คุณสำเริง กลั่นกลิ่น เป็นคนปากช่องโดยกำเนิด และจบปริญญาตรีทางด้านการเกษตร ได้ทำสวนบนพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ อยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหนองอีเหลอ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ในช่วงแรก อะโวกาโดที่ปลูกในสวนของคุณสำเริงจะเป็นพันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson) และพันธุ์บูท (Booth) 7 ซึ่งได้มาจากสถาบันวิจัยปากช่อง ลักษณะผลของปีเตอร์สันจะค่อนข้างกลม มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง น้ำหนักประมาณ 200-300 กรัม ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้สีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผลและเยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อข้างในสีจะออกเขียวเหลือง เป็นพันธุ์เบา ส่วนพันธุ์บูท 7 เป็นพันธุ์หนัก ลักษณะผลค่อนข้างกลม มีขนาดใหญ่กว่าปีเตอร์สันต์ มีขนาดกลางถึงใหญ่ น้ำหนัก 300-500 กรัม ลักษณะผลแก่ที่เก็บเกี่ยวได้จะมีนวลลบออกได้ ผิวสีเขียว เกิดจุดสีน้ำตาลบนผล และเยื่อหุ้มเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อในสีจะออกเขียวเหลือง เหมาะปลูกในประเทศไทย ค่อนข้างทนต่อโรค ดูแลรักษาง่าย ออกผลดก มีไขมัน
บรูนี่ สายพันธุ์ใหม่
ในตอนที่มีการขยายสวนใหม่ เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนให้รวดเร็ว ก็ได้เอาเมล็ดของแต่ละพันธุ์มาปลูก ประมาณ 500 ต้น โดยไม่ได้มีการเสียบยอด หลังจากนั้น ประมาณ 6 ปี ผลผลิตของต้นเหล่านั้นเริ่มออก พบว่า มีอยู่ต้นหนึ่งซึ่งให้ผลดกและมีรสชาติดีกว่าต้นอื่น จึงตั้งชื่อว่า บรูนี่ (Bruni) สันนิษฐานว่าเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์ปีเตอร์สัน และ บูท 7 เมื่อปีที่แล้วเริ่มมีผลผลิต แต่จำนวนไม่มาก เมื่อชิมแล้วปรากฏว่ามีรสชาติอร่อยกว่าพันธุ์อื่น
ลักษณะของต้นบรูนี่คล้าย บูท 7 คือ มีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าปีเตอร์สัน ใบก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน ผลคล้ายกึ่งๆบูท 7 แต่สีไม่เข้มเท่า จะดูใสกว่า และลูกมีขนาดใหญ่กลม เนื้อจะเหนียวกว่าทุกพันธุ์และมีติดรสหวานเล็กน้อย มีความมันมากกว่า เนื้อข้างในมีสีเหลือง เปลือกค่อนข้างหนา ซึ่งจะทนทานในการขนส่ง ทนทานแมลงวันทองได้ดี มีความดกตามมาตรฐาน และเหมาะสำหรับรับประทานสดมาก
ขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอด
ต้นอะโวกาโดขยายพันธุ์โดยวิธีใช้เมล็ด และเสียบยอด ทั้งในถุงและในแปลง แต่วิธีที่นิยมที่สุดคือ การเสียบยอดในถุง เนื่องจากจะใช้วิธีควบแน่นโดยถุงพลาสติก จึงทำให้ได้ผลผลิตต้นสูง นอกจากนี้ สามารถออกผลได้ไวกว่าการใช้เมล็ด โดยวิธีการนี้ถ้าเป็นพันธุ์เบา จะใช้เวลา 3 ปี ถ้าเป็นพันธุ์หนัก จะใช้เวลา 5 ปี ส่วนเมล็ดจะใช้เวลา 5-8 ปี
วิธีเสียบยอด จะใช้เมล็ดที่สมบูรณ์มาเพาะใส่ถุง โดยแกะเปลือกบางๆ ออกก่อน หันด้านก้นที่จะเกิดรากลงดิน จะสังเกตได้จากมีเส้นๆ อยู่ ใช้ดินปลูกธรรมดาก็ได้ หรือเป็นดินผสมแกลบดำ เมล็ดที่ใช้เพาะจะวางให้โพล่จากดินเล็กน้อย ไม่ต้องกดให้จม วางไว้ในที่ร่มรำไร รดน้ำทุกวัน แต่อย่าให้แฉะ ใช้เวลาประมาณ 5-8 เดือน เมื่อโคนต้นมีขนาดใหญ่กว่าดินสอเล็กน้อย ตัดยอดที่สูงกว่าโคน ประมาณ 50 เซนติเมตร ใช้มีดคมๆ ผ่าเป็นลิ่มที่ต้นตอ ลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร แล้วนำยอดพันธุ์ดีที่ตัดใบทิ้งไปครึ่งหนึ่งแล้วมาปาดเป็นปากฉลามทั้งสองด้าน เสียบลึกลงไปในต้นตอที่บากไว้ มัดด้วยพลาสติกใสให้แน่น เอาถุงพลาสติกคลุมไว้ให้เลยแผลหรือจะคลุมทั้งต้นก็ได้ ในช่วงนี้ต้องรดน้ำให้วัสดุปลูกชุ่มก่อน เพราะหลังจากคลุมพลาสติกแล้วจะไม่ต้องแกะเลย ใช้เวลาประมาณ 50-60 วัน จึงจะแกะถุงออก และต้องดูแลอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นจึงจะสมบูรณ์พร้อมนำไปปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 6 เมตร คูณ 7 เมตร หรือถ้าไว้ทรงพุ่มใหญ่ จะเพิ่มระยะก็ได้ 1 ไร่ ปลูกได้ประมาณ 25 ต้น
การปลูกอะโวกาโดจะขุดหลุมลึกอย่างน้อย กว้าง ยาว ลึก 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกเก่า ผสมดินปลูก ปลูกแล้วกลบโคนพอแน่น ปิดด้วยฟางหรือเศษใบไม้ที่มี ช่วงแรกต้องรดน้ำ 3-4 วันครั้ง ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ต้นละ 1 กำมือ เดือนละครั้ง และเพิ่มปริมาณตามขนาดของทรงพุ่ม จะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี ต้นจะเริ่มให้ผลผลิต ก่อนการเก็บผลผลิต 2 เดือน จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ย สูตร 13-13-21 ต้นละประมาณ 1-2 กิโลกรัม ในฤดูแล้งควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง หลังจากเก็บผลก็จะมีการตัดแต่งกิ่งไม่ให้สูง โดยให้แผ่ไปด้านข้างเพื่อสะดวกในการเก็บ อะโวกาโดจะมีอายุเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่ 30-35 ปี
ผลผลิตของสวนจะอยู่ในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม เดือนที่ให้ผลผลิตมากสุดคือ ช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ผลผลิตโดยเฉลี่ย 150 กิโลกรัม ต่อต้น