“รสสัมผัสแรกเลยคือ อารมณ์กินปลากรอบ หอม! และมีรสต่าง ๆ ให้เลือกได้ ต้มยำ สาหร่าย บาร์บีคิว และธรรมชาติ เป็นของกินเล่นกรอบ ๆ เพลินหรือปรุงเมนูยำก็อร่อยอีกแบบ ซึ่งเวลาไปออกบูธที่กรุงเทพฯ จะได้รับความสนใจ ขายดี สายเฮลตี้ชอบมาก”
จากดอกอัญชันเกษตรอินทรีย์ที่เน้นการตากแห้งเพื่อส่งขาย ช่วงเมื่อหลายปีก่อนถึงตอนนี้ “คุณแอน-ภัทราพร ประพันธ์” แกนนำกลุ่มและเจ้าของผลิตภัณฑ์ “อัญชันอบกรอบปรุงรส” จากวิสาหกิจชุมชนต้นน้ำวัง อ.วังเหนือ จ.ลำปาง บอกว่า การผลิตที่ยังคงแนวทางเกษตรปลอดภัยอยู่เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือ การพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์แปรรูปโดยเฉพาะขนม หรืออัญชันอบกรอบปรุงรส ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่มาจากความบังเอิญช่วงหน้าฝนการทำตากแห้งโดยอาศัยแสงแดด อุปสรรคสำคัญทำให้ไม่สามารถผลิตตามสเปกของคนซื้อได้ สถานการณ์ราคาที่เริ่มผันผวน หนำซ้ำยังมีปัญหาเรื่องการเกิดเชื้อราเข้าทำลายอีกด้วย จึงลองหาวิธีการแปรรูปเพิ่มมูลค่าขึ้นมาทดแทน
“ด้วยความที่เสียดายของ ช่วงนั้นเป็นหน้าฝนไม่ค่อยจะมีแดดให้ตากผลผลิต เริ่มเกิดปัญหาเรื่องเชื้อราตามมา ก็เลยลองนำมาอบ ก็ใช้หม้ออบลมร้อนเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในครัว ปรากฏว่าพออบแล้วในช่วงแรกจะมีกลิ่นเหม็นเขียวอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นกลิ่นจะหอม อารมณ์แบบกินปลากรอบแทน ลองกินแบบเปล่า ๆ ดูซิ เอ้อมันก็อร่อยดีนะ! พอดีตอนนั้นเห็นหลานกำลังกินมันฝรั่งทอดรสสาหร่ายอยู่ก็เลยได้ไอเดีย ไปหาซื้อผงคลุกรสเดียวกันมาลองใส่ดูบ้าง ให้หลานชิม ปรากฏว่าเด็กไม่ชอบกินผักเลยก็กินได้! และยังบอกด้วยว่าอร่อย! จากจุดเริ่มต้นตอนนั้นมาก็เลยเดินหน้าพัฒนาเรื่องการทำขนมเพิ่มมาเรื่อย ๆ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นด้วย”
ก่อนโควิดขายดีมาก ได้รับความสนใจจากทัวร์จีน ตอนที่ตัดสินใจเริ่มปลูก “อัญชัน” เป็นครั้งแรก ช่วงนั้นประมาณปี 2561 เพราะว่ามีน้องที่รู้จักกันเขาทำงานอยู่ที่โครงการหลวง มาชวนให้ปลูกและส่งขายผลผลิตแห้งกับเขาได้โดยตรง แต่มีเงื่อนไขคือต้องทำแบบเกษตรอินทรีย์เท่านั้น การตากแห้งโดยวิธีธรรมชาติ (ใช้แสงแดด) และมีราคาการรับซื้อผลผลิตให้อยู่ที่ 300 บาท/กก. ตนเห็นว่าเป็นอาชีพเสริมที่น่าสนใจก็เลยชักชวนชาวบ้านให้มาร่วมกลุ่มฯ การลงทุนด้านการผลิตทุกอย่างรับผิดชอบเอง ส่วนชาวบ้านซึ่งจะเป็นคนแก่ที่อยู่ว่าง ๆ ก็ให้มาช่วยเป็นแรงงานเก็บดอกอัญชัน โดยมีค่าจ้างให้ตามน้ำหนัก กิโลกรัมละ 20 บาท ซึ่งพอสถานการณ์ราคารับซื้อเริ่มผันผวนประกอบกับมองเห็นช่องทางใหม่คือการขายขนมที่ลองทำขึ้นมาดู โดยมีเพื่อน ๆ ที่เปิดร้านขายของฝากอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวแถวเวียงป่าเป้า-แม่กำปอง ช่วงนั้นก่อนโควิดจะมามีทัวร์จีนที่เข้ามาท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ตอนแรกที่ฝากขาย “ชาอัญชัน” อยู่ก่อนก็ลองเสริม “อัญชันอบกรอบปรุงรส” ไปขายด้วย มีรสต่าง ๆ ให้เลือกตามผงคลุกรส อาทิ ต้มยำ สาหร่าย บาร์บีคิว รสลาบ หมาล่า รสชีส ฯลฯ ใส่ในซองเล็ก ๆ ขนาดบรรจุ 5 กรัม ตั้งราคาขายปลีกไว้คือ 25 บาท ก็ปรากฏขายดีมาก รสที่คนจีนชอบจะออกแนวจัดจ้านคือ ต้มยำ สาหร่าย และบาร์บีคิว ส่วนบางรส เช่น รสลาบและหมาล่า คนจีนกลับไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร การขายขนมในช่วงนั้นยังคงเป็นแบบครัวหลังบ้านทำง่าย ๆ อยู่
OTOP บ้าน ๆ ที่พัฒนาสู่สินค้านวัตกรรม จนกระทั่งพอเกิดโควิด-19 ขึ้นมา ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักทันที ทั้งตลาดการค้าการขาย และทัวร์จีนก็หายไปด้วย ตอนนั้นการผลิตก็เลยได้แค่เพียงทำแห้งเพราะยังสามารถขายเรื่อย ๆ ราคามีช่วงถูกช่วงแพงบ้างก็ตามสถานการณ์ที่พอทำได้ไปก่อน และเริ่มมาขยับใหม่อีกครั้งเมื่อสถานการณ์โควิดมีการคลายมาตรการเพื่อผ่อนปรนให้คนออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้บ้าง แนวคิดเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ก็เลยเริ่มขึ้นอีกจากตอนนั้น ไปหาผู้รู้เข้าไปถาม รวมทั้งเสาะแสวงหาแหล่งเพื่อการฝึกฝนวิชาเพิ่มพูนความรู้ สมัครเข้าโครงการต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนที่เปิดกว้างให้แก่ผู้ประกอบการเข้าไปฝึกฝนและพัฒนา เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ตนเองยังขาด ตอนนั้นก็เดินสายไปพิชชิ่งในหลาย ๆ เวทีเพื่อแสวงหาความรู้และหาทุนด้วย ก็ได้ความช่วยเหลือจากทาง สสว. เป็นอย่างดี มีโอกาสได้นำสินค้าไปออกงานที่กรุงเทพฯ และเริ่มเรียนรู้ได้ว่าทิศทางการตลาดของอาหารเพื่อสุขภาพกำลังเป็นที่สนใจและต้องการของผู้บริโภค
การพัฒนาสินค้าเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตามฐานความรู้ใหม่ที่ออกไปเสาะแสวงหาเพิ่มมา จนถึงช่วงปี 2564 ตอนนั้นก็ได้เข้าโครงการ “คูปองโอทอป” ของกระทรวง อว. ด้วยหลังจากที่ผ่านการคัดเลือกเข้าไปแล้ว คราวนี้ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเรียกว่า OTOP บ้าน ๆ ให้กลายเป็นสินค้าเชิงนวัตกรรมที่สามารถไปต่อด้านการตลาดได้อย่างไม่มีขีดจำกัดใด ๆ มาขวางกั้นอีกแล้ว เพราะมีทีมนักวิชาการเข้ามาช่วยดูให้ทั้งในเรื่องของกระบวนการผลิต อาทิ การอบแห้งต้องใช้อุณหภูมิเป็นอย่างไรเพื่อช่วยเก็บรักษาคุณค่าทางยาของสารสำคัญเอาไว้ให้ยังมีอยู่ได้มากที่สุด การควบคุมเรื่องความชื้นก่อนการแพ็คบรรจุซองเพื่อช่วยเก็บรักษาความกรอบให้อยู่ได้นาน รวมถึงขนาดบรรจุต่อ1 เสิร์ฟที่เหมาะสม/แนะนำต่อคนต่อวัน การวิเคราะห์สารสำคัญหรือคุณค่าทางโภชนาการของสินค้าที่จำเป็นต้องมีแสดงไว้บนซองหรือฉลากบรรจุภัณฑ์ด้วย และที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมี อย. และการรับรองมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
นอกจากนี้ ในส่วนของแปลงผลิตซึ่งเป็นต้นทางของวัตถุดิบหลักที่นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ก็มีการปรับในเรื่องของ “สายพันธุ์” ใหม่โดยใช้พันธุ์อัญชันของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร ซึ่งมีการศึกษาวิจัยมาแล้วว่ามีปริมาณของสารสำคัญ (แอนโทไซยานิน) ที่เป็นประโยชน์ในเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ และยังตอบโจทย์การผลิตในเรื่องของผลผลิตต่อไร่ที่คุ้มค่าอีกด้วย มีการขอรับรองมาตรฐานการผลิต Organic Thailand
สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตเกษตร จากเดิมที่ขายผลผลิตแบบแห้ง ราคารับซื้อที่ผันแปรไปตามกลไกของตลาดยากต่อการควบคุมได้ คุณแอนบอกว่าตอนนี้ทางกลุ่มฯ เองสามารถที่จะขายแบบแห้ง แต่ว่าได้ราคาที่คุ้มค่ามากขึ้นกว่า จากการที่มีมาตรฐาน Organic Thailand รับรองซึ่งปัจจุบันราคาจำหน่ายที่ได้จะอยู่ที่ 550 บาท/กก. เป็นราคาที่สามารถจำหน่ายได้เองโดยตรง และยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปอีกได้แก่ อัญชันอบกรอบปรุงรส มี 4 รสชาติให้เลือก ต้มยำ สาหร่าย บาร์บีคิว และรสธรรมชาติ ขนาดบรรจุ15 กรัม/ซอง ในราคาขายปลีกซองละ 59 บาท ซึ่งปริมาณในการบรรจุนี้ก็มีความสำคัญมากเพราะว่ามีสารสำคัญ (แอนโทไซยานิน) ที่อาจส่งผลกระทบต่อคนป่วยโรคไตและโลหิตจางได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคำนึงเรื่องปริมาณที่เหมาะสม/แนะนำต่อวัน (ไม่ควรเกินจากนี้) เพื่อให้แก่ผู้บริโภคได้ทราบด้วย รวมถึงมีชาอัญชัน และชาดอกดาวเรือง (สายพันธุ์เฉพาะ) จำหน่ายควบคู่ด้วย มีผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นนวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาด้วยคือ “ผงโรยข้าว” ไอเดียได้มาจากทาง มช. ในระหว่างที่มีการออกไปนำเสนอผลงาน มีส่วนผสมของ “อัญชันกับดาวเรือง” ที่ปลูกเองและมีธัญพืชต่าง ๆ ที่ผสมอยู่ข้างในเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติ ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ตอบโจทย์สำหรับกลุ่ม “วีแกน” ได้
ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพ คุณแอนยังบอกด้วย ทุกครั้งที่มีการนำสินค้าไปออกบูธที่กรุงเทพฯ จากการได้รับเชิญไปของหน่วยงานต่าง ๆ ที่จัดงานขึ้น อย่างเช่น มีครั้งหนึ่งที่ไปงานของธนาคารออมสินปรากฏว่าก็เตรียมของสำหรับขาย โดยกะว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับงานที่มีการจัด 4 วัน แต่สรุปคือ ของขายหมดเกลี้ยง! ตั้งแต่เปิดได้ 2 วันแรกแล้ว ซึ่งสังเกตว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นคนทำงานออฟฟิศที่มาเดินและเลือกซื้อของในงาน และพอเขาได้ลองชิมเป็นครั้งแรกแล้วมีหลายคนที่กลับมาซื้อซ้ำด้วย ทำให้เห็นได้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักของสินค้านี้ก็คือคนเมืองและเป็นกลุ่มที่สนใจเรื่องการรักษาสุขภาพ เพราะจะเป็นอะไรที่มีการปรุงแต่งที่น้อยที่สุด โดยเน้นรสที่เป็นธรรมชาติเป็นหลัก อีกทั้งยังได้ไอเดียมาจาก “เชฟ” ด้วยตอนไปออกงานได้มีการนำอัญชันอบกรอบฯ ไปสาธิตการทำเมนูแบบยำแล้วปรากฏพอใครได้ลองชิม ต่างบอกว่าอร่อยและติดใจในรสชาติที่แปลกใหม่ ก็เลยนำมาใช้เพื่อแนะนำกับลูกค้าด้วยเวลามาซื้อก็จะบอกว่าอัญชันอบกรอบฯ ยังทำเป็นอาหารได้ด้วยนะ โดยเฉพาะเมนูยำ ที่นอกจากเป็นของกินเล่นกรอบ ๆ เพลินแล้ว
ซึ่งจากกำลังการผลิตในปัจจุบันคุณแอนบอกว่า สามารถเก็บดอกอัญชันสดจากแปลงได้วันละกว่า 100 กก.บนพื้นที่ผลิตเพียง 1 ไร่เท่านั้น และเมื่อผ่านการแปรรูปตากแห้งแล้วคิดเป็นน้ำหนักที่ได้จะอยู่ราว ๆ 10 กก. (แห้ง) ต่อวัน ในปีนี้ยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มอีก 3 รายการด้วย คือ เบอร์เกอร์จิ้งหรีด (ข้าวเหนียวอัญชัน) เยลลี่อัญชันมะนาว แก้วมังกร และยังมี Snack Bar ที่ต่อยอดมาจากผงโรยข้าวเดิมนำมาอัดแท่งเพื่อเป็นโปรตีนทางเลือกสำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพ
ทั้งนี้ หากใครสนใจผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมา คุณแอนฝากบอกด้วยว่ามีส่วนลด 30% ตามจำนวนการสั่งซื้อต่อครั้งที่กำหนดให้อีกด้วย สอบถามเพิ่มเติมโทร. 08 3152 2292