ์สำหรับจำหน่ายให้แก่เกษตรกรหรือผู้สนใจนำไปปลูกต่ออีกด้วย
การจัดการศัตรูพืชและโรคที่พบบ่อย
ถึงแม้มะระขี้นกยักษ์โอกินาวาจะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี แต่ก็ยังคงมีศัตรูพืชและโรคที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลที่มีความชื้นหรืออุณหภูมิสูง
1. เพลี้ยไฟ
เพลี้ยไฟเป็นแมลงศัตรูพืชที่พบได้ตลอดทั้งปี แต่จะระบาดหนักในช่วงอากาศร้อนและแห้งแล้ง เพลี้ยไฟจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและใบ ทำให้ใบหงิกงอ หากพบการระบาดในระยะเริ่มต้น ควรใช้ชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราบิวเวอเรีย ซึ่งปลอดภัยและไม่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม หรือใช้สารเคมีเฉพาะกลุ่ม เช่น อิมิดาคลอพริด และคาร์โบซัลแฟน โดยควรพ่นสารในช่วงเวลาเย็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
2. แมลงหวี่ขาว
แมลงหวี่ขาวเป็นแมลงปากดูดที่ทำลายใบพืช ทำให้ใบหงิก ขอบใบม้วน และต้นแคระแกร็น อีกทั้งยังเป็นพาหะของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคใบด่าง ควรใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองเพื่อลดจำนวนแมลง หรือใช้เชื้อราบิวเวอเรียในการควบคุม โดยหากมีการระบาดมาก ควรเลือกใช้สารเคมีสลับกลุ่ม เช่น อะเซทามิพริด และคาร์บาริล
3. หนอนกัดกินใบ
หนอนสามารถกัดกินใบและยอดได้ตลอดวงจรชีวิตของพืช การใช้ชีวภัณฑ์อย่าง แบคทีเรียบาซิลัส ทูริงเยนซิส (บีที) เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะหากใช้ตั้งแต่หนอนยังมีขนาดเล็ก และพ่นในช่วงเย็นขณะที่มีความชื้นสูง
4. โรคราน้ำค้าง
โรคนี้จะระบาดมากในฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งมีความชื้นสูง อาการเริ่มต้นคือ ใบมีจุดเหลือง จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเทา หากปล่อยไว้อาจทำให้ต้นพืชแห้งตายทั้งต้น วิธีควบคุมคือฉีดพ่นด้วยสารป้องกันเชื้อรา เช่น แมนโคเซบผสมเมทาแลกซิล, ไดเมโทมอร์ฟ, หรือโพรพิเนบ ซึ่งสามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ดี
มะระขี้นกยักษ์โอกินาวาเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรไทย ด้วยลักษณะเด่นด้านรสชาติ การเจริญเติบโตดีในสภาพอากาศไทย และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หากมีการจัดการดูแลและป้องกันโรคแมลงศัตรูพืชอย่างเหมาะสม มะระชนิดนี้สามารถเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ปลูกได้เป็นอย่างดี ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือเยี่ยมชมสวนได้ที่ สวนคุณลี อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โทร. 08 1886 7398, 056 613 021