ข่าวสาร
C20 การส่งเสริม
3 กันยายน 2562
ขมิ้นชันมาแรง! เร่งวิจัยพันธุ์ปลอดโรคป้อนอุตสาหกรรมยา-เครื่องสำอาง

กรมวิชาการเกษตรเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหัวพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรคสายพันธุ์ตรัง 1 และตรัง 84-2 เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต-ขยายพันธุ์ดีปลอดโรค พร้อมหนุนส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเชิงการค้า รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมขมิ้นชันทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ เผยสรรพคุณให้ ”สารเคอร์คิวมินอยด์” สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพร 120% ทำให้เป็นที่ต้องการสูง

นายสนอง จรินทร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ในปี 2560 ตลาดอุตสาหกรรมสารสกัดขมิ้นชันมีมูลค่ารวม 49 ล้านบาท ในขณะที่ปริมาณผลผลิตหัวสดซึ่งยังผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยที่ผ่านมา สถาบันวิจัยพืชสวนได้รับการติดต่อจากองค์การเภสัชกรรมเพื่อขอซื้อพันธุ์ขมิ้นชันคุณภาพปลอดโรคเพื่อนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรในเครือข่ายปลูกเชิงการค้า ซึ่งในเบื้องต้นองค์การฯ มีความต้องการใช้ขมิ้นชันตากแห้งประมาณปีละ 90 ตัน ปัจจุบันได้นำสารเคอร์คูมินอยด์ที่สกัดจากขมิ้นขึ้นทะเบียนเป็นยาพัฒนาจากสมุนไพรแผนปัจจุบันรายการแรกของประเทศไทย สำหรับใช้บรรเทาอาการปวดในโรคข้อเข่าเสื่อมและเพื่อนำมาผลิตผลิตภัณฑ์แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันทดแทนยาแผนปัจจุบัน สำหรับสรรพคุณของขมิ้นชันมีสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ 2 กลุ่มคือ กลุ่มน้ำมันระเหย (Volatile oil) และกลุ่มสารสีเหลืองส้มหรือที่เรียกว่า สารเคอร์คิวมินอยด์ (Curcuminoid) ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรกำลังเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหัวพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรคระบบวัสดุปลูก (Substrate Culture) หรือการปลูกที่ใช้วัสดุอื่นที่ไม่ใช่ดินในขมิ้นชัน 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ตรัง 1 และสายพันธุ์ตรัง 84-2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาโรคระบาดและการปนเปื้อนจากสารเคมีตกค้างในดินที่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและสารเคมีตกค้างในผลผลิตขมิ้นชัน ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นกว่าการปลูกในดิน ส่วนการขยายพันธุ์ได้ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแทนการใช้หัวและแง่ง เพื่อเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้มากขึ้นสามารถรองรับความต้องการเกษตรกรที่จะนำขมิ้นชันพันธุ์นี้ไปปลูกเชิงการค้าในอนาคตโดยการวิจัยดังกล่าวดำเนินการในศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 และจะแล้วเสร็จในปี 2564 นี้ และหากสำเร็จก็พร้อมแจกจ่ายขมิ้นชันสายพันธุ์ปลอดโรคไปยังกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ต่อไป อย่างไรก็ตามที่เลือกสายพันธุ์ตรัง 1 และสายพันธุ์ตรัง 84-2 เนื่องจากเห็นว่าเป็นสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากให้สารเคอร์คูมินอยด์และน้ำมันหอมระเหยในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย โดยขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 84-2 ให้ผลผลิตหัวสด 2.59 ตัน/ไร่ ให้สารเคอร์คูมินอยด์ เฉลี่ย 11.04% สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย 120.80% ให้น้ำมันหอมระเหย เฉลี่ย 7.78% สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย 29.67% ส่วนขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 1 ให้ผลผลิตหัวสด 2.23 ตัน/ไร่ ให้สารสำคัญเคอร์คูมินอยด์เฉลี่ย 10.62% สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย 112.4% และให้น้ำมันหอมระเหยเฉลี่ย 7.99% สูงกว่ามาตรสมุนไพรไทย 33.17% ในขณะที่ได้กำหนดมาตรฐานยาสมุนไพรว่าต้องมีสารกลุ่มเคอร์คิวมินอยด์ไม่น้อยกว่า 5% และมีน้ำมันหอมระเหยไม่น้อยกว่า 6% ปัจจุบันมีสายพันธุ์ขมิ้นชันได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมวิชาการเกษตรแล้วมีจำนวนแล้ว 5 สายพันธุ์ คือ ขมิ้นชันทับปุก (พังงา) ขมิ้นชันตาขุน (สุราษฏร์ธานี) ขมิ้นชันแดงสยาม ขมิ้นชันส้มปรารถนา และขมิ้นชันเหลืองนนทรี รวมทั้งยังมีสายพันธุ์ที่ผ่านการรับรองจำนวน 2 พันธ์ ได้แก่ ขมิ้นชันสายพันธ์ตรัง 1 และขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 84-2
       สถานการณ์ผลิตในปี 2559 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกประมาณ 4,000 ไร่ จำนวนเกษตรกรผู้ปลูก 1,000 ครัวเรือน ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,500 กก./ไร่ ให้ผลผลิตรวมทั่วประเทศ 3,500 ตัน แบ่งเป็นวัตถุดิบใช้ในประเทศ 98% และส่งออกเพียงแค่ 2% ในรูปแบบน้ำมันขมิ้นชันไปยังสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยข้อได้เปรียบทาง การตลาดคือขมิ้นชันไทยมีคุณภาพและคุณสมบัติที่ดีกว่าประเทศอื่น โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด 3 จังหวัด กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานีและลำปาง นอกจากนี้รัฐบาลกำลังผลักดันให้ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรระดับชาติ โดยส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น เมื่อนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยจะซื้อผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันกลับไป


แหล่งที่มา

สยามรัฐ
https://siamrath.co.th/n/100532
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู