แจ้งเตือนทุกหมวดหมู่
- เตือนภัย! โรคเหี่ยวเขียว หรือเหง้าเน่า (เชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum) คุกคามขิงในระยะปลูกใหม่
ในช่วงนี้สภาพอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับลมกระโชกแรงและฝนฟ้าคะนองในบางพื้นที่ ขอเตือนเกษตรกรผู้ปลูกขิงในระยะปลูกใหม่ เฝ้าระวังโรคเหี่ยวเขียว หรือเหง้าเน่า ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ที่สามารถทำความเสียหายอย่างหนักแก่แปลงปลูกได้
อ้างอิงภาพ https://www.opsmoac.go.th/kamphaengphet-warning-preview-442891791799
อาการของโรคที่ควรสังเกต
- เริ่มแรก ใบขิงจะเหี่ยวและม้วนเป็นหลอด มีสีเหลือง และจะลุกลามจากโคนต้นขึ้นไปยังยอด
- ทั้งต้นจะแห้งตายอย่างรวดเร็ว
- โคนต้นและหน่อใหม่จะมีลักษณะฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลเข้มถึงดำ
- เมื่อผ่าลำต้นตามขวาง จะพบเมือกสีขาวขุ่นไหลซึมออกมา
- ลำต้นเน่าและหลุดจากเหง้าได้ง่าย
- เหง้ามีอาการฉ่ำน้ำ สีคล้ำ และสุดท้ายเหง้าจะเน่าเสียแนวทางป้องกันและแก้ไขโรคเหี่ยวเขียว/เหง้าเน่าในขิง
1. เลือกพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม
- เลือกแปลงที่ไม่เคยมีประวัติการระบาดของโรค และมีการระบายน้ำดี
2. เตรียมดินอย่างถูกวิธี
- ไถพรวนดินลึกมากกว่า 20 เซนติเมตร และตากดินตากแดดนานกว่า 2 สัปดาห์ เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคในดิน
3. ฆ่าเชื้อในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด
- โรยยูเรียผสมปูนขาว อัตราส่วน 80 : 800 กิโลกรัมต่อไร่
- ไถกลบดิน รดน้ำให้ดินชุ่ม และทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ ก่อนเริ่มปลูกขิงใหม่
4. ใช้หัวพันธุ์ที่ปลอดโรคเท่านั้น
- คัดเลือกหัวพันธุ์จากแหล่งผลิตที่ไม่มีประวัติการระบาดของโรค
5. หมั่นตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ
- หากพบต้นที่แสดงอาการเหี่ยว ควรขุดต้นไปทำลายนอกแปลงทันที
- โรยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
6. ทำลายซากพืชหลังเก็บเกี่ยว
- หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรนำส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ติดเชื้อไปทำลายนอกแปลงอย่างถูกวิธี
7. สลับปลูกพืชเพื่อตัดวงจรโรค
- ในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด ควรงดปลูกพืชอาศัยของเชื้อ เช่น พืชตระกูลขิง มะเขือ มันฝรั่ง พริก และถั่วลิสง
- สลับปลูกพืชที่ไม่ใช่พืชอาศัย เช่น ข้าว ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง เพื่อลดการสะสมของเชื้อในดิน
อ่านต่อ - เตือนผู้ปลูกกุหลาบ! ระวังเพลี้ยไฟพริกเข้าทำลายช่วงออกดอก
ช่วงนี้อากาศร้อนและมีฝนตกบางพื้นที่ เกษตรกรผู้ปลูกกุหลาบควรเฝ้าระวังการระบาดของเพลี้ยไฟพริก ซึ่งจะเข้าทำลายในระยะที่กุหลาบกำลังออกดอก
สังเกตอาการของกุหลาบที่ถูกเพลี้ยไฟทำลาย
- เพลี้ยไฟตัวอ่อนและตัวเต็มวัย จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน
- ทำให้ยอดอ่อนหงิกงอ มีรอยสีน้ำตาลดำ และเหี่ยวแห้ง
- ถ้าเพลี้ยไฟทำลายส่วนดอก จะทำให้ดอกแคระแกร็น กลีบดอกมีสีน้ำตาลไหม้
- ดอกเสียคุณภาพ ไม่ตรงตามความต้องการของตลาดแนวทางป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟพริกในกุหลาบ เมื่อพบการระบาดควรพ่นสารที่มีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนี้
- สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 10-20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
- คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
- ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตรหมายเหตุ
- พ่นสารให้ทั่วบริเวณยอดอ่อนและดอกที่กำลังบาน
- หลีกเลี่ยงการพ่นซ้ำ ๆ ด้วยสารชนิดเดียวกันนานเกินไป เพื่อป้องกันการดื้อยา
อ่านต่อ - ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบในมะเขือเปราะ
ช่วงนี้มีฝนตกและฝนตกหนักในบางพื้นที่ ขอเตือนผู้ปลูกมะเขือเปราะในทุกระยะการเจริญเติบโตให้ระวังแมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใบ และเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสสาเหตุโรคใบด่างเหลืองในมะเขือเปราะ ทำให้ผลผลิตลดลง
แนวทางป้องกันกำจัด
1. ก่อนย้ายปลูก
- รองก้นหลุมปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ไดโนทีฟูแรน 1% G อัตรา 2 กรัมต่อหลุม
- ควบคุมการเข้าทำลายของแมลงหวี่ขาวได้ประมาณ 45 วัน
- หลังใส่สารลงในหลุมแล้วให้โรยดินกลบสารบาง ๆ ก่อนย้ายกล้าลงหลุม เพื่อป้องกันรากพืชสัมผัสสารโดยตรง2. เมื่อพบการระบาด
- พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามอัตราส่วนที่กำหนด
- บูโพรเฟซิน 40% SC: 25 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- ฟลอนิคามิด 50% WG: 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- สไปโรเตตระแมท 15% OD: 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD: 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไบเฟนทริน 2.5% EC: 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไดโนทีฟูแรน 10% WP: 15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- น้ำมันปิโตรเลียม เช่น ไวต์ออยล์ 67% EC: 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
** ควรพ่นสารทุก 5 วัน 2-3 ครั้งติดต่อกันเมื่อพบการระบาด
หมายเหตุ บูโพรเฟซินควรงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 5 วัน
อ่านต่อ - แมลงศัตรูพืชและโรคพืชที่มักระบาดในฤดูร้อน
ฤดูร้อนเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงและความชื้นต่ำ เอื้อต่อการเจริญเติบโตของศัตรูพืช รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคพืชหลายชนิด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของศัตรูพืชและโรคพืชที่ระบาดในช่วงนี้ รวมถึงแนวทางป้องกันและควบคุมที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสียหายและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศัตรูพืชที่ระบาดในฤดูร้อน
1. เพลี้ยไฟ
- ทำลายใบอ่อน ดอก และผล ทำให้ใบหงิกงอ ผลผลิตลดลง
- เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสพืช เช่น ไวรัสใบด่างพริก
- การป้องกัน ใช้เชื้อราบิวเวอเรีย หรือสารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น สะเดา
- การใช้สารเคมี ใช้สารกลุ่มสไปนีโทแรม (Spinetoram) หรืออิมิดาคลอพริด (Imidacloprid) โดยใช้ตามคำแนะนำ2. เพลี้ยแป้ง
- ดูดกินน้ำเลี้ยงพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าและแคระแกร็น
- ขับถ่ายสารหวาน ทำให้เกิดราดำที่ลดการสังเคราะห์แสง
- การป้องกัน ใช้แตนเบียน (Anagyrus sp.) ควบคุมตามธรรมชาติ
- การใช้สารเคมี ใช้สารไดโนทีฟูแรน (Dinotefuran) หรือไทอะมีทอกแซม (Thiamethoxam)3. แมลงหวี่ขาว
- ดูดน้ำเลี้ยงพืช ทำให้ใบเหลืองและเป็นพาหะนำเชื้อไวรัส
- แพร่ระบาดในพืชตระกูลแตงและพืชผักทั่วไป
- การป้องกัน: ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง และปลูกพืชหลากหลายลดการสะสมของแมลง
- การใช้สารเคมี: ใช้สารอเซทามิพริด (Acetamiprid) หรือไพริพรอกซีเฟน (Pyriproxyfen)4. หนอนกระทู้ผัก
- กัดกินใบและต้นของพืชผัก เช่น คะน้า กะหล่ำปลี
- การป้องกัน: ใช้แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt) ในการควบคุม
- การใช้สารเคมี: ใช้คลอแรนทรานิลิโพรล (Chlorantraniliprole) หรือแลมบ์ดาไซฮาโลทริน (Lambda-cyhalothrin)โรคพืชที่ระบาดในฤดูร้อน
1. โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)
- พบมากในพริก มะม่วง และพืชตระกูลแตง ทำให้เกิดแผลเน่าและผลร่วง
- การป้องกัน ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma sp.) ป้องกันการเกิดโรค
- การใช้สารเคมี ใช้สารแมนโคเซบ (Mancozeb) หรือโพรคลอราซ (Prochloraz)2. โรคใบจุด (Leaf Spot)
- พบในพืชผัก เช่น ผักชี ขึ้นฉ่าย ทำให้ใบมีจุดแผลและแห้งตาย
- การป้องกัน หลีกเลี่ยงการให้น้ำแบบพ่นฝอย และใช้สารชีวภัณฑ์ควบคุมเชื้อรา
- การใช้สารเคมี ใช้สารไตรฟลอกซีสโตรบิน (Trifloxystrobin) หรืออะซอกซีสโตรบิน (Azoxystrobin)3. โรครากเน่าโคนเน่า (Root and Stem Rot)
- พบในพืชตระกูลแตงและพืชตระกูลถั่ว ทำให้รากและโคนต้นเน่า
- การป้องกัน ปรับปรุงระบบระบายน้ำและหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป
- การใช้สารเคมี ใช้สารเมทาแลกซิล (Metalaxyl) หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม (Fosetyl-Al)แนวทางป้องกันและควบคุมศัตรูพืชในฤดูร้อน
1. การจัดการแปลงปลูก
- ปลูกพืชหมุนเวียนลดการสะสมของศัตรูพืช
- ใช้พืชคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นและลดอุณหภูมิของดิน2. การใช้ชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืช เช่น
- ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาและเชื้อแบคทีเรียบีที (Bt) ควบคุมโรคพืชและศัตรูพืช
- ใช้แมลงตัวห้ำ เช่น เต่าทองลายหยัก (Cryptolaemus montrouzieri) กำจัดเพลี้ยแป้ง3. การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น
- สารสกัดสะเดาและน้ำส้มควันไม้ช่วยลดการระบาดของแมลงศัตรูพืช
- สารสกัดข่าและตะไคร้หอมมีฤทธิ์ป้องกันเชื้อรา4. การใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม
- เลือกใช้สารเคมีตามประเภทของแมลงศัตรูพืชและโรคพืชที่พบ
- ใช้สารเคมีตามอัตราที่แนะนำและสลับกลุ่มสารเพื่อลดการดื้อยา
- ปฏิบัติตามหลักการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม5. การเฝ้าระวังและสำรวจแปลงปลูก
- หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการแพร่ระบาดของศัตรูพืช
- ใช้ระบบเตือนภัยแมลงศัตรูพืชเพื่อคาดการณ์และป้องกันล่วงหน้าการจัดการแมลงศัตรูพืชและโรคพืชในฤดูร้อนต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการ โดยรวมถึงการใช้ชีวภัณฑ์ การปลูกพืชหมุนเวียน การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร และการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสียหายต่อพืชผลและสิ่งแวดล้อม
อ่านต่อ - ระวังการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟในทุเรียน
สภาพอากาศที่ร้อนแล้งจะมีการระบาดของเพลี้ยไฟรุนแรง เข้าทำลายใบอ่อน ดอก และผลอ่อนทุเรียนให้เสียหาย เกษตรกรควรหมั่นสำรวจและรีบทำการป้องกันกำจัดให้ทันท่วงทีเพื่อลดความเสียหาย
การป้องกันกำจัด
- การควบคุมด้วยสารเคมีกลุ่มต่างๆ เช่น
กลุ่ม 1 คาร์โบซัลแฟน / คาบาริล
กลุ่ม 2 พิโพรนิล
กลุ่ม 4 อิมิดาโคลพริด / อะเซตทรามิพริด / ไดโนทีฟูแรน
กลุ่ม 6 อะบาเม็กติน / อิมาแมคติน เบนโซเอต
กลุ่ม 3A ไบเฟนทริน
กลุ่ม 5 สไปนีโทแรม สปินโนแซด
พ่นทุก 7-10 วัน และควรสลับกลุ่มยาต่างๆ เพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟดื้อยา
*ในระยะทุเรียนเป็นดอกหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นสูตรน้ำมัน คือ สูตร EC (ที่ชาวสวนเรียกว่ายาร้อน) ในระยะทุเรียนเป็นดอก เพราะอาจเกิดทำให้ดอกฝ่อ ดอกร่วงได้
อ่านต่อ - เตือนภัยเกษตรกร! โรคกิ่งตายระบาดหนักในสวนทุเรียนภาคใต้ เสี่ยงรุนแรงช่วงหน้าแล้ง
กรมส่งเสริมการเกษตรเตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคกิ่งตาย ที่กำลังแพร่ระบาดในสวนทุเรียนภาคใต้ โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งที่อาจทำให้โรครุนแรงขึ้น
ภัยเงียบจากโรคกิ่งตาย
เชื้อราฟิวซาเรียมแพร่กระจายผ่านทางน้ำและสารอาหาร ทำให้ใบเหี่ยว กิ่งแห้ง และอาจลุกลามถึงต้นตาย หากพบต้นที่ติดโรค ควรรีบตัดและเผาทำลายทันที เพื่อลดการแพร่ระบาด
ภาวะแล้งซ้ำเติมโรคระบาด
ภัยแล้งทำให้ต้นทุเรียนอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย เกษตรกรควรสำรองน้ำให้เพียงพอ ลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด
แนวทางป้องกันและลดความเสียหาย
- เฝ้าระวังอาการติดเชื้อ สังเกตใบเหลือง เหี่ยว และกิ่งแห้งผิดปกติ
- กำจัดต้นที่ติดเชื้ออย่างถูกวิธี ตัดและเผากิ่งที่เป็นโรคทันที
- บริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ สำรองน้ำและดูแลต้นทุเรียนให้แข็งแรง
- ใช้สารชีวภัณฑ์และปรับปรุงดิน ใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อควบคุมเชื้อโรค
แนวโน้มตลาดทุเรียนไทย
ทุเรียนไทยเผชิญการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน เกษตรกรควรมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานการผลิต เพื่อลดปัญหาทุเรียนอ่อนและรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ขอให้เกษตรกรติดตามข่าวสาร และดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องผลผลิตทุเรียนไทยจากวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยแป้งในน้อยหน่า ศัตรูร้ายที่ต้องควบคุม
ลักษณะการทำลาย
เพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ยอดอ่อน ช่อดอก และผล เมื่อระบาดรุนแรงจะทำให้พืชเหี่ยวแห้งและผลเสียคุณภาพ เพลี้ยแป้งยังถ่ายมูลเป็นน้ำหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุของราดำ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผลผลิต เพลี้ยแป้งสามารถเคลื่อนย้ายจากพื้นดินขึ้นต้นน้อยหน่าตั้งแต่ระยะออกดอกจนถึงผลแก่ โดยมีมดเป็นพาหะช่วยแพร่กระจายแนวทางป้องกันและกำจัด
- หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบการระบาดตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยลดความเสียหายได้
- ตัดแต่งส่วนที่ถูกทำลาย หากพบการระบาดเล็กน้อย ควรตัดแต่งส่วนที่พบเพลี้ยแป้งแล้วนำไปทำลายนอกแปลง
- ใช้วิธีกายภาพกำจัด เช่น ใช้แปลงปัดออกจากผล หรือฉีดพ่นน้ำแรงดันสูงให้เพลี้ยแป้งหลุดไป
- นอกจากนี้สามารถใช้น้ำผสมไวท์ออยล์ อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อเคลือบตัวเพลี้ยแป้งและลดการแพร่ระบาด
ควบคุมมด เนื่องจากมดเป็นตัวพาเพลี้ยแป้งขึ้นต้น ควรใช้เหยื่อพิษกำจัดมด หรือฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงที่เหมาะสม
ใช้สารเคมีเมื่อจำเป็น โดยเลือกใช้
- อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- คาร์โบซัลแฟน 20% EC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
ควรพ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน และสลับกลุ่มสารเคมีเพื่อลดโอกาสดื้อยาคำแนะนำเพิ่มเติม
หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในช่วงที่มีผึ้งหรือแมลงผสมเกสร
หากใช้สารเคมี ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ส่งเสริมการใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่น เต่าทอง และแตนเบียน เพื่อลดปริมาณเพลี้ยแป้งการป้องกันที่ดี คือการจัดการแปลงปลูกให้สะอาด ตรวจสอบสม่ำเสมอ และใช้วิธีผสมผสานเพื่อควบคุมเพลี้ยแป้งอย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านต่อ - แจ้งเตือนภัยทางการเกษตร: การเข้าทำลายของเพลี้ยอ่อนในข้าวโพด
⚠️ สถานการณ์: ขณะนี้พบการระบาดของเพลี้ยอ่อนในแปลงข้าวโพด ซึ่งแม้ปกติจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง แต่หากมีปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลผลิต
🛑 ลักษณะความเสียหาย
- เพลี้ยอ่อนจะเกาะเป็นกลุ่มและดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอด กาบใบ โคนใบ และกาบฝัก
- พบมากบริเวณช่อดอก ส่งผลให้ช่อดอกไม่บาน ติดเมล็ดน้อย และเมล็ดแก่เร็วผิดปกติ
- การขับถ่ายน้ำหวานของเพลี้ยทำให้เกิดราดำปกคลุมต้นและฝัก ส่งผลต่อคุณภาพข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว
🚨 แนวทางป้องกันและกำจัด
✅ หมั่นตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดกำลังมีเกสรตัวผู้และสภาพอากาศแห้งแล้ง
✅ หากพบการระบาดเฉพาะจุด ควรพ่นสารกำจัดแมลงเฉพาะบริเวณที่มีเพลี้ยอ่อนระบาด เพื่อลดผลกระทบต่อแมลงที่เป็นประโยชน์
✅ สารป้องกันกำจัดแมลงที่แนะนำ ได้แก่ มาลาไทออน, คาร์บาริล, ไบเฟนทริน หรือ ไดอะซินอน
✅ ใช้มาตรการควบคุมแบบผสมผสาน เพื่อลดการพึ่งพาสารเคมี เช่น การปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติ เช่น แมลงช้างปีกใส และเต่าทอง📢 คำแนะนำ: เกษตรกรควรเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบการระบาดรุนแรงให้รีบดำเนินการป้องกันกำจัดเพื่อลดความเสียหายต่อผลผลิต
🔍 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ของท่าน
อ่านต่อ - ระวังหนอนกินใต้ผิวเปลือกในลองกอง
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน มีฝนตกและลมแรงในบางพื้นที่ เตือนผู้ปลูกลองกองในระยะ ติดผลอ่อน รับมือหนอนกินใต้ผิวเปลือก หนอนกัดกินทำลายอยู่ใต้ผิวเปลือก ลึกระหว่าง 2-8 มิลลิเมตร ตามกิ่งและลำต้น ทำให้ต้นเป็นปุ่มปม เมื่อหนอนระบาดมากจะทำให้กิ่งแห้งและตาย ถ้าหนอนกัดกินตาดอกจะทำให้ตาดอกถูกทำลายและผลผลิตลดลง
แนวทางป้องกันกำจัด
ใช้ไส้เดือนฝอย (Steinernema carpocapsae) อัตรา 50 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร 1 ต้น ใช้น้ำ 2-3 ลิตร พ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 15 วัน ควรพ่นไส้เดือนฝอยในตอนเย็น (หลังเวลา 17.00 น.) เพื่อหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ ในกรณีมีอากาศแห้งแล้ง ควรพ่นน้ำเปล่าให้ความชุ่มชื้นก่อนพ่นไส้เดือนฝอย
อ่านต่อ - ระวังเพลี้ยแป้งในพริกไทย
สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศเย็นและมีความชื้นสูงในตอนเช้า อากาศร้อนในตอนกลางวัน เตือนผู้ปลูกพริกไทยในระยะติดผล ผลแก่ เก็บเกี่ยว รับมือเพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณช่อผล หลังใบ กิ่งปาง (กิ่งแขนง) ราก ยอด และลำต้น ส่วนที่ยังอ่อนอยู่ ส่วนที่ถูกทำลายจะงอหงิก บิดเบี้ยว หากการระบาดรุนแรงช่อผลแห้งและหลุดร่วง ผลผลิตเสียหาย กิ่งปาง (กิ่งแขนง) และยอดจะแห้งตาย
แนวทางป้องกันกำจัด
1. หากพบระบาดเล็กน้อยให้ตัดส่วนที่ถูกทำลายทิ้ง
2. ถ้าระบาดรุนแรงพ่นด้วยโพรไทโอฟอส 50% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
อ่านต่อ - พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร ระหว่างวันที่ 12 – 18 มีนาคม 2568
ระยะนี้ประเทศไทยตอนบน อากาศร้อน-ร้อนจัด กับมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงบางแห่ง
ช่วงวันที่ 12-13 มี.ค. 2568 และ 16-17 มี.ค. 2568 ประเทศไทยตอนบน/ภาคใต้ตอนบน จะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง
อากาศร้อนถึงร้อนจัด โดยเฉพาะช่วงกลางวัน
หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ดื่มน้ำบ่อย ๆ
ลดความเสี่ยงลมแดด!ระวังการเกิดอัคคีภัยและไฟป่า
ระวังศัตรูพืชจำพวกหนอน
เพิ่มการให้น้ำแก่พืชอย่างเหมาะสม
เกษตรกรเฝ้าระวัง โรงเรือน พืชผล สัตว์เลี้ยง และติดตามพยากรณ์อากาศใกล้ชิด
อ่านต่อ - กรมอุตุฯ เตือนพายุฤดูร้อน 6-8 มี.ค. 2568 ระวังฝนฟ้าคะนอง-ลมแรง-ลูกเห็บตก
กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศฉบับที่ 1 เตือนพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 6-8 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและภาคตะวันออก โดยลักษณะของพายุจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตกบางพื้นที่ และอาจเกิดฟ้าผ่าได้
สาเหตุของพายุฤดูร้อน พายุฤดูร้อนครั้งนี้เกิดจากมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากจีน ที่แผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนและพายุฝนฟ้าคะนอง
ข้อควรระวังและคำแนะนำ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือใกล้สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง
- ระวังอันตรายจากลมแรงและฟ้าผ่า
- เกษตรกรควรเสริมความแข็งแรงให้พืชผล และเตรียมรับมือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผลผลิตและสัตว์เลี้ยง
- ดูแลสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วประชาชนสามารถติดตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาได้ทาง
🔗 เว็บไซต์ www.tmd.go.th
📞 โทรศัพท์ 0 2399 4012-13 หรือ 1182 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
โปรดติดตามข่าวสาร และเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย! ⛈⚡
อ่านต่อ - ระวังโรคพุ่มไม้กวาดในลำไย
โรคพุ่มไม้กวาดในลำไย (Witches'broom)
เชื้อสาเหตุโรค : ไฟโตพลาสมา (Phytoplasma)
แมลงพาหะ : เพลี้ยจักจั่นสีน้ำตาล ไรกำมะหยี่ลำไย
ลักษณะการทำลาย
เริ่มแรกส่วนที่เป็นตาเกิดอาการใบยอดแตกฝอย มีลักษณะคล้ายพุ่มไม้กวาด ใบมีขนาดเล็กเรียวยาวม้วนบิดเป็นเกลียวมีขนละเอียดปกคลุมแข็งกระด้างไม่คลี่ออก ถ้าเป็นช่อดอกจะแตกเป็นพุ่มฝอยดอกแห้งไม่ติดผล ถ้าไม่รุนแรงก็จะออกช่อชนิดติดใบปนดอกและช่อสั้น ๆ ซึ่งอาจติดผลได้น้อยประมาณ 4-5 ผล ถ้าเป็นโรครุนแรง ดอกลำไยที่เกิดขึ้นจะแตกกิ่งเป็นฝอย มีใบชนิดไม่คลี่อยู่มาก ลำไยที่เป็นโรครุนแรงต้นจะโทรม ออกดอกติดผลน้อย
อ่านต่อ - เตือนภัยการเกษตร ระวังการระบาดของเพลี้ยไฟพริกในทุเรียน
สภาพอากาศช่วงนี้อากาศเย็นในตอนเช้า มีหมอกในบางพื้นที่ และอากาศร้อนในตอนกลางวัน เตือนผู้ปลูกทุเรียนในระยะแทงช่อดอก-พัฒนาผล ควรระวังการระบาดของเพลี้ยไฟพริก
ช่วงเวลาระบาด เพลี้ยไฟจะระบาดรุนแรงในช่วงแล้ง ระหว่างเดือนธันวาคม-พฤษภาคม
ลักษณะการทำลาย
เพลี้ยไฟพริกทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเขี่ยและดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนอ่อนของพืช ใบอ่อนหรือยอดอ่อนชะงักการเจริญเติบโต แคระแกร็น ใบโค้ง แห้งหงิกงอ และไหม้ ดอกแห้ง ดอกและก้านดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแคระแกร็น และร่วงได้ ผลอ่อนชะงักการเจริญเติบโต หนามเป็นแผลและเกิดอาการปลายหนามแห้ง ผลไม่สมบูรณ์และแคระแกร็นแนวทางป้องกันกำจัด
สำรวจการระบาดของเพลี้ยไฟในระยะแตกใบอ่อน ดอก และผลอ่อน หากพบเพลี้ยไฟระบาดเล็กน้อยให้ตัดส่วนที่ถูกทำลายทิ้ง เมื่อพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรง ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพ เช่น อิมิดาโคลพริด 10% SL หรือ ฟิโพรนิล 5% SC พ่นเมื่อพบเพลี้ยไฟเฉลี่ยมากกว่า 1 ตัวต่อยอด ช่อ หรือผล และไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำติดต่อกันหลายครั้ง
อ่านต่อ - ระวังหนอนเจาะฝักถั่วในถั่วเหลือง
🚨 ประกาศแจ้งเตือนภัยทางการเกษตร 🚨 เรื่อง ระวังหนอนเจาะฝักถั่วในถั่วเหลือง
📅 สภาพอากาศในช่วงนี้
☀️ อากาศเย็นในตอนเช้า มีหมอกในบางพื้นที่
🔥 อากาศร้อนในตอนกลางวัน⚠️ เตือนภัยเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง
พบการระบาดของ หนอนเจาะฝักถั่ว ในระยะ ออกดอกและติดฝักอ่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิต ลดลงมากกว่า 40%🔍 ลักษณะการเข้าทำลาย
🔸 หนอนเจาะเข้าไปกัดกินเมล็ดภายในฝักหลังฟักออกจากไข่
🔸 หนอนขนาดใหญ่สามารถย้ายไปกัดกินฝักอื่น ๆ ได้
🔸 หนอนจะชักใยดึงฝักมาติดกัน ทำให้เมล็ดเสียหาย🛑 แนวทางป้องกันและกำจัด
✅ พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชดังนี้:
- ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 50 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
- แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
✅ พ่น 1-2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 7-10 วัน📢 โปรดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิต
อ่านต่อ - ระวังหนอนม้วนใบถั่วเหลือง
🚨 ประกาศแจ้งเตือนภัยทางการเกษตร 🚨
เรื่อง ระวังหนอนม้วนใบถั่วเหลือง📅 สภาพอากาศในช่วงนี้
☀️ อากาศเย็นในตอนเช้า มีหมอกในบางพื้นที่ และอากาศร้อนในตอนกลางวัน⚠️ เตือนภัยสำหรับผู้ปลูกถั่วเหลือง
ระยะเวลาที่ควรระวัง ระยะออกดอก และระยะติดฝักอ่อน
พบการระบาดของหนอนม้วนใบถั่วเหลืองที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิต🔍 ลักษณะการเข้าทำลาย
1. หนอนที่ฟักออกจากไข่ใหม่ ๆ จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ชักใยบาง ๆ คลุมตัวไว้ แล้วกัดกินผิวใบ
2. เมื่อหนอนโตขึ้นจะกระจายออกไปทั่วทั้งแปลง สร้างใยยึดใบพืชจากขอบใบของใบเดียวเข้าหากัน หรือยึดใบมากกว่า 2 ใบ เข้าหากัน
3. หนอนจะอาศัยกัดกินอยู่ในห่อใบนั้นจนหมด และเคลื่อนย้ายไปทำลายใบอื่นต่อไป🛑 แนวทางป้องกันและแก้ไข
✅ พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
- แลมบ์ดาไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 40 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร✅ ช่วงเวลาที่ควรพ่น
1. พ่นเมื่อใบถูกทำลาย 30% ก่อนออกดอกจนถึงระยะฝักยังเขียว
2. หรือใบถูกทำลาย 60% หลังดอกบาน 4 สัปดาห์📢 โปรดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิต
อ่านต่อ