ข่าวสาร
M12 การเพาะเลี้ยง
4 สิงหาคม 2565
งานวิจัยพบ 'สาหร่ายเตา' อาหารปลามีคุณภาพสูง-แนะส่งเสริมเพาะเลี้ยง

กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) "สาหร่ายเตา" เป็นผลผลิตพลอยได้จากการบำบัดคุณภาพน้ำในการเลี้ยงปลานิล ซึ่งเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยโปรตีน 18.63% ไขมัน 5.21% คาร์โบไฮเดรต 56.31% เส้นใย 7.66% เถ้า 11.78% แร่ธาตุและวิตามิน นอกจากนี้ยังพบกลุ่มสารประกอบฟีโนลิกที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง จึงมีการศึกษาการประยุกต์ใช้สาหร่ายเตาเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลานิล และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสาหร่ายเตาต่อการพัฒนาเป็นแหล่งอาหารและส่วนผสมของอาหารเลี้ยงปลา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงปลาชนิดอื่น ๆ ในอนาคต

คณาธิป คำเพราะ อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมเกษตร และเทคโนโลยี คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาค ตะวันออก กล่าวว่า สาหร่ายนับเป็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการนำมาผสมในอาหารปลา เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยมีลักษณะเป็นเส้นสาย มีสีเขียวอ่อน ถึงสีเขียวเข้ม พบในบริเวณแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป

"ชาวบ้านในแถบพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมนำมารับประทานเป็นอาหาร เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน จึงเห็นว่าการนำสาหร่ายเตาซึ่งมีในท้องถิ่น และหาได้ง่ายมาเพาะเลี้ยงร่วมกับการเลี้ยงปลาน้ำจืด เพื่อช่วยบำบัดของเสียในรูปสารประกอบอนินทรีย์ไนโตรเจน และฟอสฟอรัสภายในบ่อเลี้ยงปลา สามารถเป็นแนวทางหนึ่งในการควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงให้เหมาะสมต่อการเลี้ยงและยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี" คณาธิป กล่าว
ส่วนสาเหตุที่เลือกปลานิลมาทำการวิจัยในครั้งนี้ เพราะปลานิลเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงปลานิลในปี 2560 มีปริมาณกว่า 185,902 ตัน เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเพาะเลี้ยงปลานิลยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก แต่ปัญหาสำคัญ คือวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น จึงมีการศึกษาเพื่อนำพืชที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน

สำหรับขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ นำสาหร่ายเตามาล้างทำความสะอาด จากนั้นอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ประมาณ 24 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะได้ความชื้น 10% นำตัวอย่างไปบด ร่อนผ่านตะแกรง และวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ปริมาณโปรตีน ไขมัน ความชื้น เถ้า เยื่อใย คาร์โบไฮเดรต ตามมาตรฐาน AOAC

โดยนำตัวอย่างสาหร่ายเตาอบแห้งสกัดด้วยตัวทำละลาย ได้แก่ เอทานอล เมทานอล อะซิโตน เฮกเซน และน้ำกลั่น เพื่อศึกษาปริมาณสารอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ โดยเลือกตัวทำละลายเฉพาะที่สามารถสกัดสารต้านอนุมูลอิสระได้มากที่สุด จากนั้นเมื่อสกัดออกมาจะเป็นน้ำ ก็นำมาผสมกับอาหารปลา และอัดเม็ด

ผลการศึกษา พบว่าการเสริมสารสกัดจากสาหร่ายเตาในอาหารสำหรับเลี้ยงปลานิลเป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มอัตราการรอดตายของปลานิล โดยเฉพาะในปลานิลชุดการทดลองที่ได้รับอาหารเสริมสารสกัดสาหร่าย 15% มีน้ำหนักตัวและความยาวที่เพิ่มขึ้น อัตราการเจริญเติบโตต่อวัน และอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับชุดการทดลองอื่น ๆ ส่วนในด้านของการสะสมสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่าชุดการทดลองที่อาหารเสริมด้วยสารสกัดสาหร่ายเตา 15% มีสารต้านอนุมูลอิสระสะสมในปลามากที่สุด

"ผลการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า สาหร่ายเตามีประสิทธิภาพในการใช้เป็นอาหารเสริมในปลา ช่วยส่งเสริมอัตราการเจริญเติบโต อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ และเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงปลาได้ โดยควรเสริมสารสกัดสาหร่ายเตา 15% ในอาหารปลาวัยอ่อนหรือช่วงอนุบาลลูกปลา เพื่อไปเพิ่มอัตราการรอดตาย และช่วยในการเจริญเติบโต" คณาธิประบุ ผลการศึกษายังพบด้วยว่าสาหร่ายเตาสามารถกำจัดไนโตรเจนกับฟอสฟอรัสในระบบการเลี้ยงปลานิลได้ เนื่องจากการเลี้ยงปลาในพื้นที่จำกัดในอัตราความหนาแน่นที่มากกว่าสภาพในธรรมชาติทำให้มีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำอยู่ตลอดเวลาในช่วงระยะเวลาการเลี้ยง จึงต้องมีการดูแลและจัดการ เพื่อคงคุณภาพน้ำไว้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ

ทั้งนี้ การเลี้ยงปลาในเชิงธุรกิจ จะเน้นเลี้ยงในปริมาณที่มีหนาแน่นสูง ทำให้มีปริมาณการขับของเสียในรูปของไนโตรเจนมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญโปรตีนที่ได้จากอาหาร โดยปลาจะขับถ่ายของเสียในรูปของไนโตรเจนออกมาประมาณ 60-80% ในรูปของแอมโมเนีย และไนไตรท์ โดยจากเก็บข้อมูลทางด้านของลักษณะทางกายภาพของบ่อเลี้ยงปลานิลเป็นเวลา 30 วัน พบว่าสารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ระบบการเลี้ยงมาจากอาหารปลา ซึ่งคิดเป็น 50-52% ของสารประกอบไนโตรเจน และ 58-60% ของสารประกอบฟอสฟอรัสทั้งหมด สำหรับในวันสุดท้ายของการทดลองพบว่า สารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสคงเหลืออยู่ในน้ำ คิดเป็น 12-32% ของสารประกอบไนโตรเจน และ 32-36% ของสารประกอบฟอสฟอรัส เมื่อเทียบกับปริมาณธาตุอาหารที่เข้าสู่ระบบการเลี้ยง

อีกทั้งยังพบว่าคุณภาพน้ำในทุก ๆ ชุดการทดลองที่มีการใส่สาหร่ายเตาจะมีปริมาณความเข้มข้นของสารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสต่ำกว่าชุดควบคุม โดยความหนาแน่นของสาหร่ายเตาที่เหมาะสมในการลดสารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในน้ำจากการเลี้ยงปลานิลอยู่ที่ระดับ 0.6-0.7 กรัมต่อลิตร ซึ่งความสำเร็จของผลงานวิจัยคือ สามารถลดการใช้สารเคมีเพื่อเป็นวัตถุดิบในอาหารปลานิล ลดต้นทุนค่าอาหารปลานิลได้ และเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตจากสาหร่ายเตา

รวมถึงนำข้อค้นพบจากงานวิจัยที่บูรณาการแล้วไปส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเตาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกรได้ อย่างไรตาม ชุมชนที่มีอาชีพเลี้ยงปลาสามารถนำข้อค้นพบจากงานวิจัยไปประยุกต์ใช้เพื่อผลิตอาหารปลาที่มีประสิทธิภาพสามารถลดต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารในการเพาะเลี้ยงปลา ทำให้มีรายได้มากขึ้น และในอนาคตจะหาทีมวิจัยเสริมเกี่ยวกับการตลาด เพื่อนำความรู้การตลาดมาพัฒนาต่อยอดสาหร่ายเตาเป็นผลิตภัณฑ์แพ็กเกจอาหารปลา รวมถึงอาจจะต่อยอดทำอาหารเสริมสำหรับคนด้วย!


แหล่งที่มา

นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 28 ก.พ. 2565
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู