พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ บังคับใช้เมื่อปี 2558 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยใช้ทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นหลักประกันโดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน สามารถใช้ทรัพย์สินดังกล่าวให้เกิดมูลค่าต่อไปได้
ทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันได้ อาทิ กิจการ, สิทธิเรียกร้อง, ทรัพย์สินทางปัญญา, ทรัพย์สินอื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ซึ่งขณะนี้คือ “ไม้ยืนต้น” 58 ชนิด ซึ่ง ครม. ให้ความเห็นชอบเมื่อปี 2561 ได้แก่ 1.สัก 2.พะยูง 3.ชิงชัน 4.กระซิก 5.กระพี้เขาควาย 6.สาธร 7.แดง 8.ประดู่ป่า 9.ประดู่บ้าน 10.มะค่าโมง 11.มะค่าแต้ 12.เคี่ยม 13.เคี่ยมคะนอง 14.เต็ง 15.รัง 16.พะยอม 17.ตะเคียนทอง 18.ตะเคียนหิน 19.ตะเคียนชันตาแมว 20.ไม้สกุลยาง 21.สะเดา 22.สะเดาเทียม 23.ตะกู 24.ยมหิน 25.ยมหอม 26.นางพญาเสือโคร่ง 27.นนทรี 28.สัตบรรณ 29.ตีนเป็ดทะเล 30.พฤกษ์ 31.ปีบ 32.ตะแบกนา 33.เสลา 34.อินทนิลน้ำ 35.ตะแบกเลือด 36.นากบุด 37.ไม้สกุลจำปี-จำปา 38.แคนา 39.กัลปพฤกษ์ 40.ราชพฤกษ์ 41.สุพรรณิการ์ 42.เหลืองปรีดียาธร 43.มะหาด 44.มะขามป้อม 45.หว้า 46.จามจุรี 47.พลับพลา 48.กันเกรา 49.กะทังใบใหญ่ 50.หลุมพอ 51.กฤษณา 52.ไม้หอม 53.เทพทาโร 54.ฝาง 55.ไผ่ทุกชนิด 56.ไม้สกุลมะม่วง 57.ไม้สกุลทุเรียน 58.มะขาม
ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ และใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมเงินได้ ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการออม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ “นายทศพล ทังสุบุตร” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นำผู้บริหารไปดูงานที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา (มีสุขฟาร์ม) จ.ระยอง เพื่อส่งเสริมและให้ความรูัเกษตรกรในการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์จะไม่ได้รับการประเมินในการให้สินเชื่อ โดยจะประเมินเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินเท่านั้น แต่หลังจากที่กฎกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวที่ให้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้มีผลบังคับใช้ ทำให้สถาบันการเงินและผู้รับหลักประกันอื่นสามารถเพิ่มประเภททรัพย์สินในการให้สินเชื่อมากขึ้น ส่งผลดีต่อเกษตรกร และประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อ โดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน
ข้อมูลเมื่อเมษายน 2565 มีการจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 12 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้สิทธิเรียกร้องเป็นหลักประกันมากที่สุด กว่า 77% มูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท ส่วน “ไม้ยืนต้น” หลังมีกฎกระทรวงให้ใช้เป็นหลักประกันธุรกิจได้เมื่อปลายปี 2561 มีจำนวนไม้ยืนต้นที่นำมาใช้เป็นหลักประกัน 146,282 ต้น วงเงินค้ำประกัน 137 ล้านบาท หรือ 0.001% เท่านั้น โดยมีสถาบันการเงินที่รับประกัน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และพิโกไฟแนนซ์ ดังนั้น นอกจากจะทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกรแล้ว ยังต้องหารือกับสถาบันการเงินเพื่อพิจารณารับหลักประกันได้มากขึ้น
สำหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา (มีสุขฟาร์ม) มีสมาชิกอยู่ประมาณ 135 คน ต้นไม้ที่ปลูก คือ กฤษณา สัก มะค่า ซึ่งสามารถนำเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ โดยเฉพาะ “ไม้กฤษณา” เป็นเป้าหมายในการส่งเสริมให้ใช้สิทธิประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ เนื่องจากเป็นไม้ที่เกษตรกรหลายกลุ่มหันมาปลูกมากขึ้น เพราะมีการสกัดเป็นน้ำมันกฤษณาสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างมาก
จากการพูดคุยกับผู้นำวิสาหกิจชุมชน ทำให้ทราบว่า เกษตรกรและประชาชนให้ความสนใจปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองมากขึ้น และเมื่อทราบว่าสามารถนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อเพื่อต่อยอดธุรกิจ หรือนำไปใช้สอยในชีวิตประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้ ทำให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชน พร้อมที่จะนำไม้ยืนต้นที่มีค่าที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ โดยขอทราบรายละเอียดขั้นตอนการใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ เมื่อต้องการเงินทุน
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อรับทราบถึงปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด จากการใช้ประโยชน์จากกฎหมาย โดยกรมพร้อมนำข้อมูลที่ได้รับมาปรับแก้ หาทางออก และประยุกต์ใช้เพื่อให้กฎหมาย มีความคล่องตัว เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประชาชน และวิสาหกิจชุมชนพร้อมจะเป็นกระบอกเสียงบอกต่อถึงประโยชน์ที่ได้รับสู่ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือคนรู้จักเพื่อใช้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ต่อไป
ขณะเดียวกัน กรมปรับวิธีการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบเรียลไทม์ เช่น พัฒนาระบบการยืนยันตัวตนของผู้รับหลักประกันทั่วประเทศ โดยรับบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านของผู้รับหลักประกันผ่านระบบได้ โดยไม่ต้องไปยืนยันตัวตนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและพัฒนาระบบการแจ้งความยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกัน ช่วยป้องกันการแอบอ้างและคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน เป็นต้น
“หลังจากนี้ กรมจะเดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและประชาชน รวมถึงวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจจากการนำไม้ยืนต้นไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ โดยไม่ต้องตัดต้นไม้” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสรุป
ขณะที่ “นางพิกุล กิตตพล” ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา (มีสุขฟาร์ม) ยืนยันว่า กลุ่มเกษตรกรให้ความสนใจอย่างมากที่สามารถนำไม้ยืนต้นไปเป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ เพราะจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา รายได้หายไปมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวลดลง จึงจำเป็นต้องตัดไม้ขายเพื่อหารายได้มาชดเชย อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการปฏิบัติค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน โดยเฉพาะการพิจารณาของสถาบันการเงิน จึงอยากให้เร่งปรับปรุงแก้ไขเพื่อนำไม้ยืนต้นไปใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้อย่างจริงจังและรวดเร็ว
“ไม้ยืนต้น” 58 ชนิดจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเข้าถึงแหล่งเงิน แม้จะมีเงื่อนไขและอุปสรรคอยู่บ้าง ก็ต้องแก้ไขลดเงื่อนปมต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้อย่างกว้างขวางและสะดวกมากขึ้น