ข่าวสาร
P40 อุตุนิยมวิทยา
27 มิถุนายน 2566
ตระหนักรู้ ใส่ใจ ภัยโลกร้อน

จากสภาพอากาศในประเทศไทยที่ร้อนมากในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ยืนยันด้วยข้อมูลล่าสุดโดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization/WMO) เจนีวา 17 พฤษภาคม 2566 พบว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดจากก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนและปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และคาดว่ามีแนวโน้มที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างรุนแรง การใส่ใจในการช่วยกันลดโลกร้อนและตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดต่อมนุษยชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงต้องมาเรียนรู้ถึง สาเหตุ ผลกระทบและแนวทางแก้ไขและใส่ใจต่อโลกใบนี้มากขึ้น

          การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): เกิดจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน เมื่อรังสีความร้อนในบรรยากาศใกล้ผิวโลกถ่ายเทความร้อนสู่อากาศ ดิน และน้ำ ก็ทำให้เกิดกระแสลม วัฏจักรของน้ำ ฝน พายุ ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้แปรปรวนไปจากเดิมและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงจนเป็นภัยธรรมชาติที่ทำลายชีวิตบนโลก (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน, 2566 )

สาเหตุภาวะโลกร้อน (Climate change)

          เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้พลังงาน/เชื้อเพลิง การขนส่งมากที่สุด ลำดับรองมาได้แก่ กระบวนการทางอุตสาหกรรม การปล่อยของเสียและกิจกรรมด้านการเกษตร ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases) ก๊าซเรือนกระจกจะเก็บรังสีความร้อนจากผิวโลกและสะท้อนรังสีความร้อนไม่ให้ออกไปจากโลก ที่เรียกว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effect/Carbon emission)

ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases)

ก๊าซเรือนกระจก เป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับเคลื่อนรังสีความร้อนหรือรังสีอินฟราเรดได้ดี มี 7 ชนิด ได้แก่

  1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2/(Carbon Dioxide) เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่นการเผาในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม
  2. ก๊าซมีเทน (CH4/Methane) เกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์หรือการหมัก การแปรรูปพลังงานต่าง ๆ ก๊าซมีเทนสามารถทำให้เกิดโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 25 เท่า และคงอยู่ในชั้นบรรยากาศประมาณ 12 ปี
  3. ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O/Nitrous oxide) เกิดจากกิจกรรมทางการเกษตรและการเผาไหม้ เป็นก๊าซที่ทำให้เกิดโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 298 เท่า และคงอยู่ในชั้นบรรยากาศประมาณ 114 ปี
  4. ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC/Hydrofluorocarbon) เป็นก๊าซที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมีศักยภาพทำให้เกิดโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 14,800 เท่า และมีอายุในชั้นบรรยากาศประมาณ 270 ปี
  5. ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC/Perfluorocarbon) เป็นก๊าซที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น เช่น สารที่ใช้อยู่ในปรับอากาศ ตู้เย็น สเปรย์ น้ำยาดับเพลิง ลอยขึ้นไปทำลายชั้นโอโซนเป็นรูโหว่ให้รังสียูวีลงมาถึงผิวโลก
  6. ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6/Sulfur hexafluoride) เป็นก๊าซที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมีศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากที่สุด และมีอายุคงในบรรยากาศประมาณ 3,200 ปี
  7. ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3/Nitrogen trifluoride) เป็นก๊าซที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมีศักยภาพทำให้เกิดโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 17,200 เท่า

 

ปรากฏการณ์ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก

  1. ENSO (El Nino and Southern Oscillation): การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรและความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ ซึ่งหมายรวมถึงปรากฏกรณ์ทั้งเอลนีโญและลานิญา
  2. เอลนีโญ/ El Nino (Enso warm event): ปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรอุ่นขึ้นผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดภัยแล้งจะรุนแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศกำลังพัฒนาที่ตั้งอยู่แถบมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาภาคเกษตรกรรมและการประมง ในขณะที่แนวชายฝั่งของเปรู เอกวาดอร์ และชิลีจะมีผลต่อการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล
  3. ลานิญา/ La Nina (Enso cold event): ปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรเย็นกว่าปกติ มีผลทำให้เกิดฝนตกมากกว่าปกติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย รวมถึงภัยแล้งรุนแรงในอเมริกาเหนือตอนใต้​

ระบบภูมิอากาศของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากเอลนีโญและลานีญาเป็นตัวขับเคลื่อนแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผล เช่น North Atlantic Oscillation, Arctic Oscillation และ Indian Ocean Dipole

 

             ผลกระทบของภาวะโลกร้อน

  1. การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศแหล่งน้ำจืดและระบบนิเวศทางทะเล
  • อุณหภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้นทำให้อุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น เช่นในทะเล และทะเลสาบ
  • ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและกลไกการทำงานภายในของสิ่งมีชีวิต เช่น การเผาผลาญอาหาร การกินอาหาร ความต้องการออกซิเจน การขับถ่ายของเสีย ส่งผลต่อคุณภาพน้ำและระบบนิเวศน้ำตามมา
  • แพลงก์ตอนพืชในแหล่งน้ำเกิดการบลูม/ปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication) เนื่องจากความไม่สมดุลของระบบนิเวศในน้ำ
  • ผลกระทบต่อสัตว์น้ำ เช่น การขยายพันธุ์ การสืบพันธุ์ การวางไข่ ผลผลิตลดลงเนื่องจากสัตว์น้ำเกิดการตายเพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบต่อคุณภาพน้ำและอัตราการระเหยของน้ำในแหล่งน้ำ การไหลของน้ำ การลดลงของปริมาณน้ำ การละลายของออกซิเจนในน้ำลดลงทำให้เกิดสภาพขาดออกซิเจน (hypoxia) ทำให้น้ำเน่าเสียตามมา

ตัวอย่างผลกระทบทางทะเลล่าสุด เมื่อวันที่ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ . 2566 บริเวณหาดทุ่งวัวแล่น จังหวัดชุมพร เกิดปลาพื้นทะเลตายจำนวนมาก เนื่องจากมีสภาพน้ำตื้นและร้อน น้ำสีเขียว เกิดเป็นปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม หรือปรากฏการณ์น้ำแดง ทำให้เกิดสภาพขาดออกซิเจนซึ่งอาจเกิดจากผลกระทบภาวะโลกร้อนต่อทะเลที่สะสมเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน

  1. ผลกระทบต่อกิจกรรมทางการเกษตร

มีผลกระทบโดยตรงเช่น พื้นดินขาดความชุ่มชื้น พืชขาดน้ำ พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตคุณภาพต่ำ  เกิดอาการผิดปกติในพืชต่าง ๆ เช่น

  • ผลผลิตพืชมีรสชาติเปลี่ยนไป เช่น มีรสขม เนื่องจากพืชมีความเครียดและมีการสร้างสารพิษออกมา
  • พืชมีความเครียดเนื่องจากความร้อนทำให้ใบร่วง ดอกร่วง
  • อาการเหี่ยว จากการขาดน้ำทำให้ต้นแห้งดำหรือแห้งตายไป
  • อาการต้นเน่าในแก้วมังกรเนื่องจากเป็นพืชอวบน้ำ
  1. ผลกระทบต่อทรัพยากรป่าไม้

พื้นที่ป่าไม้มีค่าการคายระเหยน้ำสูงขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิอากาศสูงขึ้นมากการคายระเหยน้ำก็เพิ่มมากขึ้นและมีผลต่อการเกิดไฟป่าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่แล้งจัด

  1. ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม

การเกิดภัยแล้งอย่างต่อเนื่องมีผลต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติตื้นเขิน ระดับน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลง  เกิดการกัดเซาะของหน้าดิน และการทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ของที่ดิน

 

แนวทางแก้ไขผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

  1. ด้านพลังงานและการขนส่ง
  • ใช้พลังงานทดแทน เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนผลิตไฟฟ้าและความร้อน
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานหรือปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric vehicles: EV), เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) เป็นเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และนำมากักเก็บภายใต้พื้นดินหรือใช้ในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคไฟฟ้า

 

  1. ด้านการเกษตร มีแนวทางลดโลกร้อนดังนี้

- การปลูกสร้างสวนป่า โดยโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER/ที-เวอ) ซึ่งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ เรียกว่า คาร์บอนเครดิต โดยใช้ต้นไม้เป็นส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกโดยการดูดกลับ/กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์แสง คาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER

มีหน่วยเป็น ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tons CO2 equivalent/tCO2eq)/ปริมาณการกักเก็บคาร์บอน

แหล่งกักก็บคาร์บอนของต้นไม้ประกอบด้วย 5 แหล่งหลัก ได้แก่

  1. มวลชีวภาพเหนือพื้นดิน (Aboveground biomass)
  2. มวลชีวภาพใต้ดิน (Belowground biomass)
  3. ไม้ตาย (Dead wood)
  4. เศษซากพืช (Litter)
  5. อินทรียวัตถุในดิน (Soil organic carbon)

ป่าไม้มีบทบาทในวัฏจักรคาร์บอนโดยสามารถกักเก็บ/ดูดซับคาร์บอนที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ เราสามารถช่วยกันปลูกต้นไม้เพื่อลดโลกร้อนได้ ตัวอย่างชนิดต้นไม้ลดโลกร้อน  เช่น  โกงกาง (Rhizophora), สัก Teak (Tectona grandis), กระถินณรงค์ (Acacia auriculiformis), ยูคาลิปตัส  (Eucalyptus camaldulensis), กระถินเทพา (Acacia mangium), กระถินยักษ์ (Leucaena leucocephala), ไม้รอบรั้วกินได้,ไม้ป่า และไม้ริมถนน ฯลฯ

- ระบบการผลิตอาหารทะเล/การเกษตร จากการประชุม GOAL 2021 แนะนำแนวทางการลดโลกร้อนดังนี้

  • การทำฟาร์มคาร์บอนเพื่อความยั่งยืนทางการเกษตร เช่นการกักเก็บคาร์บอนตามแนวแถวการเพาะปลูก เพี่อลดรอยเท้าคาร์บอน และได้รับคาร์บอนเครดิตที่สามารถซื้อขายได้
  • เรือประมงทะเลใช้ไฟฟ้า
  • การใช้อาหารสัตว์น้ำให้เกิดประสิทธิภาพ (รอยเท้าคาร์บอน น้ำใช้และการใช้ที่ดิน)

- ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่ก่อให้เกิดไนตรัสออกไซด์ โดยปรับเป็นการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักแทน

- การจัดการน้ำ เช่น ลดระยะเวลาน้ำขัง การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง เป็นต้น

- การกักเก็บคาร์บอนในดิน เช่น การลดการไถพรวน การปลูกพืชหมุนเวียน ใส่วัสดุอินทรีย์ และกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพ

- การทำเกษตรแบบยั่งยืน เน้นระบบการผลิตทางการเกษตรและวิถีเกษตรกรรมที่มีความสมดุลทั้งสามด้านคือด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม

  1. ด้านกระบวนการทางอุตสาหกรรม
  • การใช้เทคโนโลยีในการลดการปล่อย CO2 ในกระบวนการผลิต
  • การจัดการมีเทน (CH4) ในกระบวนการผลิตภาคอุตสาหกรรม
  • จัดการน้ำเสียอุดสาหกรรม โดยเพิ่มการผลิตก๊าซชีวภาพ และนำก๊าซมีเทนมาใช้ประโยชน์
  1. โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG model) เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม 3 ด้านคือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่ม การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการใช้ทรัพยากรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับประเทศไทยหลังเข้าร่วมประชุม COP26 นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ไว้ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 โดยมีการขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศโดยการลด เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้เชื้อเพลิง การใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด

  • ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์สมดุลด้วยการดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในช่วงเวลาที่กำหนด
  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์สมดุลด้วยการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกภายในช่วงเวลาที่กำหนด

Carbon credit คืออะไร

Carbon credit คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือ เป็นใบ รับรองปริมาณความสำเร็จในโครงการลด/กักเก็บ ก๊าซเรือนกระจก จากการดำเนินโครงการ T-VER ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก และได้รับการรับรองจากคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

Carbon Footprint คืออะไร

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ คือ ปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ องค์กร บุคคลและการบริการ ซึ่งสามารถนำไปรับรองเป็น คาร์บอนเครดิต จากทาง อบก.

มีหน่วยเป็น ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tons CO2 equivalent/tCO2eq) สามารถนำไปซื้อขายในตลาด  Carbon market ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (carbon offset/Carbon Neutral) ได้อีกด้วย

ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต

  1. ต้องเข้าใจในกระบวนการดำเนินงานของโครงการ T-VER และวิธีการคำนวณคำนวณคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานที่ อบก. กำหนด
  2. ต้องมีหลักฐานเอกสารแสดงสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือ เอกสารที่ยืนยันได้ว่าเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่นั้น ๆ ยินยอมให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  3. ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของคาร์บอนเครดิตมีความเป็นไปได้ในการซื้อขายเชิงการค้า
  4. ต้องมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการว่าจ้างผู้ประเมินภายนอกเพื่อตรวจสอบความใช้ได้ และทวนสอบปริมาณคาร์บอนเครดิต
  5. กรณีปลูกป่าในพื้นที่ของภาครัฐ เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ผู้ดำเนินโครงการต้องมีความเข้าใจในกฎระเบียบการขออนุญาติใช้พื้นที่เพื่อการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตและระเบียบการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่แต่ละหน่วยงานประกาศกำหนดไว้

  

เอกสารอ้างอิง

  1. เจมส์ ไรท์. (2564). การประชุม GOAL 2021: สภาวะโลกร้อนและสถานการณ์ที่เลือกได้ยากลำบากของระบบอาหาร. AQUA BIZ Magazine, 14 (169), 82-86
  2. ธนัชพร วิระสอน. (2564). ราชมงคลสุวรรณภูมิ ผุดแนวคิดผลิตวัสดุก่อสร้างลดมลภาวะโลกร้อน. มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน, 34 (757), 47
  3. ชเนษฎ์ ม้าลำพอง. (2562). การปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนทานต่อสภาพอุณหภูมิสูงเพื่อรองรับผลจากสภาวะโลกร้อน. เกษตรอภิรมย์, 5 (26), 47-50
  4. สาวบางแค 22, นามแฝง. (2562). นวัตกรรมพลังงานทางเลือกสู้โลกร้อนผลงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน, 31 (696), 102-104
  5. อนัญญา นิตย์ใหม่. (2562). เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน, 31 (700), 66-70
  6. แอนนา เขียวชอุ่ม. (2558). ปลูกต้นไม้ ช่วยลดโลกร้อนได้ยังไงนะ. กรุงเทพฯ: องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
  7. อรพรรณ วิเศษสังข์. (2557). ภาวะโลกร้อนกับอาการผิดปกติในพืช. เคหการเกษตร, 38 (7), 168, 173-176
  8. รัฐชา ชัยชนะ. (2557). ผลกระทบของปรากฏการณ์โลกร้อนต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด. วารสารสิ่งแวดล้อม, 18 (1), 45-51
  9. สมเกียรติ อภิพัฒนวิศว์. (2561). สาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ ENSO กับปริมาณฝนในประเทศไทยไม่คงเส้นคงวา. ชลสาร, 6 (1), 70-75
  10. ปิยพงษ์ ทองดีนอก. (2559). ผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาที่มีต่อปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิและปริมาณน้ำท่าเพื่อเป็นแนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำสำหรับการเกษตรอย่างยั่งยืน. วารสารเกษตรพระวรุณ, 13 (1), 1-13
  11. ฤทัยชนก จริงจิตร. (2557). หรืออินเดียมีโอกาสจะเสียแชมป์เพราะเอลนีโญ่. ข้าวไทย, 7 (43), 85-87
  12. La Nina-ลานีญา. (2541). https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/june22/la_nina.htm
  13. La Niña is Over, El Niño is Coming. (2023). https://risc.in.th/knowledge/la-nia-is-over-el-nio-is-coming
  14. WMO Update: Prepare for El Niño. (2023). https://public.wmo.int/en/media/press-release/wmo-update-prepare-el-ni%C3%B1o
  15. เข้าใจดัชนีสมุทรศาสตร์ (แบบเร่งด่วน). https://tiwrm.hii.or.th/current/2020/drought2019/drought2019/oceanIndex1.pdf
  16. Global temperatures set to reach new records in next five years. (2023). https://public.wmo.int/en/media/press-release/global-temperatures-set-reach-new-records-next-five-years
  17. ความรู้ด้านก๊าซเรือนกระจก. http://www.tgo.or.th/2020/index.php/th/page/ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก-319
  18. แนวทางการประเมินประสิทธิภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Local Performance Assessment : LPA) เรื่อง รายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก. (2561). http://conference.tgo.or.th/download/tgo_or_th/Article/2018/GHG_LPA.pdf
  19. T-VER คืออะไร. (2559). https://ghgreduction.tgo.or.th/th/about-tver/t-ver.html
  20. SDG Vocab | 06-Sustainable Agriculture -เกษตรกรรมยั่งยืน. (2565). https://www.sdgmove.com/2021/05/15/sdg-vocab-06-sustainable-agriculture/
  21. CCUS เทคโนโลยีที่กำลังเติบโตเพื่อการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์. (2563). http://www.tgo.or.th/2020/index.php/th/post/ccus-เทคโนโลยีที่กำลังเติบโตเพื่อการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์-315

 

 

 

 


แหล่งที่มา

ฝ่ายสารสนเทศ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู