ปัญหาฮอตฮิตของข้าวโพดสำหรับมือใหม่ ก็คือ "ข้าวโพดฟันหลอ" หรือติดเมล็ดไม่เต็มฝักนั่นเอง ปัญหานี้เกิดจากปัจจัยอะไรได้บ้าง ปัญหาข้าวโพดฟันหลอ โดยทั่วไปแล้วสาเหตุเกิดจาก การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้การติดเมล็ดของข้าวโพดผิดปกติ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกสรตัวเมียกับเกสรตัวผู้ไม่สมบูรณ์แล้วผสมกัน หรืออาจเกิดจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม อาจร้อนหรือแห้งแล้งจนเกินไปทำให้ไหมแห้ง หรือเกสรตัวผู้มีอายุสั้นลง การได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอ ขาดน้ำหรืออีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นั่นก็คือปัญหาที่เกิดจากแมลงศัตรูที่ลงทำลายในระยะข้าวโพดออกดอกออกไหมนั่นเอง โดยแมลงศัตรูที่พบในช่วงที่ข้าวโพดออกดอก ลงทำลายเกสร ไหม หรือส่วนปลายฝักข้าวโพดชนิดหลัก ๆ ได้แก่ หนอนเจาะฝักข้าวโพด หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยไฟข้าวโพด
เพลี้ยไฟในข้าวโพด เป็นแมลงปากเขี่ยดูดขนาดลำตัวเล็ก 1-3 มิลลิเมตร มักพบระบาดมากในช่วงฝนทิ้งช่วง หรือช่วงที่สภาพอากาศร้อนแห้งแล้ง ซึ่งในข้าวโพดสามารถพบเพลี้ยไฟได้หลายชนิด เช่น เพลี้ยไฟข้าวโพด (Frankliniella williamsi) เพลี้ยไฟดอกไม้ฮาวาย (Thrips hawaiiensis) เพลี้ยไฟถั่ว (Caliothrips sp.) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในข้าวโพดจะพบการระบาดของเพลี้ยไฟใน 2 ระยะ ได้แก่ ระยะข้าวโพดต้นเล็ก และระยะข้าวโพดออกดอก โดยจะมีลักษณะความเสียหายที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ระยะข้าวโพดต้นเล็ก เพลี้ยไฟจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเป็นรอยขีดสีขาวหรือด่างเหลืองซีด
- ระยะข้าวโพดออกดอก เพลี้ยไฟจะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ไหมข้าวโพด ซึ่งหากเพลี้ยไฟลงทำลายไหมก่อนการผสมเกสร จะทำให้ไหมแห้ง ผสมเกสรไม่ได้ ติดเมล็ดไม่เต็ม หรือฟันหลอ
การป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟข้าวโพด สามารถทำได้โดย ก่อนปลูกคลุกเมล็ดด้วยสารคลุกเมล็ดดังนี้
- สารไทอะมีทอกแซม 35% FS อัตรา 5 มล./เมล็ด 1 กก.
- สารอิมิดาโคลพริด 60% FS อัตรา 10 มล./เมล็ด 1 กก.
- สารอิมิดาโคลพริด 70% WS อัตรา 5 กรัม/เมล็ด 1 กก.
ซึ่งการคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีก่อนปลูกจะช่วยป้องกันเพลี้ยไฟข้าวโพดได้ประมาณ 30 วัน ข้อสำคัญในการใช้สารคลุกเมล็ด คือดินต้องมีความชื้น ไม่เช่นนั้นสารคลุกเมล็ดอาจมีประสิทธิภาพต่ำลงหรือใช้ไม่ได้ผล หรือหากพบการระบาดรุนแรงให้เลือกพ่นด้วยสารชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนี้
- สารอิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10กรัม/น้ำ 20 ลิตร (กลุ่ม 4A)
- สารไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 10กรัม/น้ำ 20 ลิตร (กลุ่ม 4A)
- สารโคลไทอะนิดิน 16%SG อัตรา 15กรัม/น้ำ 20 ลิตร (กลุ่ม 4A)
- สารฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 15 มล./น้ำ 20 ลิตร (กลุ่ม 2B)
- สารคาร์บาริล 85% WP อัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร (กลุ่ม 1A)
หากพบระบาดรุนแรงในช่วงติดฝักให้พ่นเน้นบริเวณส่วนปลายฝัก สำหรับสารอิมิดาโคลพริด, ไทอะมีทอกแซม และโคลไทอะนิดิน เป็นสารกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ จัดอยู่ในกลุ่ม 4A เป็นสารกลุ่มที่มีพิษต่อผึ้งและแมลงผสมเกสรค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการพ่น โดยอาจเลือกช่วงเวลาในการพ่นสารโดยพ่นช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่ผึ้งและแมลงผสมเกสรออกหาอาหาร จะช่วยลดความเสี่ยงและอันตรายต่อผึ้งและแมลงผสมเกสรได้
***ข้อมูลการป้องกันกำจัดจาก กลุ่มงานวิจัยการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร