วีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร จากธนาคารกสิกรไทย กล่าวไว้ในคอลัมน์ Smart SMEs อย่างน่าสนใจว่า...
"การแข่งขันยุคนี้ ใครพร้อมก็ได้เปรียบ" เพราะความท้าทายและข้อจำกัดมากมายฉุดรั้งให้ภาคการเกษตรไทยยังก้าวไปข้างหน้าได้ไม่เร็วพอ ดังนั้นถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ เพื่อสร้างแต้มต่อให้สินค้าเกษตรสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
จากปัญหาที่เกษตรกรต้องเผชิญตั้งแต่การเพาะปลูก ไปจนถึงราคาขาย กลายเป็นตัวผลักดันให้ไทยต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยในการเพาะปลูกมากขึ้น หรือที่เรียกว่า เกษตรสมัยใหม่ (AgriTech) เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ และลดต้นทุน ด้วยหลักการทำเกษตรแบบแม่นยำ (Precision farming) ที่จะทำให้การปลูกพืชมีประสิทธิภาพมากที่สุด และสามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ได้ โดยหัวใจสำคัญคือ Internet of things (IOTs) ซึ่งใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ทางการเกษตรกับอุปกรณ์ควบคุมหลักอย่างเซ็นเซอร์ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดดิน ตรวจวัดและคาดเดาสภาพอากาศ ตรวจโรคพืช ตรวจวัดผลผลิต และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ซึ่งเป็นการคาดการณ์ข้อมูลด้านการเกษตรด้วยฐานข้อมูล อันจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ โดยเครื่องมือเหล่านี้สามารถแบ่งตามขนาดพื้นที่การใช้งานของเกษตรกรได้ 2 กลุ่ม คือ
1. พื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถใช้เกษตรอัจฉริยะ (Smart farming) และ Drone เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ ซึ่งปัจจุบันสมาร์ทฟาร์มมิ่งของไทยยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน และยังเป็นแบบระบบอัตโนมัติ เช่น รถแทรกเตอร์ติด GPS หุ่นยนต์เก็บเกี่ยวอัตโนมัติ เป็นต้น ดังนั้นต้องเน้นไปที่สินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ เช่น ข้าว ผลไม้ แต่จากแนวโน้มราคาเทคโนโลยีที่ถูกลง และความรู้ของผู้ประกอบการที่มากขึ้น คาดว่าอีก 5 ปี ไทยจะสามารถยกระดับไปสู่ Smart farming แบบเต็มพิกัด ที่ใช้ Big data/AI ตัดสินใจร่วมด้วยในการวิเคราะห์และคาดการณ์ข้อมูล ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติที่ถูกควบคุมด้วยการตัดสินใจภายใต้ข้อมูลที่เก็บไว้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ สำหรับโดรนเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ โดยเฉพาะนาข้าว เพื่อประหยัดแรงงานคนและเวลา ลดความเสี่ยงของเกษตรกรที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี สามารถควบคุมการผลิตได้จากมุมสูง โดรน 1 ลำสามารถทำงานได้มากกว่าใช้แรงงานคนกว่า 10 เท่าต่อวัน
2. พื้นที่ขนาดเล็ก จะเป็นการใช้โรงงานผลิตพืช (Plant factory) เพื่อเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งทำในโรงเรือนระบบปิด ที่สามารถควบคุมการปลูกพืชได้เต็มรูปแบบ ด้วยการใช้หลอดไฟ LED เป็นแหล่งกำเนิดของแสงในการกระตุ้นสารสำคัญ ซึ่งต้องเน้นไปที่พืชสมุนไพร หรือพืชที่นำมาสกัดให้ได้สารตั้งต้น เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง (High-end product) เช่น อุตสาหกรรมด้านการแพทย์ ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์สปา เป็นต้น โดยคาดว่า อีก 3 ปีน่าจะเห็นภาพที่ไทยนำโรงงานผลิตพืชเข้ามาใช้ในภาคเกษตรเชิงพาณิชย์ แต่ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ และอีก 5 ปีต่อไป ผู้ประกอบการรายเล็กน่าจะสามารถทยอยเข้าสู่ธุรกิจได้มากขึ้น และอีก 7 ปีน่าจะเห็นภาพที่ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเข้าสู่ธุรกิจได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ตามแนวโน้มราคาเทคโนโลยีที่ถูกลง และผู้ประกอบการที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากขึ้น
จะเห็นว่า AgriTech คือจุดเปลี่ยนที่จะตอบโจทย์ให้เกษตรกรไทยได้ไม่น้อย ผู้ประกอบการควรศึกษาเอาไว้ เพราะในอนาคตเทรนด์นี้มาแน่ ไม่เพียงแค่การควบคุมการผลิต หรือควบคุมคุณภาพของผลผลิตเท่านั้น ผู้ประกอบการยังสามารถนำไปต่อยอดกับช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ แสดงให้เห็นผลผลิตภายในฟาร์ม เพื่อให้ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสั่งซื้อได้ ดังนั้นหากผู้ประกอบการเตรียมพร้อมเอาไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมก็จะลงมือทำได้ทันที