ผลผลิตเรพซีดพุ่งรับสภาพอากาศเอื้อ จีนซื้อมหาศาล

โดยทั่วไป เกษตรกรชาวอินเดียจะเริ่มปลูกเรพซีดในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งจนถึงขณะนี้ พวกเขาได้ปลูกไปแล้ว 4.17 ล้านเฮกตาร์ (26.06 ล้านไร่) เพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ปีที่แล้ว อินเดียมีพื้นที่ปลูกเรพซีดทั้งหมด 8.93 ล้านเฮกตาร์ (55.81 ล้านไร่) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ที่ 7.9 ล้านเฮกตาร์

 

 

อีกปัจจัยสำคัญคือ ความต้องการกากเรพซีดจากจีนที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ หลังจากจีนลดการนำเข้าจากแคนาดา โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน (เริ่ม 1 เม.ย.) จีนสั่งซื้อกากเรพซีดจากอินเดียถึง 488,168 ตัน เทียบกับเพียง 60,759 ตัน ตลอดทั้งปีงบประมาณก่อนหน้า

 

ราคารับซื้อพุ่ง รัฐบาลหนุนเพิ่มราคาขั้นต่ำ

ความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ราคาขายเมล็ดเรพซีดยังคงสูงกว่าราคารับจำนำขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดไว้ 5,950 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม หรือประมาณ 2,173 บาท ส่งผลให้รัฐบาลอินเดียต้องขยับราคาสนับสนุนขั้นต่ำในฤดูกาลใหม่ขึ้นอีก 4.2% เป็น 6,200 รูปี (2,730 บาท) เพื่อกระตุ้นการผลิตและสร้างรายได้ให้เกษตรกร

 

พืชน้ำมันที่มีศักยภาพสูง กระทบตลาดน้ำมันพืชโลก

เรพซีดเป็นพืชน้ำมันที่ให้ปริมาณน้ำมันต่อเมล็ดสูงกว่า ถั่วเหลืองอย่างชัดเจน ทำให้หลายฝ่ายคาดว่า หากอินเดียยังขยายพื้นที่ปลูกและรักษาผลผลิตได้ตามเป้า จะสามารถ ลดการนำเข้าน้ำมันพืชจากต่างประเทศ ได้อย่างมาก โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มที่อินเดียนำเข้าถึงหนึ่งในสามของปริมาณการใช้น้ำมันพืชทั้งหมด

 

ปัจจุบันอินเดียยังคงต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันปาล์มจาก มาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมถึงน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวันจาก บราซิล อาร์เจนตินา ยูเครน และรัสเซีย แต่หากผลผลิตเรพซีดขยายตัวต่อเนื่อง อินเดียอาจลดการพึ่งพาการนำเข้าได้ในอนาคต

 

อินเดียก้าวสู่ผู้เล่นรายสำคัญในตลาดน้ำมันพืชโลก

การขยายตัวของเรพซีดอินเดียจึงไม่เพียงเป็นผลดีต่อเกษตรกรในประเทศ แต่ยังมีนัยสำคัญต่อ สมดุลของตลาดน้ำมันพืชโลก โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ซึ่งอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นจาก “น้ำมันเรพซีดอินเดีย” ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม น้ำมันปาล์ม ยังได้เปรียบเรื่องผลผลิตต่อไร่สูงกว่า และต้นทุนการผลิตต่ำกว่า