ขมิ้นชัน มีชื่อเรียกแตกต่างออกไปตามท้องถิ่น เช่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นป่า ขมิ้นทอง ขมิ้นดี ขมิ้นแกง ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้หมิ้น หมิ้น (ใต้) ตายอ (กะเหรียง- กำแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง- แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ : Turmeric, Curcuma
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma Longa L.
ขมิ้นชัน เป็นไม้ล้มลุกหลายปี มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในเหง้าสีเหลืองส้ม มีกลิ่นเฉพาะตัว ในขมิ้นชันมีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ กลุ่มที่เป็นสารให้สี คือ เคอร์คูมินอยด์ (curcuminoid) พบประมาณร้อยละ 5 ของน้ำหนักแห้ง ซึ่งร้อยละ 50-60 ของเคอร์คูมินอยด์ที่พบ เป็นเคอร์คิวมิน (curcumin) โมโนเดสเมท็อกซีเคอร์คูมิน (monodes methoxy curcumin) และบิสเดลเมท็อกซเคอร์คูมิน (bis- desmethoxy curcumin) ส่วนสารสำคัญอีกกลุ่ม คือ น้ำมันหอมระเหย ที่ประกอบด้วย โมโนเทอร์พีนอยด์ (monoterpenoin) และเซสควิเทอร์พีนอยด์ (sesquiterpenoids)
ขมิ้น มีด้วยกัน 7 สายพันธุ์ แต่เมืองไทยพบ 4 สายพันธุ์ คือ
1.ขมิ้นอ้อย คนโบราณใช้ช่วยขับลม แก้ท้องร่วง มีสารรสฝาดทำให้แผลหายเร็ว แก้ฟกบวม เป็นสายพันธุ์เดียวที่พบในญี่ปุ่น ซึ่งคนญี่ปุ่นนิยมใช้บำรุงตับ
2.ขมิ้นขาว (หัวม่วง = คนใต้) นิยมกินกับน้ำพริก
3.ขมิ้นดำ คนโบราณนิยมนำมาทำน้ำมันหอมระเหย
4.ขมิ้นชัน มีสรรพคุณโดดเด่น ได้รับความสนใจจากวงการแพทย์ มีหลายหน่วยงานศึกษา “ขมิ้นชัน” ในเชิงการแพทย์ จนขมิ้นชันได้รับการขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย
ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันดีในทุกภาค มีการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยนิยมนำมาปรุงช่วยเพิ่มสีสันแต่งกลิ่นและรสชาติของอาหาร มีตำรับอาหารและตำรับยามากมายเป็นทั้งยาภายนอกและยาภายใน สำหรับยาภายในใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น ส่วนยาภายนอก เชื่อว่าขมิ้นชันช่วยรักษาและสมานแผล ทำให้แผลไม่เป็นหนอง
และขมิ้นชันยังเป็นสมุนไพรเครื่องสำอางได้ดีอีกด้วย ขมิ้นชัน ไม่ใช่ยารักษาโรคแต่ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรเครื่องเทศ ที่ใส่ในอาหารในชีวิตประจำวัน โดยนำมาปรุงแต่งและใช้ประกอบอาหารซึ่งพบมากทางภาคใต้ จะเห็นได้ว่าอาหารปักษ์ใต้มักมีสีออกเหลืองแทบทุกอย่าง สำหรับคนใต้ขมิ้นชันเป็นเครื่องเทศที่แทบจะขาดไม่ได้เลย เพราะนอกจากช่วยในการดับกลิ่นคาวได้ดีแล้ว ยังเป็นสมุนไพรปรุงรส และช่วยสมานแผลได้อีกด้วย
การกินขมิ้นชัน ควรเลือกที่ได้คุณภาพ คือ ต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้และ ต้องไม่เก็บไว้นานเกินไปจนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องเก็บให้พ้นแสง เพราะแสงจะมีปฏิกิริยากับสารสำคัญอย่างเคอร์คิวมิน หากจะกินขมิ้นเป็นประจำก็ควรปลูกและดูแลเองโดยนำแง่งขมิ้นชันมาปลูกรดน้ำพอชุ่ม วันละ 1-2 ครั้ง ก็สามารถปลูกขมิ้นไว้กินได้แล้ว และยังสามารถควบคุมคุณภาพได้ แถมประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ควรเลือกแหล่งซื้อที่ไว้ใจได้
ปัจจุบันขมิ้นชันแคปซูล เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติและเป็นยาในงานสาธารณสุขมูลฐาน สามารถที่จะเบิกค่ายาจากระบบสุขภาพต่างๆ ได้ อีกทั้งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตให้ขมิ้นชันสามารถขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านได้แล้ว ดังนั้นจึงสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ขมิ้นชันมีสรรพคุณทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม รวมทั้งมีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะ ข้อจำกัดของการกินขมิ้นชัน ผลงานวิจัยพบว่า การกินขมิ้นชัน ช่วยลดการจุกเสียดและปวดชะงักมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยาลดกรดอะลั่มมิลด์ พบว่าขมิ้นชันมีอัตราการแก้ปวดท้องได้ดีกว่า