ข่าวสาร
Q02 การแปรรูปอาหาร
20 มกราคม 2565
วว. พัฒนาโพรเฮิร์บ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเชียงดา-ส้มแขก แบบผงชาฟรีซดราย ตอบโจทย์อุตสาหกรรมแปรรูปของประเทศ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ตอบโจทย์การพัฒนาเทคโนโลยีประเทศด้านอุตสาหกรรมแปรรูป ประสบผลสำเร็จวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ฟังก์ชันนัล (Functional food products) ชนิดใหม่ในรูปของผงชาฟรีซดรายสำหรับชงน้ำเย็นดื่มและผลิตภัณฑ์ชนิดผงพร้อมบริโภค ภายใต้ชื่อ “โพรเฮิร์บ (ProHerb)” ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสู่เชิงพาณิชย์

ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. มุ่งดำเนินงานวิจัยและพัฒนาในรูปแบบบูรณาการหลากหลายสาขาวิชาที่มีความเชี่ยวชาญสู่การพัฒนาเป็นเทคโนโลยี นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสามารถต่อยอดงานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ของประเทศให้ยั่งยืน ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากนโยบายดังกล่าว เป็นผลงานบูรณาการวิจัย โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร และศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ ภายใต้ โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อควบคุมภาวะเบาหวานและความดันโลหิตสูงจากไขมันในกลุ่มประชากรเข้าสู่ระยะสูงวัย ประสบผลสำเร็จพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ Functional Food “โพรเฮิร์บ (ProHerb)”

โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ จุลินทรีย์โพรไบโอติก (Bifidobacterium animalis subsp. lactis TISTR 2591) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ประจำถิ่นที่ศึกษาวิจัยและจำแนกสายพันธุ์โดย วว. และพืชสมุนไพรสองชนิด คือ เชียงดา (Gymnema innodorum) ที่เป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีพายัพ ที่มีสรรพคุณโดดเด่นในการลดน้ำตาลในเลือด และส้มแขก (Garcinia atroviridis) ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวสำหรับใช้ปรุงรสอาหาร และเป็นพืชอัตลักษณ์ทางภาคใต้ ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของโลกและประเทศไทย โดยเฉพาะช่วยควบคุมภาวะโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ในประชากรที่เข้าสู่ระยะสูงวัย หรือผู้ที่มีช่วงอายุ 50-60 ปี

ทั้งนี้องค์ประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์คือ สารออกฤทธิ์เชิงหน้าที่จากธรรมชาติ 2 ชนิด ได้แก่ จุลินทรีย์โพรไบโอติก (probiotic) และสารสกัดพืชสมุนไพร (Herbal extract) มีประสิทธิภาพช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases, NCDs) โดยเฉพาะควบคุมภาวะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงจากภาวะไขมันในเลือด ซึ่งทั้งสองโรคมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน

ผลิตภัณฑ์ฟังก์ชันนัล “โพรเฮิร์บ” มีจำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ คือ โพรเฮิร์บ-จี (ProHerb-G) อยู่ในรูปของชาผงสำหรับชงดื่มในน้ำเย็น และโพรเฮิร์บ-แอล (ProHerb-L) อยู่ในรูปผงพร้อมบริโภค กระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ทั้งสองคณะวิจัยได้กำหนดอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อคงสภาพและการมีชีวิตอยู่ของจุลินทรีย์โพรไบโอติก และรักษาฤทธิ์ชีวภาพของสมุนไพรเชียงดาและส้มแขกในแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้มีการยื่นจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรสูตรและกระบวนการผลิตทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว

นอกจากนี้ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการตรวจวิเคราะห์ปริมาณจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ยังมีชีวิตพบว่า ตลอดการเก็บผลิตภัณฑ์นาน 24 เดือน ( 2 ปี ) มีปริมาณของจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีชีวิตรอดในผลิตภัณฑ์อยู่จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านเซลล์ (109 CFU) ต่อน้ำหนักผลิตภัณฑ์ 1 กรัม ซึ่งสูง 1,000 เท่าของเกณฑ์มาตรฐานซึ่งกำหนดไว้ที่หนึ่งล้านเซลล์ (106 CFU ต่อน้ำหนัก 1 กรัม) ของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ผลิตภัณฑ์โพรเฮิร์บ-จี และ โพรเฮิร์บ-แอล ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลโภชนาการ และพร้อมสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารและอาหารฟังก์ชันนัลเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์

“ผลิตภัณฑ์โพรเฮิร์บมีองค์ประกอบสำคัญ คือ จุลินทรีย์โพรไบโอติก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ประจำถิ่นที่ค้นพบโดยทีมนักวิจัยของ วว. และพืชสมุนไพรสองชนิด คือ เชียงดา และส้มแขก โดยมีผลการวิจัยรองรับในการพิสูจน์สรรพคุณต่อสุขภาพคือ การลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้ชัดเจน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการตรวจวิเคราะห์ปริมาณจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ยังมีชีวิตอยู่ในผลิตภัณฑ์ตามเกณฑ์และข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข จึงพร้อมสำหรับการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ Functional Food มีมูลค่าในตลาดโลก 1.8 แสนล้านดอลล่าร์ สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 68,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี พ.ศ. 2565 จะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต ยิ่งไปกว่านั้นการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกและสมุนไพรเป็นองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์กำลังอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคอย่างมาก” ผู้ว่าการ วว. กล่าว

ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญวิจัย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร วว. ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการวิจัยว่า จุลินทรีย์โพรไบโอติก B. animalis subsp. lactis TISTR 2591 ซึ่งนำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โพรเฮิร์บ ที่นำมาศึกษาในสัตว์ทดลองและได้รับการกระตุ้นให้เกิดเบาหวานชนิด Type-2 diabetes มีคุณสมบัติในการกระตุ้นและเพิ่มปริมาณฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในสภาวะสมดุล และยังลดระดับไขมันในเลือดโดยเฉพาะชนิดไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม


สำหรับสารสกัดใบเชียงดาพบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลและไขมันได้ทั้งในระดับเซลล์ (in vitro) และสัตว์ทดลอง (in vivo) นอกจากนี้ วว. ยังทำการวิจัยร่วมกับสถาบัน Cellula r and Molecular Biotechnology Research Institute ของ The National Institute of Advanced Industrial Science and Technology (AIST) ประเทศญี่ป่น โดยได้ตรวจพบสาร Stephanoside B และ Stephanoside C ในสมุนไพรเชียงดาของไทย พร้อมการพิสูจน์สรรพคุณในการยับยั้งการสะสมไขมันในเซลล์ของสารทั้ง 2 ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีการรายงานมาก่อน

สำหรับผลการศึกษาสารสกัดผลส้มแขก ที่มีกรดไฮดรอกซีซิตริก (Hydroxycitric acid, HCA) เป็นสารแสดงฤทธิ์ เมื่อทดสอบในเซลล์พบว่าสามารถยับยั้งพัฒนาการและการเพิ่มจำนวนของเซลล์ไขมัน (Adipocytes) จึงช่วยลดการสะสมไขมันได้ ซึ่งกลไกการเกิดเซลล์ไขมันดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นด้วยฮอร์โมนอินซูลิน เป็นการบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคไขมันในเลือดสูงและเบาหวาน โดยผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีไขมันในเลือดสูงนำมาก่อน


แหล่งที่มา

ผู้จัดการออนไลน์
https://mgronline.com/science/detail/9650000005441
© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู