ไร่องุ่น คุณนนท์@เขาค้อ ผลิตองุ่นไชน์มัสแบบปลอดภัย จำหน่ายราคากิโลกรัมละ 400 บาทเพื่อคนไทยเข้าถึงได้ง่าย
“ที่ไร่จะเน้นทำแบบ One stop farm มาที่นี่จะได้กินผลไม้ในไร่ที่ไร้สารฯ ทั้งหมดตามฤดูกาล ที่เลือกทำองุ่นเพราะเราสามารถคุมเขาได้ว่าจะให้ออกกี่โรงเรือน จะให้ออกช่วงไหน ซึ่งจะต่างจากผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ส้มสายน้ำผึ้ง และที่นี่จะทำทุกกระบวนการทุกชนิด เป็นผลไม้สดจากที่นี่เลย น้ำผลไม้ปั่นก็เก็บสดจากต้นไปปั่น เช่น องุ่น ราสพ์เบอร์รี่ เราก็ปลูกเอง คือตรงนี้เราต้องการทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้วย”
เหตุผลที่ต้องการทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ คือไม่จำเป็นต้องทำการเกษตรเพื่อขายผลผลิตให้พ่อค้าเพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งอาจจะจะโดนกดราคาได้ เนื่องจากพ่อค้าเป็นคนกำหนดราคาขาย ถ้าหากทำแบบที่นี่ได้ คือส่งต่อผลผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง อันดับแรกที่ได้คือ ราคา ซึ่งเราจะเป็นผู้กำหนดเอง ผู้บริโภคก็จะได้ทั้งของสดที่ราคาเป็นมิตร สองคือเรื่องความปลอดภัยจากสารเคมี คือเราก็ไม่จำเป็นต้องพ่นสารเคมีให้หนักเพื่อที่จะหวังให้ได้ผลผลิตสวย ๆ ส่งไปคัดเกรดขายอีกที ซึ่งนี่คือการลดต้นทุนแล้ว ส่วนผู้ที่มากินที่นี่ก็ได้ Story ได้ความรู้ แถมยังได้กินอาหารที่ปลอดภัย แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
นายอาทิตย์ ชัยโฉม ปัจจุบันอายุ 48 ปี เจ้าของไร่องุ่นคุณนนท์@เขาค้อ ตั้งอยู่ที่ ต.สะเดาะพง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ บอกว่าจากประสบการณ์ที่ตนเองทำการเกษตรมาไม่ต่ำกว่า30 ปี การทำเกษตรในประเทศไทยคำว่า “อินทรีย์” ล้วน ๆ เลยคือเป็นไปไม่ได้! เพราะผลไม้อย่าง องุ่น ถ้าเราจะให้เขาออกดอก ก็ต้องต้องใช้สารเคมีช่วย เคมีในที่นี้คือ ปุ๋ยเคมี อยากให้เขาสะสมตาดอก ก็ต้องใช้สาหร่ายซึ่งต้องผสมกับเคมี แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ สารเคมีที่เราพ่นเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชต่าง ๆ
แต่สำหรับเรื่องปุ๋ยที่หลายคนไปมองว่า “ออร์แกนิก” ถ้าออร์แกนิกต้องไม่ใส่ ซึ่งคำว่าออร์แกนิกบอกได้เลยว่าในประเทศไทยไม่มี หายาก แล้วออร์แกนิกถ้าทำแล้วได้ผลผลิตน้อย อย่างองุ่นที่ญี่ปุ่นทำไมเขาทำได้ “ไชน์มัสแคท” ขายกิโลเป็น 1,000 แต่ของเราแค่กิโลละ400 บาท กำลังซื้อไม่มีแล้ว เพราะนี่คือบริบทของประเทศไทย ถ้าเราไม่ให้ปุ๋ยหวานที่เพิ่มความหวาน เช่น แคลเซียมโบรอน พวกนี้มันไม่หวาน ถามว่าคนไทยกินไหม คนไทยก็ไม่กิน จริง ๆ แล้วเราเอาแมสก์เขามาใช้ได้ เอาหน้ากากเขามาใช้ได้ แต่เราต้องมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราของคนไทยเอง ซึ่งทำยังไงก็ได้ ทุกวันนี้ประเทศไทยให้ “อาหาร” ปลอดภัยก่อน พอปลอดภัยแล้วทุกอย่างก็จะลดตามลำดับ อย่างที่ไปกินผักไฮโดรโปนิกส์ ไฮโดรโปนิกส์กับออร์แกนิกมันคนละเรื่องเลย ไฮโดรโปนิกส์จะเป็นการรให้สารละลายปุ๋ย อันนี้ก็คือไม่ใช่อินทรีย์แล้ว แต่องุ่น “อินทรีย์” ยังจำเป็น จำเป็นตรงที่ว่าเขาใช้เวลาอยู่กับเราเป็นสิบปี เพราะฉะนั้นเราต้องปรุงดินให้ได้ธาตุอาหารรองมากที่สุด แล้วทำให้มันปลอดภัยที่สุด ทำไมที่นี่ต้องทำโรงเรือน หนึ่งคือลดเรื่องเชื้อรา เพื่อไม่ต้องพ่นสารเคมีป้องกันเชื้อรา เพราะทำโรงเรือนแล้วเขาไม่โดนฝน ไม่โดนความชื้นจากภายนอกแล้ว สองการที่เราทำให้เขาออกลูกคือ ระบบจะคุมน้ำได้ทั้งหมด คุมอาหารได้ทั้งหมด อันนี้จะเป็นการลดต้นทุน แต่ว่าอาจจะแพงที่ค่าระบบโรงเรือนแค่นั้นเอง
“องุ่นไชน์มัสแคท” จากญี่ปุ่นก็ปลูกได้ผลดีที่เขาค้อ ด้วยแนวทางเกษตรปลอดภัย สำหรับการปลูก “องุ่นไชน์มัสแคท” ของที่ไร่ ถ้าเราเข้าใจเรื่องพืช ถ้ามีแต่อาหารหลัก ไม่มีอาหารเสริมเลย มันก็ไม่โต เพราะฉะนั้นองุ่นได้อาหารหลักแล้วก็คือ N-P-K อาหารเสริมของเขามีอะไรบ้าง ก็มี แคลเซียม โบรอน เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ฯลฯ ซึ่งมาจากไหนก็มาจากมูลสัตว์ ตรงนี้เราก็ต้องเติมลงไป มันจะนำอินทรีย์เข้าไปใช้ร่วมในกระบวนการเจริญเติบโตและส่งเสริมทางด้าน “คุณภาพ” ทำให้ได้รสชาติครบถ้วนด้วย
“องุ่นไชน์มัสแคท” (Shine Muscat) ถูกปรับปรุงพันธุ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2531 ที่สถานีวิจัยองุ่นและพลับอะกิซึ จังหวัดฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น และขึ้นทะเบียนพันธุ์ในปี พ.ศ. 2549 เป็นลูกผสมระหว่าง องุ่นพันธุ์ Akitsu 21 (Steuben (Visit labruscana) x Muscat of Alexandria (V.vinifera) กับองุ่นพันธุ์ Hakunan (Katta Kurgan (V.vinifera) x Kaiji (V.vinifera)) ลักษณะผลกลมขนาดใหญ่ มีเมล็ด ผิวผลสีเขียวอมเหลือง ไม่แตกง่าย เนื้อแน่น กรอบ ไม่ฝาด มีกลิ่นมัสแคท ทนต่อโรคผลเน่าและราน้ำค้างได้ในระดับปานกลาง แต่อ่อนแอต่อโรคแอนแทรกโนส ทนต่อความหนาวเย็น ถ้าผลมีเมล็ดจะมีขนาดประมาณ 10 กรัม ถ้าให้ผลผลิตไม่มีเมล็ดจะมีขนาด 12 กรัมขึ้นไป มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ 19 องศาบริกซ์ ปริมาณกรด 0.4 กรัม/100 มิลลิลิตร อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 80 วัน หลังดอกบานเต็มที่ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อนำองุ่นพันธุ์ “ไชน์มัสแคท” มาปลูกในประเทศไทย พบว่ามีการเจริญเติบโตดี สามารถออกดอกติดผลได้ แต่จะมีอายุเก็บเกี่ยวเร็วกว่าประเทศญี่ปุ่น คือเก็บเกี่ยวที่ประมาณ 70 วันหลังดอกบานเต็มที่
ปัจจุบันที่ไร่องุ่นคุณนนท์@เขาค้อปลูกองุ่นไชน์มัสแคทสายพันธุ์แท้จากญี่ปุ่นที่นำพันธุ์ดีมาขยายพันธุ์ต่อเอง ด้วยวิธีการติดตากับต้นตอพันธุ์แท้ (จากกิ่งตอน) โดยไม่ใช้ต้นตอป่าหรือองุ่นสายพันธุ์อื่นเลย เพื่อให้ได้ต้นแม่ที่เป็นพันธุ์แท้เท่านั้น ซึ่งให้ผลผลิตอยู่ในโรงเรือนจำนวน 3 โรงเรือน ขนาด 6x50 เมตร แต่ละโรงเรือนจะปลูกองุ่นไชน์มัสแคทจำนวน 30 ต้นเท่านั้น โดยดูแลตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมดิน การปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และมีธาตุอาหารรองอย่างเพียงพอ จากนั้นการให้ปุ๋ยจะให้ไปพร้อมกับระบบน้ำ ไม่เน้นการให้ปุ๋ยเม็ด หลักการเดียวกับการให้ปุ๋ยในผักไฮโดรโปนิกส์ ทำให้สามารถจัดการเรื่องธาตุอาหารพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการควบคุมและป้องกันโรค-ศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนโดยการพ่นสารเคมีช่วยบ้าง แต่จะเว้นระยะเพื่อ “ความปลอดภัย” ก่อนการเก็บเกี่ยวอย่างเหมาะสม ซึ่งสำหรับองุ่นไชน์มัสแคทของที่นี่จะเป็นผลผลิตแบบ “มีเมล็ด” (ตูดจะไม่บุ๋ม) ส่วนเรื่องของรสชาติ ความกรอบหวาน และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์จะมีความครบเครื่องเช่นเดียวกับผลผลิตที่ปลูกในประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ เหตุผลที่ไม่ได้ผลิตองุ่นไร้เมล็ด เพราะต้องการให้คนไทยเข้าถึงองุ่นไชน์มัสแคทได้ง่ายขึ้น เพราะหากทำแบบ “ไร้เมล็ด” จริง ๆ ก็ทำได้ แต่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นไปอีก (สารเคมีที่ใช้บังคับ) รวมกับค่าแรงงานที่ต้องใช้จัดการเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นราคาก็จะต้องแพงขึ้นตาม จุดเน้นของที่นี่คือ การผลิตแบบปลอดภัย และราคาที่จำหน่ายต้องไม่แพงจนเกินไป สามารถเข้าถึงได้ง่าย ซื้อซ้ำหรือซื้อบ่อยได้ ซึ่งราคาจำหน่ายของไชน์มัสแคทเขาค้อ จึงเริ่มที่กิโลกรัมละ 400 บาทเท่านั้น โดยใน 1 โรงเรือนจะผลิตได้ราว 400-500 กก./รุ่น การจำหน่ายก็จะมีทั้งช่องทางการสั่งออนไลน์ (ผ่านเพจ) โดยเปิดพรีออเดอร์เพื่อให้ลูกค้าสั่งจองไว้ก่อน กับอีกส่วนหนึ่งคือ ผลที่ไม่สวย ก็จะนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ทำเมนูเครื่องดื่มผลไม้สดปั่น (ราคา 120 บาท/เมนู) สลัดผลไม้รวม (80 บาท/จาน) เป็นต้น ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำที่สั่งจองหมดทุกรอบ และสำหรับลูกค้าขาจร ก็สามารถมาเลือกซื้อผลผลิตสดใหม่จากต้น รวมถึงเลือกชิมเมนูแปรรูปจากผลผลิตในไร่ทั้งผักและผลไม้ที่ทั้งหมดเป็นการผลิตแบบปลอดภัย ซึ่งก็มีให้บริการไว้อย่างหลากหลาย
บนพื้นที่ผลิตกว่า 10 ไร่ ของไร่องุ่น คุณนนท์@เขาค้อ ความตั้งใจซึ่งเข้ามาต่อยอดธุรกิจการเกษตรต่อจากคุณพ่อ ซึ่งเดิมทำเกี่ยวกับการปศุสัตว์มาสู่ฟาร์มเกษตรปลอดภัย โดยมีการผลิตหลัก ๆ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์นำเข้าต่าง ๆ กว่า 5 สายพันธุ์ ได้แก่ ไชน์มัสแคท, แบล็คโอปอล, มายฮาร์ท, เฟลม ซีดเลส และเรดโกลบี (Red Globe) นอกจากนี้ก็ยังมี พริกไทย อะโวคาโด ส้มสายน้ำผึ้ง แบล็กเบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ ผักเคล และซาโยเต้ หรือฟักแม้ว เป็นต้น ทั้งหมดอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ One stop farm เพื่อต้องการจะเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านการเกษตร ได้เข้ามาศึกษาดูงานด้านการผลิตและการทำตลาดสินค้าเกษตรแบบไม่พึ่งพาพ่อค้าคนกลาง โดยสามารถผลิตและตั้งราคาขายได้เอง เน้นในรูปแบบของการส่งต่อผู้บริโภคโดยตรง คนกินปลอดภัย คนขายได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากขึ้นอย่างสมเหตุสมผล ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 8272 1443