บัวหลวง: พืชกินได้ อาหารเป็นยา และชาดอกบัวหลวง
รู้จักบัวหลวง
บัวหลวง หรือ Sacred lotus เป็นพืชน้ำในวงศ์ Nelumbonaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Nelumbo nucifera Gaertn. เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปี
ถิ่นกำเนิด: เอเชียเขตร้อนและกึ่งร้อน มี 5 พันธุ์ แบ่งตามสีและลักษณะดอกคือ
- พันธุ์ดอกสีชมพู มีดอกขนาดใหญ่ หรือเรียกว่า หรือบัวหลวงชมพู ปทุม ปัทมา โกกระณต
- พันธุ์ดอกสีขาว มีดอกขนาดใหญ่หรือเรียกว่า หรือบัวหลวงขาว บุณฑริกบัวหลวงขาว บัวแหลมขาว ปุณฑริก
- พันธุ์ดอกเล็กสีชมพู มีชื่อเรียกว่า บัวเข็มชมพูบัวไต้หวัน บัวปักกิ่งชมพู บัวหลวงจีน
- พันธุ์ดอกซ้อนเล็กสีชมพู มีชื่อเรียกว่า บัวสัตตบงกชบัวฉัตรแดง บัวหลวงป้อมแดง
- พันธุ์ดอกซ้อนใหญ่สีขาว มีชื่อเรียกว่า บัวฉัตรขาวบัวสัตตบุษย์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ลำต้น: มีเหง้าใต้ดิน ในโคลนถึง 5-15 ซม. ที่ข้อส่วนบนมีตาที่จะให้กำเนิดใบ และดอก ส่วนล่างมีรากเป็นระบบรากฝอยออกจากข้อ มีปล้องทอดตามดินยาวประมาณ 16-20 ซม.
ใบ: ใบมีรูปร่างเกือบกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 15-40 ซม. ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านล่างของใบมีสีเขียวนวล เห็นเส้นใบชัดกว่าด้านบน
ก้านใบ: ก้านใบแข็ง อวบ ชูเหนือน้ำ มีหนามขนาดเล็กสีน้ำตาลแดง ก้านใบมีสีเขียว มีน้ำยางสีขาว ก้านใบติดกับตัวใบทางด้านใต้ตรงกลางใบ
ก้านดอก: ลักษณะยาวชูขึ้นเหนือน้ำ ก้านดอกมีสีและลักษณะเหมือนก้านใบ
ดอก: มีลักษณะดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน สีขาวหรือสีชมพู กลีบดอกใหญ่ กลางดอกมีฐานรังไข่และเกสรจำนวนมากและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตอนเช้าหรือกลางคืน ดอกประกอบด้วย
- กลีบนอก มี 4-5 กลีบ ขนาดเล็กเรียงตัว 2 ชั้นสับหว่างกัน
- กลีบใน มี 12-14 กลีบ เรียงเป็นชั้น ๆ ประมาณ 3 ชั้นอยู่รอบฐานรองดอก สำหรับบัวหลวงชมพูจะมีสีชมพูเข้มที่ปลายกลีบมากกว่าส่วนอื่น ๆ
- เกสรตัวผู้ มีจำนวนมากประมาณ 90-120 อันอยู่เหนือกลีบชั้นในโดยเรียงติดรอบฐานรองดอก เกสรตัวผู้มีกลิ่นหอมประกอบด้วยก้านชูเกสรเรียวเล็กสีเหลืองนวล ตอนบนมีอับเรณูสีเหลืองสดติดตามความยาวของแกน เหนืออับเรณูขึ้นไปจะมีส่วนปลายสีขาวขุ่นเล็กเรียว
- เกสรตัวเมีย มีรังไข่อยู่สูงกว่าชั้นของเกสรตัวผู้ประกอบด้วยคาร์เพล 12-35 คาร์เพล อยู่แยกกันโดยยังอยู่บนฐานรองดอกรูปกรวยสีเหลือง ก้านชูเกสรตัวเมียสั้นมาก ยอดเกสรตัวเมียแบนกลมสีเหลือง เป็นมันแข็ง แต่ระรังไข่มีไข่อยู่ 1 ใบ
- ผล เกิดจากฐานรองดอกที่รองรับรังไข่ เป็นผลแบบผล (aggregate fruit) มีสีเขียวเข้ม ผลย่อยแต่ละผลเป็นแบบมีเปลือกหนาสีเขียว ผลจะชูเหนือน้ำ
- เมล็ด มีเปลือกหุ้มหนาแต่นิ่ม ภายในมีใบเลี้ยงขนาดใหญ่ 2 ใบและต้นอ่อน 1 ต้น
การปลูกบัวหลวง
จากงานวิจัยต้นทุนและผลตอบแทนในการลงทุนปลูกบัวหรือทำนาบัวในฤดูกาลต่าง ๆ พบว่า ผลตอบแทนที่ได้จะแตกต่างกันโดยการทำนาบัวในฤดูร้อนมีผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนในฤดูฝนกับฤดูหนาว
บัวหลวงนิยมขยายพันธ์ด้วยเหง้า ไหล หรือต้นอ่อน
พื้นที่ปลูก: พื้นที่ที่เหมาะสมควรเป็นที่ราบสม่ำเสมอ อยู่ใกล้แหล่งน้ำ ดินเป็นดินเหนียว
การเตรียมดินปลูก: ควรเอาปุ๋ยคอกผสมกับดินให้ดีใส่ลงในพื้นที่นั้นกดให้แน่น หลังจากนั้นใส่ดินธรรมดาปิดทับหน้า นำต้นอ่อนของบัวซึ่งมีทั้งรากและใบมาลงปลูกให้ห่างกันยอดละประมาณ 2 ฟุต กดดินรอบ ๆ ให้แน่น แล้วจึงระบายน้ำเข้าสู่พื้นที่ให้ยอดของต้นอ่อนโผล่พ้นน้ำประมาณ 50 ซม. หลังจากนี้ 15 วัน จึงระบายน้ำเข้าสู่พื้นที่ให้ความสูงของน้ำลึกประมาณ 73-107 ซม.
การทำนาบัว (กองส่งเสริมพืชสวน)
การเตรียมพื้นที่: โดยการระบายน้ำออกให้แห้ง ยกคันดินโดยรอบพื้นที่ให้สูงประมาณ 1.5 เมตร พื้นที่ควรมีขนาด 5-50 ไร่ หรือทำเป็นแปลงใหญ่ขนาด 50-100 ไร่
-ปรับพื้นที่ให้เรียบ ไถดะ โรยปูนขาวตากแดดทิ้งไว้ 7-15 วัน แล้วไถแปรอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเติมปุ๋ยคอกเก่า เช่น มูลไก่ มูลโค ประมาณไร่ละ 200 กิโลกรัม
- ระบายน้ำเข้าให้สูงจากพื้นประมาณ 15 ซม. ทิ้งไว้ 3-5 วัน ให้ดินอ่อนตัว แล้วจึงปักดำ
-ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 2 x 2 เมตรในพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้ไหลบัว
ประมาณ 400 ไหล
วิธีการปลูกมี 2 วิธี คือ
- การปลูกโดยใช้ไม้คีบ: เหลาไม้ไผ่ให้มีความหนากว่าตอกเล็กน้อยยาวประมาณ 1 ฟุตโค้งงอตรงกลาง คีบไหลบัวตรงส่วนของข้อแล้วปักลงให้ไหลบัวติดอยู่กับผิวดิน
- การปลูกโดยวิธีใช้ดินหมก: ใช้กับนาบัวที่บังคับระดับน้ำได้ โดยปล่อยน้ำให้งวด ขุดดินเป็นร่องลึกประมาณครึ่งฝ่ามือวางไหลบัวลงไปใช้ดินกลบไหลบัวโดยเว้นตาเอาไว้แล้วจึงเริ่มเปิดน้ำเข้า
การดูแลรักษา
- การให้น้ำ
- หลังจากปลูกเดือนแรก ควรรักษาระดับน้ำให้ขังอยู่ในแปลงลึกประมาณ 30 ซม.
- หลังจากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลงอีกให้ลึกประมาณ 50 ซม. และลึกไม่เกิน 100 ซม.
- การใส่ปุ๋ย
- เมื่อบัวเริ่มตั้งตัวและแตกใบใหม่ ให้ปุ๋ยสูตร 16-20-0 หรือ 15-15- 15 ในอัตราไร่ละ 50 กิโลกรัม โดยหว่านลงไปให้ทั่วแปลง
- ถ้าปลูกในพื้นที่ที่ควบคุมระดับไม่ได้ ควรใส่ปุ๋ยลูกกลอนโดยการนำปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0 ประมาณ 1 ช้อนชา บรรจุลงดินเหนียวปั้นดินเหนียวหุ้มให้เป็นก้อนแล้วผึ่งลมให้แห้ง เมื่อต้องการจะใส่ปุ๋ยบัวก็ฝังลูกกลอนไว้ที่โคนต้น ๆ ละ 2 ลูก
การเก็บเกี่ยวดอก
- บัวจะเริ่มให้ผลผลิตดอกตูมหลังจากปลูก 3 เดือน โดยทั่วไปเกษตรกรเก็บดอกวันเว้นวัน ยกเว้นในฤดูหนาว เก็บวันเว้น 2 วัน
- การเก็บดอกจะเก็บในระยะที่ดอกยังตูม โดยตัดให้มีก้านดอกยาว 40-50 เซนติเมตร คัดขนาดแล้วนำมาจัดเป็นกำ กำละ 10 ดอก การจัดต้องจัดเรียงให้เห็นดอกทั้ง 10 ดอก หลังจากนั้นจึงห่อด้วยใบบัว หลังจากเก็บเกี่ยวดอกเป็นเวลา 3-4 เดือน ต้นบัวจะเริ่มโทรม ผลผลิตลดลง
- วิธีบังคับให้ไหลแตกต้นใหม่โดยระบายน้ำออกจากนาให้แห้ง แล้วใช้รถแทรกเตอร์ลงไปไถตะเพื่อลดความหนาแน่นของต้นบัว หรืออาจใช้ลูกขลุกทุบ แล้วปล่อยน้ำเข้าในแปลงอีกครั้ง บัวจะเริ่มแตกยอดใหม่ และสามารถเริ่มเก็บดอกได้ในเวลา 2-3 เดือน
การเก็บเกี่ยวฝักแก่
เมื่อบัวอายุประมาณ 3-4 เดือน จะเริ่มเก็บฝักได้ ฝักแก่จะสังเกตได้จากฝักปลายเมล็ดเริ่มแห้งเป็นสีเทา หรือสีดำ หากปล่อยให้แห้งทั้งฝักเมล็ดจะหลุดจากขั้วร่วงง่าย ระยะเวลาตั้งแต่ดอกตูม ถึงเก็บฝักได้ประมาณ 40-50 วัน บัวจะให้ผลผลิตนานราว ๆ 3-4 เดือน จากนั้นจะเริ่มโทรม
ข้อควรระวัง/ปัจจัยสภาพแวดล้อม
- ไม่ควรปลูกบัวในบ่อที่มีปลา เพราะปลาจะกัดกินในบัว ดึงเหง้า
บัวให้ลอยน้ำ
- ระดับน้ำ ไม่ควรลึกเกินไป คือเกินกว่า 73-170 ซม. หรือน้ำตื้นเกินไปทำให้บัวออกดอกน้อย
- บัวหลวงชอบแดดจัด ควรได้รับแสงแดดไม่ควรต่ำกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน
- การแตกกอมากเกินไป จะทำให้บัวออกดอกน้อยลง
- สาหร่ายและวัชพืชรบกวน มีผลต่อการเจริญขึ้นมาบนผิวน้ำ
- น้ำเสีย บัวหลวงเป็นพืชที่ชอบน้ำนิ่ง แต่มีการไหลถ่ายเทได้และ
ต้องการน้ำที่มีความเป็นกรดด่าง ประมาณ 7.45
โรคพืช
จากการสำรวจโรคพืช พบว่าเกิดจากเชื้อรา (Alternaria alternate, Corynespora cassiicola, Curvularia lunata) และแบคทีเรีย เช่น โรคใบจุดไหม้ โรคเน่าดำ โรคใบเน่าและโรคใบเน่าเละ
แมลงศัตรูพืช
- 1. เพลี้ยแดง เข้าทำลายช่วงในปลายฤดูหนาวเข้าต้นฤดูร้อน
- 2. หนอนผีเสื้อ กัดกินใบบัว
- หนอนกระทู้ผัก /Common cutworm (Spodoptera litura)
- 4. หนอนม้วนใบของผีเสื้อกลางคืน (leaf-rollerworm) เข้าทำลายส่วนต่าง ๆ ของบัวหลวง ได้ทุกส่วน
- ปูนา (Esanthelphusa spp.) เข้ากัดกินส่วนปลายยอดของลำต้นใต้ดินและใบอ่อนในฤดูแล้ง
- หอยเชอรี่ (Pomacea canaliculata) จะกัดกินใบอ่อนและดอกอ่อนที่อยู่ภายใต้ผิวน้ำและจะระบาดมากในช่วงฤดูฝน รอยเมือกของหอยเชอรี่ที่เดินบนส่วนอ่อนของบัวหลวงจะทำให้บริเวณนั้นโดนทำลาย
- เพลี้ยอ่อน 3 ชนิด ได้แก่ เพลี้ยอ่อนฝ้าย (Aphid gossypii) เพลี้ยอ่อนดำถั่ว (Aphis craccivora) และ เพลี้ยแป้ง (Planococcus lilacinus)
- เพลี้ยไฟพริก (Scirtothrips dorsalis)
- ไร (Tetranychus sp.) เป็นศัตรูสำคัญที่สามารถเข้าทำลายได้หลายส่วนของบัวหลวง
- แมลงค่อมทอง (Hypomeces squamosus) จะกัดกินทั้งใบอ่อนและใบแก่ของบัวหลวง
- ด้วงกุหลาบ (Adoretus compressus)
- แมลงกระชอน (Gryllotalpa africana) แมลงกระชอนระบาดมากในช่วงฤดูแล้งโดยจะไปกัดกินบริเวณลำต้นและก้านใบทำให้ใบของบัวหลวงเหี่ยวแห้งลดการเจริญเติบโต
ประโยชน์ของบัวหลวง
- ใช้เป็นอาหารจากส่วนต่าง ๆ เช่น ฝัก เมล็ด ดอก เกสร เส้นใย ราก
- กลีบดอกทั้งขาวและชมพู สามารถนำไปชุบแป้งทอดจิ้มซอสพริก
- เหง้าบัว
-นำมาเป็นอาหารประเภทผัก เช่น ทำเป็นผักสลัด เป็นผักดิบจิ้มน้ำพริกและหลนได้
-ใช้ต้มกับน้ำตาลกรวดเป็นยาแก้ร้อนในและยาบำรุงกำลัง
-นำมาเชื่อมแห้งแบบมะตูมเชื่อม
- ราก เอาไปต้มน้ำตาลหรือเชื่อมได้
- ใบอ่อน ใช้รับประทานเป็นผัก
- ผลใช้รับประทานขณะยังอ่อนอยู่เรียกว่า ฝักบัว
- เมล็ดแก่ตากแห้ง และกะเทาะเปลือกออกแล้วใช้ทำขนม เช่น เมล็ดบัวฉาบ เมล็ดบัวเบียก ตะโก้เมล็ดบัว และขนมอื่น ๆ
- ใช้เป็นสมุนไพร จากส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- เหง้าบัว สามารถนำไปทำเป็นยาแก้ท้องร่วง
- กลีบดอก ใช้เป็นยาฝาดสมาน เกสรดอกมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ
- ชาวมาเลเซียใช้กลีบดอกชั้นในตำพอกแก้โรคซิฟิลิส ชาวชวาใช้แก้ท้องร่วง
- กลีบในของบัวหลวงมักจะใช้เป็นยาแก้โรคท้องร่วง แก้ไข้
- เกสรตัวผู้ของดอกบัวหลวงมีกลิ่นหอม นิยมใช้เข้าเป็นยาไทยใช้ทำยาหอมบำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ชูกำลัง แก้ลมวิงเวียน ทำให้จิตใจชุ่มชื่น
- การใช้ประโยชน์อื่น ๆ
- ใบแก่ ใช้ห่อของแทนใบตอง เช่น ข้าวห่อใบบัว
- กลีบในดอกบัวหลวง สามารถนำไปตากแห้งใช้มวนบุหรี่ได้ หรือใช้ทำเครื่องสำอาง
- ดอกบัวหลวงใช้ประดับในงานศาสนา
- ก้านบัวหลวงใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตสิ่งทอ การผลิตเส้นใยและผลิตภัณฑ์แปรรูป
- น้ำมันเกสรบัวสามารถนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ลูกกลิ้งเกสรบัว
คุณค่าทางอาหารของบัวหลวง
เหง้าบัวและเมล็ดบัวเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรทและโปรตีนที่สำคัญ
องค์ประกอบทางเคมีในเหง้าของบัวหลวง มีดังนี้
น้ำ 84.26 %
ไขมัน 0.19 %
โปรตีน 1.57 %
แป้ง 7.71 %
เส้นใย 0.76 %
น้ำตาล 0.33 %
องค์ประกอบทางเคมีของเมล็ดบัวหลวง มีดังนี้
น้ำ 8.72 %
โปรตีน 16.64 %
ไขมัน 2.96 %
แป้ง 40.63 %
น้ำตาล 9.55 %
เส้นใย 2.95 %
ชาดอกบัวหลวง
พฤศจิกายน 2565 นี้ ฤดูหนาวเริ่มเข้ามาแล้ว ขอแนะนำการทำชาดอกบัวหลวงเพื่อสุขภาพกัน ซึ่งคนไทยสมัยโบราณใช้กสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรทั้งห้า เกสรทั้งเจ็ด และเกสรทั้งเก้า โดยสรรพคุณทางยาของดอกบัวและเกสรบัวหลวงคือใช้บำรุงหัวใจ แก้ไข้ตัวร้อน แก้อ่อนเพลีย ขับโลหิต ขับเสมหะ แก้จุกเสียด และแก้ท้องเสีย เป็นต้น
วิธีการชงชา: นำเกสรดอกบัวหลวงที่ยังสดหรือจะใช้ชนิดแห้งก็ได้ 1 หยิบมือชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงดื่มในขณะที่ยังชายังอุ่น ๆ อยู่ ควรดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้น
สารเคมีที่พบในดอกบัวหลวงมีดังนี้
Quercetin, Luteolin, Isoquercitrin, Glucoluteolin, N-triancontanol, Alpha-amyrin, Lupeol, Beta-sitosterol, Amino acids-lysine, Proline, Hydroxylproline, Beta-phenylalanine, Arginine, Kaempferol-3-glycoside anonaine, Lotusine, Neferine, Beta-sitosterol-glycopyranoside
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและความเป็นพิษ
ผลการทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าว่าดอกบัวหลวงมีฤทธิ์ลดระดับไขมันและระดับน้ำตาล นอกจากนี้ส่วนอื่น ๆ ของบัวหลวง เช่น เหง้าบัว มีฤทธิ์ลดไข้ แก้ร้อนใน แก้อักเสบ และใบบัวมีฤทธิ์ในการลดความอ้วนเป็นต้น สำหรับการทดสอบความเป็นพิษพบว่า สารสกัดเกสรบัวหลวงไม่ก่อให้เกิดความเป็น พิษใด ๆ
เอกสารอ้างอิง
- อักษร ศรีเปล่ง. (2522). บัวหลวง. ข่าวสารเกษตรศาสตร์, 24(4), 27-32.
- เชื้อ ว่องส่งสาร. (2535). บัว. สาส์นไก่และการเกษตร, 40(6), 5-6.
- ดวงรัตน์ กาญจนเจริญ, ดุษฎี สงวนชาติ และ สมเพียร เกษมทรัพย์. (2533). ต้นทุนและผลตอบแทนจากการทำนาบัวตัดดอก. วิทยาสารเกษตรศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์, 11(1), 26-31.
- นภัสชญา เกษรา และคนอื่นๆ. (2564). การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของตํารับกลีบบัวแดงในผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, 19 (1), 34-48.
- จินตน์กานต์ งามสุทธา. (2555). ก้านบัวหลวง สู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ. จดหมายข่าวผลิใบ, 15 (7), 2-6.
- ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์. (2557). ขาวหอมสงขลา มหัศจรรย์น้ำมันเกสรบัว. นิตยสารสร้างเงิน สร้างงาน, 10 (122), 107-109.
- (2542). ชาดอกไม้. เกษตรกรรมธรรมชาติ, (7), 30-33.
- ธิดารัตน์ จันทร์ดอน. (2557). ชาดอกไม้. จุลสารข้อมูลสมุนไพร, 31 (3), 2-19.
- บัวหลวง. (2565). (ออนไลน์). สืบค้นจาก https://www.baanlaesuan.com/plants/annual/137835.html [20 ตุลาคม 2565]
- การผลิตเครื่องดื่มคอมบูชาจากรากบัว. (2564). (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://mis.nsru.ac.th/procresearch/ResearchProjectInfo.aspx?res_id=R000000558 [20 ตุลาคม 2565]
- กรมวิชาการเกษตร. การสำรวจศัตรูพืชที่สำคัญของพันธุ์บัวหลวง (ออนไลน์). สืบค้นจาก https://www.doa.go.th/hort/wp-content/uploads/2020/12/การสำรวจศัตรูพืชที่สำคัญของพันธุ์บัวหลวง.pdf [20 ตุลาคม 2565]
- สํานักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. การทำนาบัว (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/flower/nabau.pdf