แจ้งเตือน
H20 โรคพืช
2 กันยายน 2567
โรคใบด่างมันสำปะหลัง และแนวทางป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบ พาหะนำโรค

การปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมามักไม่ค่อยพบปัญหาด้านศัตรูพืชมากนัก โดยส่วนใหญ่จะจัดการศัตรูพืชเพียงชนิดเดียวคือ วัชพืช เป็นหลัก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มพบปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาดในมันสำปะหลัง เช่น เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ที่สร้างปัญหารุนแรงในปี 2551-2552 แต่หลังจากนั้นก็พบการระบาดลดน้อยลงและเหลือเพียงบางพื้นที่ เช่นเดียวกับการพบ เพลี้ยหอยเกล็ด ไรแดง แมลงหวี่ขาว เป็นต้น

ส่วนปัญหาด้านโรคพืชของเกษตรกรที่คุ้นเคยดีคือ โรคพุ่มแจ้ ที่เกิดจากเชื้อไฟโตพลาสมา โรครากและหัวเน่า โรครากปม โรคแอนแทรกโนส โรคใบจุดสีน้ำตาล แต่ขณะนี้มีโรคใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน คือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava mosaic Disease : CMD)

ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อ Cassava mosaic virus ซึ่งเป็นไวรัสในจีนัส Begomovirus ซึ่งมีรายงานก่อความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศอินเดียและศรีลังกามากกว่า 80% คือ Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งปัจจุบันกำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงกับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น คงต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่เชื้อไวรัสจะแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ไม่แตกต่างจากหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดในข้าวโพด เนื่องจาก
1. ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังติดต่อกับเขตชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งพบการระบาดของโรคไวรัสชนิดนี้ และจังหวัดชายแดนของประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังจำนวนมากไม่ห่างจากชายแดนมากนัก (ทำให้ท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคจากฝั่งกัมพูชามีโอกาสเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่)

  

2. แมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งเป็นแมลงพาหะนำโรค เป็นแมลงศัตรูที่มีพืชอาหารกว้างมากในบ้านเรา และปัญหาอีกข้อคือ การปลูกมันสำปะหลังหลายรุ่นมาก ในพื้นที่ที่ไปสำรวจแปลงเกษตรกรต่างค่อย ๆ ทยอยปลูก โดยไม่ได้ปลูกพร้อมกันทั้งหมดในพื้นที่ แมลงหวี่ขาวจึงมีพืชอาศัยตลอดเวลา จากการสำรวจพบว่าในแปลงที่โรคระบาดรุนแรง (พบอาการโรคเยอะ) โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ติดมาจากท่อนพันธุ์ แต่เกิดจากการถ่ายทอดเชื้อจากแมลงหวี่ขาวยาสูบ และจากการลงพื้นที่สังเกตเห็นแปลงที่พบการระบาดของโรคจะพบแมลงหวี่ขาวยาสูบจำนวนเยอะมาก ๆ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย เมื่อเปรียบเทียบกันกับแปลงที่พบการระบาดของโรคน้อยกว่า จะพบจำนวนแมลงหวี่ขาวยาสูบน้อยกว่าด้วย

แนวทางการป้องกันกำจัด
1. การประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด! นอกจากแจ้งให้เกษตรกรมาฟังแล้ว ต้องแจ้งผ่านช่องทางของหมู่บ้านที่พบการระบาด เช่น หอกระจายเสียงผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักโรคและพาหะนำโรคคือแมลงหวี่ขาวเลย บางคนยังเข้าใจผิด ๆ ว่าแมลงหวี่ขาวคือเพลี้ยแป้ง
2. หมั่นสำรวจแปลงให้บ่อยขึ้น หากเกษตรกรพบให้รีบแจ้งเกษตรตำบล เกษตรอำเภอในพื้นที่ด่วน เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ
3. ซื้อท่อนพันธุ์มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าไม่พบการระบาดของโรคนี้
4. แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเหมือนที่เคยทำในการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง เช่น สารไทอะมีโทแซม สารไดโนทีฟูแรน สารอิมิดาโคลพริด เป็นต้น (เพราะเป็นการป้องกันกำจัดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ตกประมาณไร่ละ 4-6 บาท) ในช่วงหลังมานี้ เกษตรกรไม่แช่ท่อนพันธุ์ เพราะไม่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว โดยคิดว่าเสียเวลาและเปลืองเงิน น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการระบาดของแมลงหวี่ขาว
5. การป้องกันกำจัดแมลงพาหะต้องทำพร้อม ๆ กันทุกแปลง เพราะส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกไม่พร้อมกัน หรือทยอยกันปลูก ทำให้แมลงหวี่ขาวพาหะนำโรคมีพืชอาหารและที่อยู่อาศัยตลอดทั้งปี
6. การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวเป็นไปได้ยาก (ยากยิ่งกว่าหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเสียอีก) เพราะเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเท่าที่สอบถามข้อมูลมาจะไม่คุ้นเคยกับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเลย ส่วนใหญ่จะเคยพ่นกันแต่ยาป้องกันกำจัดวัชพืช และราคาสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพดี ๆ ก็มีราคาค่อนข้างแพง หากเลือกใช้สารดูดซึมที่มีประสิทธิภาพดี อย่างพวกกลุ่ม 4, 9, 23 และกลุ่ม 29 และเหตุผลสำคัญอีกข้อคือประชากรแมลงหวี่ขาวเยอะมาก ๆ เท่าที่สุ่มตรวจนับพบเฉลี่ยมากกว่าห้าสิบตัวต่อต้น การใช้สารเคมีจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
5. การตัดใบที่พบการระบาดเยอะ ๆ ของตัวอ่อนออกมาทำลายน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
6. หลังการลงมือกำจัดแมลงหวี่ขาวและต้นที่เป็นโรคพร้อม ๆ กันแล้ว ต้องเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคไว้ให้เกษตรกรด้วย

โดยสรุปคือ อยากให้เกษตรกรเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคใบด่าง และตระหนักถึงผลกระทบที่ตามมาหากมีปัญหาการระบาดเกิดขึ้น แต่ไม่ตื่นตกใจจนเกินไปเพราะอาการผิดปกติที่คล้ายคลึงกันกับโรคใบด่างนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
1. อาการผิดปกติเนื่องจากขาดธาตุอาหาร โดยมีลักษณะอาการที่พบใบมันสำปะหลังมีขนาดเล็ก รูปทรงอาจผิดปกติ ใบมีสีซีด หรือเหลืองตรงเส้นใบ
2. อาการผิดปกติเนื่องจากถูกสารเคมี โดยมีลักษณะอาการที่พบใบมันสำปะหลังจะมีลักษณะเรียวเล็ก เนื้อใบมีสีเขียวเข้มและอ่อนสลับกัน แต่ใบแข็งและหนา


แหล่งที่มา

สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร
https://www.facebook.com/profile.php?id=100068076707389
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู