ข่าวสาร
T01 มลพิษ
24 มกราคม 2568
ลดฝุ่น PM 2.5 จากการเกษตร: แนวทางยั่งยืนเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในการทำการเกษตรสามารถสร้างผลกระทบใหญ่ในเชิงบวกได้ ลองนำแนวทางการทำเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปใช้เพื่อไม่เพียงแค่ลดฝุ่น PM 2.5 แต่ยังส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ทุกคนในชุมชน การปรับเปลี่ยนวันนี้เพื่ออนาคตที่สะอาดและสดชื่นกว่าเดิม

ฝุ่น PM 2.5 (Particulate Matter 2.5) คือฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กมากถึง 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือดได้อย่างง่ายดาย มีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในระยะยาว หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจและหัวใจได โดยส่วนประกอบของฝุ่น PM 2.5 ได้แก่
1. ฝุ่นจากการคมนาคม มาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์จากรถยนต์, รถบรรทุก, และยานพาหนะต่าง ๆ
2. ฝุ่นจากการเผาไหม้ มาจากการเผาไหม้ของไม้, พืช, และวัสดุชีวมวล เช่น ในการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม
3. ฝุ่นจากการผลิตอุตสาหกรรม เช่น ฝุ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิตเหล็ก, เซรามิก, หรือการเผาหม้อไอน้ำในโรงงาน
4. สารมลพิษจากการปล่อยมลพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2), ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2), และคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)
5. ฝุ่นจากธรรมชาติ ฝุ่นที่เกิดจากฝุ่นละอองที่พัดมาในอากาศจากการเคลื่อนที่ของลม เช่น ฝุ่นจากดิน, ทราย, หรือเกสรดอกไม้
6. สารพิษที่เกิดจากยานพาหนะและเครื่องจักร รวมถึงโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว, นิกเกิล, และแคดเมียม ซึ่งมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล

ส่วนฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากภาคการเกษตรมีหลายแหล่งที่สามารถสร้างมลพิษทางอากาศได้ เช่น
1. การเผาในภาคการเกษตร การเผาฟางข้าวและพืชหลังการเก็บเกี่ยวเป็นวิธีการที่เกษตรกรใช้เพื่อทำลายวัชพืชและเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกพืชใหม่ แต่การเผาฟางเหล่านี้จะปล่อยฝุ่น PM 2.5 รวมถึงสารมลพิษและก๊าซพิษ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx), และสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น เบนซินและสารฟอร์มาลดีไฮด์
2. การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในการทำเกษตรกรรม การใช้เครื่องจักรในการทำการเกษตร เช่น เครื่องจักรกลการเกษตรที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล ซึ่งจะปล่อยควันและฝุ่น PM 2.5 ออกสู่อากาศ
3. การใช้ปุ๋ยและสารเคมี การใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการเกษตรอาจมีผลต่อการปล่อยมลพิษบางชนิด เช่น ฝุ่นจากการใช้ปุ๋ยที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุต่าง ๆ หรือสารเคมีที่สามารถผสมกับฝุ่นและกลายเป็น PM 2.5
4. การทำลายทรัพยากรป่าไม้ การทำลายป่าหรือการเปิดพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตร สามารถทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จากการเคลื่อนย้ายดินและหิน รวมถึงการปล่อยฝุ่นจากการตัดไม้และการเผาไหม้
5. การเกษตรในพื้นที่ที่มีการใช้เครื่องจักรหนัก การใช้เครื่องจักรหนักในพื้นที่การเกษตร เช่น รถแทรกเตอร์หรือเครื่องเก็บเกี่ยวที่ทำให้เกิดฝุ่นจากการกระทบพื้นดินและวัสดุเกษตร

ฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากภาคการเกษตรมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวหรือฤดูการเพาะปลูก ซึ่งการจัดการและควบคุมกิจกรรมเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดการปล่อยมลพิษจากภาคเกษตรกรรม เช่น การส่งเสริมการใช้วิธีการเกษตรที่ยั่งยืนและลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม

ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรได้ในหลายด้าน
1. ผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกร ฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้เกษตรกรที่ทำงานในภาคการเกษตรประสบปัญหาสุขภาพ เช่น การระคายเคืองตา, ระบบทางเดินหายใจ, หรือการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ เช่น โรคปอด, หอบหืด, หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ. เมื่อเกษตรกรต้องทำงานกลางแจ้งในช่วงที่มีฝุ่น PM 2.5 สูง จะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้น
2. ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช ฝุ่น PM 2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อพืชได้โดยตรง เช่น การทำให้การสังเคราะห์แสงของพืชลดลง เนื่องจากฝุ่นละอองที่เกาะบนใบพืชจะทำให้แสงแดดไม่สามารถส่องผ่านได้เต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ช้าหรือผลผลิตลดลง
3. การเสื่อมสภาพของดินและน้ำ ฝุ่น PM 2.5 อาจมีสารพิษหรือโลหะหนักที่ตกลงไปในดินและแหล่งน้ำ ซึ่งสามารถทำให้คุณภาพของดินและน้ำเสื่อมสภาพ ส่งผลให้การปลูกพืชยากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตการเกษตรในระยะยาว
4. การลดผลผลิตจากการปนเปื้อนของสารพิษ ฝุ่น PM 2.5 อาจมีสารพิษที่มาจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การเผาป่า หรือการเผาฟางข้าว ซึ่งสามารถทำให้พืชได้รับสารพิษและส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลผลิต
5. การปรับตัวของเกษตรกร ในบางพื้นที่ที่มีฝุ่น PM 2.5 สูง เกษตรกรอาจต้องปรับวิธีการเพาะปลูกหรือเลือกพืชที่ทนทานต่อมลพิษได้ดีขึ้น เช่น การใช้ระบบน้ำหยดหรือการปลูกพืชในโรงเรือน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากฝุ่น

ดังนั้น การจัดการและลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งต่างๆ รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรมีการป้องกันและปรับตัว จะช่วยลดผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในภาคการเกษตรได้.

ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ถือเป็นหนึ่งในมลพิษทางอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่มักเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเผา การใช้เครื่องจักรที่ปล่อยมลพิษ และการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย ฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากภาคการเกษตรสามารถลดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรให้ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวทางที่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนี้

1. การห้ามเผา
การเผาหลังการเก็บเกี่ยวเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 การห้ามหรือจำกัดการเผาเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยฝุ่นสู่อากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและการจัดการฟางโดยไม่ต้องเผา เช่น การใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวที่มีฟังก์ชันมากขึ้นและทำปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุทางการเกษตรทดแทนการเผา ตัวอย่างเช่น ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เช่น จังหวัดสุพรรณบุรีและนครราชสีมา ได้มีการสนับสนุนเกษตรกรให้ใช้วิธีนี้และได้ผลดีในการลดฝุ่น

2. การใช้เครื่องจักรที่ปล่อยมลพิษต่ำ
การใช้เครื่องจักรที่ปล่อยมลพิษต่ำสามารถลดการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องจักรที่ใช้พลังงานสะอาด เช่น เครื่องจักรที่ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีการปล่อยก๊าซและฝุ่นจำนวนมาก การสนับสนุนจากภาครัฐโดยการให้สินเชื่อหรือเงินสนับสนุนเกษตรกรที่ใช้เครื่องจักรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงนี้

3. การใช้เทคนิคการเกษตรเชิงนิเวศ
การปลูกพืชหมุนเวียน เช่น การปลูกพืชที่มีรากลึกหรือพืชที่ช่วยคลุมดิน เช่น พืชตระกูลถั่วและปอเทือง จะช่วยลดการพัดพาของฝุ่นและรักษาความชื้นในดิน นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูดินและบำรุงรักษาคุณภาพของดิน ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการลดผลกระทบจากการเกษตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยมลพิษ

4. การใช้การเกษตรแบบไม่ต้องไถดิน (No-Till Farming)
การทำการเกษตรแบบไม่ต้องไถดิน หรือ No-Till Farming เป็นวิธีการที่ช่วยลดการทำลายโครงสร้างของดินและลดการปล่อยฝุ่น โดยในวิธีนี้จะช่วยรักษาความชื้นและลดการพัดพาฝุ่นจากดิน ตัวอย่างการนำไปใช้ ได้แก่ ประเทศบราซิลและแคนาดา ซึ่งการใช้วิธีนี้ได้ผลดีในการรักษาดินและลดการปล่อยฝุ่น

5. การปลูกพืชคลุมดิน
การปลูกพืชคลุมดินจะช่วยป้องกันการพัดพาฝุ่นจากดินและช่วยรักษาความชื้นในดิน การปลูกพืชคลุมดินยังช่วยลดการชะล้างของดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่การเกษตร ตัวอย่างการใช้ในภาคการเกษตรของไทยในหลายจังหวัด เช่น จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดพะเยา ซึ่งเกษตรกรเริ่มนำพืชคลุมดินมาใช้เพื่อลดฝุ่นและปรับปรุงคุณภาพดิน

6. การใช้ระบบการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ
การใช้ระบบน้ำหยด (Drip Irrigation) หรือระบบชลประทานที่ประหยัดน้ำ ช่วยลดการสูญเสียน้ำและลดการเกิดฝุ่นจากการชลประทานที่ไม่ประหยัด ระบบนี้เหมาะสมกับพื้นที่เกษตรกรรมที่ต้องการการชลประทานที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่แห้งแล้งหรือพื้นที่ที่มีฝุ่นจำนวนมาก การติดตั้งระบบน้ำหยดในหลายพื้นที่ของประเทศไทยช่วยลดการปล่อยฝุ่นและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ

7. การให้ความรู้และฝึกอบรมเกษตรกร
การให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการเผาและการใช้สารเคมี รวมถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และวิธีการทำการเกษตรที่ยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างเช่น โครงการเกษตรยั่งยืนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งได้จัดฝึกอบรมให้เกษตรกรเกี่ยวกับวิธีการทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดฝุ่น PM 2.5 โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรรู้ถึงประโยชน์ของการทำการเกษตรที่ปลอดภัยและยั่งยืน

8. การพัฒนาและส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงยั่งยืน เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน (Intercropping) และการใช้เทคนิคการควบคุมศัตรูพืชแบบธรรมชาติช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเกษตร การพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 จากกิจกรรมเกษตรกรรม

การลดฝุ่น PM 2.5 ในภาคการเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถทำได้ผ่านการปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรให้ยั่งยืน โดยการใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยมลพิษต่ำ การส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับผลกระทบของการปล่อยมลพิษ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากภาคการเกษตรและส่งเสริมสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม


แหล่งที่มา

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด ฝ่ายสารสนเทศ
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู