ข่าวสาร
A50 วิจัยเกษตร
8 สิงหาคม 2562
การปรับตัวของเกษตรกร กับวิกฤติภัยแล้งในยุคปัจจุบัน

ภัยแล้งกลางฤดูฝน ปัญหาฝนทิ้งช่วง ขณะที่บางพื้นที่ฝนตกหนัก น้ำท่วม หรืออุณหภูมิที่สูงขึ้น สถานการณ์เหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพหลักของประเทศอย่างมาก จากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นที่มาของการจัดทำ โครงการวิจัยการปรับตัวของการทำเกษตรกรรมจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด โดยการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) แม้จะดำเนินการแล้วเสร็จมาตั้งแต่ปี 2556 แต่ข้อค้นพบที่ได้ สามารถใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ และเพื่อใช้วิเคราะห์ในการวางแผนป้องกัน หรือหาแนวทางในการแก้ปัญหาล่วงหน้าได้ต่อไป เพราะในอีก 20 -30 ปีข้างหน้า พื้นที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ โครงการวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามวัตถุประสงค์ คือ
1.การคำนวณค่าดัชนีความเปราะบางของการทำเกษตรกรรม (Agricultural Vulnerability Index : AVI)
2.ศึกษารูปแบบการปรับตัวของการทำเกษตรกรรม
3.กำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบของการทำเกษตรกรรมจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

โดยนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ได้แก่ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) ซึ่งสามารถใช้ในการแก้ปัญหาเชิงพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ดี จึงนำมาสร้างแบบจำลองเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศตั้งแต่ระดับน้อยถึงมากที่สุด โดยพื้นที่ศึกษา ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ นายณรงค์ พลีรักษ์ อาจารย์จากคณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้วิจัย กล่าวว่า "ที่เลือกทำโครงการนี้ เพราะประเด็นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ Climate change เป็นประเด็นที่สำคัญ ภาวะโลกร้อน อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจากภูมิอากาศทั้งสิ้น เมื่อภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงส่งผลประทบต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ และการท่องเที่ยว รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการน้ำเป็นหลัก เป็นที่มาให้เราต้องสร้างแบบจำลองเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศของพื้นที่ในแต่ละจังหวัด" สำหรับการคำนวณค่าดัชนีความเปราะบางของการทำเกษตรกรรม หรือค่า AVI นั้น มีปัจจัยที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อสร้างแบบจำลองความเสี่ยง ได้แก่ อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด ปริมาณน้ำท่า ปริมาณน้ำในดิน จำนวนครั้งการเกิดอุทกภัย ดินโคลนถล่ม วาตภัย ภัยแล้ง ระยะห่างจากบ่อน้ำบาดาล และแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งผลที่ได้ทำให้ทราบถึงระดับความเปราะบางหรือความเสี่ยงของเกษตรกรที่เกิดจากปัจจัยทางด้านภูมิอากาศเป็นรายตำบล พบว่า ตำบลที่มีความเสี่ยงมากที่สุด คือ ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี, ตำบลบ้านค่าย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง, ตำบลเขาวงกต อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี และตำบลห้วยแร้ง อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด และยังพบว่าทั้ง 4 ตำบล มีรูปแบบการปลูกพืชคล้ายคลึงกัน โดยพืชที่ปลูก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง สับปะรด ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ และจากการสัมภาษณ์เกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว พบว่าภาวะภัยแล้งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรมากกว่า โดยเฉพาะการปลูกผลไม้ที่ใช้น้ำในปริมาณมาก แต่ที่ผ่านมา เกษตรกรปรับตัวด้วยการขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ในฤดูร้อนเพื่อแก้ปัญหา ส่วนชาวนาในพื้นที่ เช่นที่ตำบลบ้านค่าย ก็มีการปรับตัวเช่นกัน อย่างเช่น เดิมเคยปลูกข้าวสูงสุด 3 ครั้งต่อปี ทำนาปี 1 ครั้ง ทำนาปรัง 2 ครั้ง กรณีที่ปีไหนฝนตกน้อยก็จะชะลอหรือเลื่อนช่วงเวลาในการปลูกออกไป หรืออาจไม่ปลูกข้าวนาปี ส่วนนาปรังอาจอาศัยน้ำชลประทาน เป็นต้น ส่วนน้ำท่วมนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชมากนัก เพราะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผลการวิเคราะห์ที่ได้จะแสดงออกมาในรูปแผนที่ เช่น พื้นที่เสี่ยง ข้อมูลปริมาณน้ำฝน โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์เป็นรายปี ทำให้รู้ว่าแต่ละตำบลมีความเสี่ยงแค่ไหน โดยนำปัจจัยต่างๆ ที่ได้จากการสำรวจมาทำการวิเคราะห์ร่วมกัน และเลือกพื้นที่ความเสี่ยงเพื่อนำมาเป็นพื้นที่ทดลอง ข้อดีของข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial data) ในรูปของแผนที่ทำให้รู้ว่าแต่ละตำบลมีความเสี่ยงตรงไหนบ้าง เพราะฉะนั้นข้อมูลต่างๆ สามารถนำมาวิเคราะห์ในแผนที่นี้ได้ทั้งหมด ทำให้รู้ว่าพื้นที่ตรงไหนมีความเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย"

นอกจากค้นพบความเสี่ยงรายพื้นที่แล้ว ผู้วิจัยยังได้เสนอมาตรการเพื่อลดผลกระทบของการทำการเกษตรกรรมจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มี 3 มาตรการ คือ
1) การกำหนดปฏิทินการปลูกพืชตามปริมาณน้ำในดิน ได้แก่ ข้าว สับปะรด และมันสำปะหลัง
2) การเปลี่ยนชนิดพืชตามปริมาณน้ำฝนและชนิดของดิน โดยในการวิจัยนี้ได้เสนอการวิเคราะห์พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกสบู่ดำ และมะเยาหิน ซึ่งพืชทั้งสองชนิดนี้เป็นพืชน้ำมันเหมือนกัน โดยปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมสำหรับการปลูกสบู่ดำคือ 900-1,200 มิลลิเมตร/ปี และเหมาะกับการปลูกในดินร่วน พื้นที่ที่เหมาะสมพบใน 3 อำเภอของจังหวัดชลบุรี ได้แก่ อำเภอศรีราชา บางละมุง และสัตหีบ ส่วนปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมสำหรับการปลูกมะเยาหินคือ 640-1,730 มิลลิเมตร/ปี และชนิดดินควรเป็นดินทรายหรือดินร่วน พื้นที่ที่เหมาะสมส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดชลบุรี บางส่วนในจังหวัดระยอง และพบเพียงเล็กน้อยในจังหวัดจันทบุรี
3) การเปลี่ยนอาชีพ หรือการประกอบอาชีพเสริม เสนอให้มีการจัดการและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จากการรวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเบื้องต้นของจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด มีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนรวมทั้งสิ้น 142 แห่ง หากแต่ละชุมชนมีแนวคิดในการจัดการและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในการทำการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศหรือภัยพิบัติได้


แหล่งที่มา

© 2017-2018 Office of the University Library, Kasetsart University.
forumถามกูรู